เรื่องที่ฉังหนิงปรารถนาที่สุดกลับเป็นสิ่งที่หวังซีรู้สึกทุกข์ทรมานเหลือจะกล่าว
หวังซีมีเสียงไพเราะอ่อนหวาน บิดามักจะกล่าวชมว่าเสียงของนางเหมือน ‘นกกระจาบฝน’ ตอนเป็นเด็ก เพื่อทำให้นางพูดคุยมากขึ้นแล้ว บิดาหยอกเย้าเล่นกับนางไม่น้อย นางเองก็อาศัยว่าตนเองเสียงไพเราะ มักจะไปอ่านพระธรรมให้ท่านปู่ ท่านย่า หรือแม้แต่ท่านย่าภรรยาของพี่ชายปู่และท่านย่าภรรยาของน้องชายปู่ฟังบ่อยๆ ถือเป็นการแสดงความกตัญญูต่อผู้อาวุโส
ดังนั้นตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าบอกให้นางไปอ่านพระธรรม นางจึงไปด้วยความยินดี
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าช่างแตกต่างจากพวกท่านย่าของนางเหลือเกิน
หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าพานางเข้าไปในห้องพระแล้วก็ให้ซือหมัวมัวไปหยิบ ‘วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร’ มาให้นางเล่มหนึ่ง จากนั้นชี้สุ่มไปที่หน้าหนึ่งแล้วให้นางเริ่มต้นอ่าน ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเอนตัวอยู่บนเตียงเตาตัวใหญ่ริมหน้าต่าง หลับตาหมุนลูกประคำไม้จันทน์สิบแปดเม็ดในมือไปด้วย จวบจนหวังซีอ่านพระธรรมติดต่อกันยี่สิบหน้าแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าถึงลืมตาขึ้น ยิ้มตาหยีพูดกับนางว่า “เอาล่ะ วันนี้อ่านถึงตรงนี้ก็แล้วกัน!”
นึกถึงตอนนางอ่านพระธรรมให้ท่านย่าของนางฟังที่สู่จง นอกจากหญิงรับใช้หนึ่งกลุ่มจะคอยยกน้ำชาและพัดวีอยู่ข้างๆ แล้ว ทุกครั้งที่นางอ่านจบหนึ่งตอน ท่านย่าของนางจะบอกซ้ำๆ ว่าให้นางพักสักครู่หนึ่งก่อนด้วยความเห็นอกเห็นใจ ยังป้อนน้ำผึ้งนางด้วยตัวเอง ถามนางว่าเหนื่อยหรือไม่ กล่าวชมนางว่าอ่านได้ดี ไม่ให้แก้วแหวนเงินทองเป็นรางวัล ก็ให้หยกสลักโบราณสำหรับถือเล่นเป็นรางวัล เลวร้ายที่สุดก็มีขนมหวานสักจานหนึ่ง ถ้าหากนางอ่านพระธรรมให้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในบ้านฟังยิ่งไม่ต้องพูดถึง นอกจากผู้อาวุโสจะมอบของดีเป็นรางวัลให้นางแล้ว ท่านปู่และท่านย่าของนางยังมอบรางวัลให้นางต่างหากอีกครั้งหนึ่งด้วย
ที่นี่ฮูหยินผู้เฒ่าให้รางวัลนางเป็นน้ำชาเพียงหนึ่งถ้วย และยังเป็นชาเหล่าจวินเหมย[1]ที่ตัวฮูหยินผู้เฒ่าชื่นชอบเป็นที่สุดอีก
รสชาติชาจืดชืด ดื่มแล้วหวังซีลอบถอนหายใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าให้นางมาอ่านพระธรรม นี่เป็นเพราะโปรดปรานนางหรือต้องการลงโทษนางกันแน่
ต่อไปหากมีเรื่องดีๆ เช่นนี้อีก นางผลักไปให้ฉังหนิงดีกว่า
หวังซีเงยหน้าขึ้นมองถังน้ำบันทึกเวลาในห้องพระเล็กครั้งหนึ่ง
ใกล้จะถึงยามเฉิน[2]แล้ว ปกติเวลานี้โหวฮูหยินจะมาปรึกษาเรื่องภายในบ้านกับฮูหยินผู้เฒ่า นางน่าจะได้เป็นอิสระในอีกไม่ช้าแล้ว!
ในที่สุดหวังซีก็อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย ขบคิดว่าปัจจุบันนี้นางต้องมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าทุกเช้า ตอนเย็นก็ต้องมารับประทานมื้อเย็นเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า มีเพียงช่วงบ่ายเท่านั้นที่มีเวลาได้เป็นอิสระ ต้องหาวิธีมิให้ฮูหยินผู้เฒ่ายึดเอาเวลาช่วงบ่ายของนางไปด้วยถึงจะดี
นางเป็นคนฉลาดมีไหวพริบมาตลอด พอใช้สมองขบคิดก็ได้ความคิดดีๆ ขึ้นมาแล้ว
หวังซีวางถ้วยน้ำชาลง กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มๆ ว่า “ใกล้จะถึงวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าแล้ว ข้าจะคัดพระธรรมให้ท่านสักสองสามหน้าเพื่อถวายแด่พระพุทธองค์ก็แล้วกันเจ้าค่ะ!”
อย่างไรเสียฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่รู้ลายมือของนาง ถึงเวลานางให้ไป๋ซู่และคนอื่นๆ ช่วยคัดให้ก็ได้
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับลืมเรื่องวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าไปเสียสนิท ได้ยินเช่นนั้นพลันรู้สึกว่าหวังซีไม่เพียงมีชีวิตชีวาน่ารักน่าเอ็นดูและรู้จักเย้าหยอกให้นางหัวเราะ ยังจดจำเทศกาลวันสำคัญต่างๆ ได้ รู้จักจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม เป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีคนหนึ่ง แววตาที่มองหวังซีจึงอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน “ได้ เอาตามที่เจ้าว่า”
หวังซียิ้มตาเป็นประกายแวววาวทั้งสองข้าง นึกภาพตัวเองเอนตัวนอนอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย[3]ข้างมู่ลี่ไม้ไผ่ไม่ต้องออกไปไหนตอนเที่ยงวันที่อากาศร้อนระอุอย่างเป็นสุขใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงคุยกับนางเรื่องคุณหนูสกุลซือขึ้นมา “นางมีนามอักษรตัวเดียวว่า ‘จู’ อายุมากกว่าเจ้าหนึ่งปี ลุงสกุลซือของเจ้ามีบุตรชายหกคนแล้วถึงมีบุตรสาวคนนี้เพียงหนึ่ง ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้นิสัยเอาแต่ใจไปบ้าง ทว่ากิริยามารยาทมิได้แย่ หากมีตรงไหนที่นางทำให้เจ้าขุ่นเคืองใจ ถือว่าเห็นแก่หน้ายาย เจ้าอย่าได้ทุ่มเถียงกับนางเลย มาบอกข้า ข้าจะลงโทษนางเอง”
หวังซีฟังแล้วไม่เห็นด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าคงกลัวพวกนางทะเลาะเบาะแว้งกันกระมัง
แต่ผู้ใดมิใช่เด็กสาวที่ถูกตามใจจากครอบครัวบ้าง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณหนูซือท่านนี้ถูกตามใจแบบไหน ตัวคนยังมาไม่ถึง ฉังหนิงก็ดีใจไม่หยุดไม่หย่อนคล้ายกับมีผู้ช่วยแล้วก็ไม่ปาน ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ยังเริ่มกล่าวเตือนนางล่วงหน้าอีก
หวังซีกระตือรือร้นยิ่งนัก อยากพบหน้าคุณหนูสกุลซือท่านนี้เหลือเกิน
นางกล่าว “คุณหนูซือจะกลับมาถึงจิงเฉิงเมื่อใดหรือเจ้าคะ พวกเราต้องออกไปต้อนรับหรือไม่ นางชอบอะไรบ้าง ถึงเวลาข้าจะได้ให้คนไปเตรียมของขวัญพบหน้าเอาไว้สักชิ้นหนึ่ง”
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางไร้ท่าทีขุ่นข้องหมองใจ รู้สึกว่าหวังซีเป็นคนจิตใจกว้างขวาง เหมือนบุตรสาวคนรองของนาง ยามมองหวังซีจึงยิ่งโปรดปรานเพิ่มมากขึ้น กล่าวว่า “ได้ยินว่าออกเดินทางมาแล้ว นางน่าจะมาถึงก่อนเทศกาลแข่งเรือมังกร[4] ส่วนเรื่องที่ว่าจะมอบอะไรเป็นของขวัญพบหน้านั้น เด็กคนนี้เหมือนเจ้า รู้ความยิ่งนัก เจ้ามอบอะไรนางล้วนชอบทั้งนั้น”
เหมือนนางจริงๆ หรือ
นางเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมากผู้หนึ่ง
ตอนเป็นเด็ก มีครั้งหนึ่งอาหญิงสี่ของนางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม มอบของขวัญล้ำค่าให้พี่ชายรองกับนาง ทว่าของพี่ชายใหญ่ของนางกลับให้เครื่องเขียนเพียงหนึ่งชุดเท่านั้น นางไปฟ้องท่านปู่กับท่านย่า ด้วยเหตุนี้อาหญิงสี่ถูกอบรมอย่างรุนแรงไปหนึ่งคำรบ นับตั้งแต่นั้นนอกจากไม่กล้าดูแคลนพี่ชายใหญ่ของนางอีกต่อไปแล้ว เมื่อสองปีก่อนอาเขยสี่ของนางทำการค้ามาขอยืมเงินของพวกนาง นางยังหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดถึงอีกครั้งหนึ่ง ทำให้อาเขยสี่ไม่ได้เงินไปจากพวกนาง สูญเสียการค้าชิ้นใหญ่ไป
หากคุณหนูสกุลซือเหมือนนาง มิเท่ากับว่าก็เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นผู้หนึ่งหรอกหรือ
หวังซีเบะปากอยู่ในใจ โหวฮูหยินมาถึงแล้ว
เห็นนางอยู่ในห้องพระ คล้ายต้องการพูดบางอย่างแต่ก็หยุดไป
หวังซีลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา ทำปากเบ้ขณะกลับไปที่สวนหิมะงาม
หงโฉวกอดกล้องส่องทางไกลของนางเอาไว้กำลังชะเง้อคอรอคอยนางกลับมา
เมื่อเห็นนางก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามา ดึงนางวิ่งไปทางหลังบ้าน “เร็วเข้าเจ้าค่ะเร็วเข้า คนผู้นั้นกำลังรำกระบี่อีกครั้งแล้ว คุณหนูออกไปไม่นานเขาก็ปรากฏตัวออกมา เร่งไปตอนนี้น่าจะทันดูช่วงท้ายๆ เจ้าค่ะ”
หวังซีได้ยินแล้วเริงร่าขึ้นมา วิ่งเหยาะๆ ไปที่ห้องอุ่นบนภูเขาจำลองพร้อมกับหงโฉวไปตลอดทาง
น่าเสียดาย นางมาช้าไปก้าวหนึ่ง
ภายในลานบ้านข้างๆ เหลือเพียงใบไม้เต็มพื้นเท่านั้น
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร!” หงโฉวร้อนใจกระทืบเท้าไม่หยุด
ทว่าหวังซีรู้ดีว่าเป็นตัวเองที่กลับมาช้า
นางเอ่ยถามหงโฉว “คนผู้นั้นปรากฏตัวออกมาเวลาใด ใช้เวลารำกระบี่ประมาณเท่าไร”
หงโฉวให้รายละเอียด “ปรากฏตัวออกมาราวๆ ยามเหม่าเจิ้ง[5] ใช้เวลารำกระบี่ไปหนึ่งชั่วยามโดยประมาณเจ้าค่ะ”
“นับว่ามีคนปกติผู้หนึ่งแล้ว” หวังซีผิดหวังยิ่ง อดบ่นไม่ได้ว่า “มีคนบ้านใดอยากตื่นยามโฉ่ว[6]บ้าง เจ้าดูคนรำกระบี่ข้างบ้านผู้นั้น ยามเหม่าถึงจะเริ่ม อย่างไรก็ตาม เขาตื่นสายขนาดนี้ แสดงว่าไม่ต้องไปเข้าประชุมเช้า ไม่รู้ว่าจะหาทางสืบว่าคนผู้นี้เป็นใครได้หรือไม่”
ถ้านางให้คนไปสืบเรื่องของจวนจ่างกงจู่ แล้วถูกคนค้นพบเข้าจะถูกฆ่าปิดปากหรือไม่
หวังซีขบคิดถึงความเป็นไปได้ของเรื่องนี้
หงโฉวกลับเห็นดีเห็นงามกับหวังซี “เป็นไปไม่ได้ที่จวนจ่างกงจู่จะไม่ซื้อผักไม่กินข้าว พวกเราไปสอบถามที่ตลาดตะวันออกดูก็ได้ว่าร้านไหนส่งผักให้จวนจ่างกงจู่ ถึงเวลาให้คนปลอมตัวเข้าไปสักคนหนึ่ง ต้องสืบได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใครอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
หวังหมัวมัวเห็นท่าทางสนอกสนใจของหวังซีแล้ว อยากโน้มน้าวหวังซีสักสองสามประโยค ทว่าถูกไป๋กั่วดึงเอาไว้
นางกระซิบบอกหวังหมัวมัวว่า “ท่านตามใจคุณหนูใหญ่เถิด! วันนี้คุณหนูใหญ่ทนทุกข์มาไม่น้อย ช่วยอ่านพระธรรมให้ฮูหยินผู้เฒ่าไปครึ่งค่อนวัน แต่แม้แต่น้ำผึ้งสักถ้วยก็ยังไม่ได้ดื่ม” กล่าวถึงตรงนี้ ก็กล่าวโทษตัวเองว่า “เป็นข้าที่สะเพร่าเกินไป คิดว่าที่นั่นเป็นห้องพระของฮูหยินผู้เฒ่า ต่อให้คนอื่นๆ ในห้องอาจจะไร้วิสัยทัศน์ไปบ้าง แต่คนข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าคงมิใช่คนเลอะเลือนหรอกกระมัง ข้าจึงมิได้ตามเข้าไปด้วย ผู้ใดจะรู้ว่า…”
“เรื่องนี้ไม่โทษเจ้า” หัวคิ้วของหวังหมัวมัวชนกันแน่นจนดักจับยุงได้ กล่าวว่า “คุณหนูใหญ่มีแผนการอย่างไรนั้น ข้าจะไปสอบถามให้แน่ชัด ไม่อาจปล่อยให้ลากยาวต่อไปเช่นนี้แล้ว แต่ก็ให้คนไปสืบเรื่องของจวนจ่างกงจู่ไม่ได้จริงๆ ทางด้านหลงจู๊ใหญ่ ให้หวังสี่ไปหาเขาอีกครั้งหนึ่ง หากคุณหนูใหญ่ส่งคนไปสืบเรื่องของจวนจ่างกงจู่จริงๆ ก็ให้เขาประวิงเวลาออกไปก่อน”
ไป๋กั่วขานรับเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ” ทางด้านหงโฉวและหวังซีกำลังหารือกันว่าพรุ่งนี้จะไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไร “จะรีบไปรีบกลับ หากนางรั้งข้าไว้อีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ข้าจะผลักฉังหนิงออกไปรับแทน ไม่ได้เห็นตอนต้น ก็ควรจะได้เห็นตอนท้าย อย่างไรก็ตาม นี่มิใช่วิธีแก้ปัญหาที่ยั่งยืน อย่างไรก็ต้องหาวิธีงดเว้นการไปคารวะเช้าหนึ่งครั้งต่อสองสามวันให้ได้ถึงจะดี”
หงโฉวพยักหน้าหงึกๆ ยังกล่าวด้วยว่า “ไม่รู้ว่าหลงจู๊ใหญ่จะหากล้องส่องทางไกลเหมือนของคุณชายใหญ่ได้เมื่อใด ข้ารู้สึกว่ากระบอกนี้ยังเห็นไม่ค่อยชัดเท่าไรนัก”
“ถูกต้องที่สุด!” หวังซีและหงโฉวหาหัวข้อสนทนาร่วมกันได้แล้ว เอ่ยถามว่า “คนผู้นั้นมีคนปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายหรือไม่ มีกี่คน พวกเขาพักอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้นหรือว่าเพียงแค่เลือกออกกำลังกายยามเช้าที่ป่าไผ่เท่านั้น?”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ!” หงโฉวตอบอย่างห่อเหี่ยว “เขาออกมาจากป่าไผ่ ไม่เห็นคนปรนนิบัติอยู่ข้างกายเลยเจ้าค่ะ”
เป็นอีกหนึ่งวันที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย
หวังซีถอนหายใจ สั่งการหงโฉวว่า “เจ้าจับตาดูต่อไป ดูว่าเขาออกมารำกระบี่เวลาอื่นบ้างหรือไม่”
หงโฉวจึงขอให้นางช่วยชี้แนะ “ข้าไปดูที่สวนร่มหลิวได้หรือไม่เจ้าคะ ทางนั้นอยู่ใกล้จวนจ่างกงจู่มากกว่า”
“ไปเถอะ!” หวังซีคิดว่ากล้องส่องทางไกลตัวใหม่น่าจะอีกนานกว่าจะได้มาอย่างที่หวังหมัวมัวกล่าวไว้ หากอยากรู้ความเคลื่อนไหวของคนผู้นั้น ก็ต้องคิดหาวิธีการอื่น
หงโฉวขานรับคำอย่างยินดี
หวังหมัวมัวจึงพาหวังซีไปเปลี่ยนอาภรณ์ ถือโอกาสตอนที่พวกสาวใช้เด็กส่งขนมหวานให้นางเอ่ยถามถึงแผนการของนาง “แม่ครัวที่เข้ามาใหม่สามคนถือเป็นเรื่องเล็ก แค่เรือนครัวอาจไม่ค่อยเพียงพอก็เท่านั้น หากท่านตั้งใจแต่งงานอยู่เมืองหลวง มิสู้ซื้อบ้านใกล้ๆ บริเวณนี้สักหลังหนึ่ง แล้วมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าทุกสามวันห้าวัน เกรงว่าน่าจะดีกว่า”
หวังซีนั่งเท้าคางขบคิดอยู่หน้ากระจก กล่าวว่า “ซื้อบ้านสักหลังหนึ่งก็ดีเหมือนกัน แต่ข้าจะไม่แต่งงานอยู่เมืองหลวง ควรซื้อบ้านตรงไหน ตอนไม่มีคนอยู่จะปล่อยเช่าง่ายหรือไม่ เมื่อไม่ต้องการแล้วจะขายต่อง่ายหรือไม่ เรื่องพวกนี้ล้วนต้องให้หลงจู๊ใหญ่ช่วยสืบให้ดีก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังซีแสดงออกอย่างชัดเจนว่านางจะไม่รั้งอยู่เมืองหลวง
หวังหมัวมัวและคนอื่นๆ ได้ยินแล้วต่างรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง หวังหมัวมัวยิ่งแล้วใหญ่กล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูใหญ่วางใจเถิด เรื่องพวกนี้ปล่อยให้ข้าเป็นคนจัดการ จะเดินจากไปอย่างขาวสะอาดแน่นอนเจ้าค่ะ”
มิทำให้จวนโหวต้องขุ่นเคือง
หวังซีพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก
ตอนบ่ายเรียกไป๋ซู่มาช่วยนางคัดพระธรรม “ใช้แบบอักษรทางการ[7] เผื่อว่าวันใดที่ฮูหยินผู้เฒ่าให้ข้าคัดอะไรให้นาง จะได้ไม่เผยพิรุธ”
ไป๋ซู่อมยิ้ม
หวังซีจึงนั่งลูบเซียงเย่แมวสีส้มตัวใหญ่ของนางเล่นอยู่ข้างๆ
เซียงเย่ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของนาง ส่งเสียงคราง เมี้ยวเมี้ยว ออกมาอย่างสบายตัว
สาวใช้เด็กนามอาหนานชะโงกศีรษะเข้ามาด้อมๆ มองๆ จากนอกผ้าม่าน
หวังซีหันไปกวักมือเรียกนางยิ้มๆ “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
อาหนานหัวเราะคิกวิ่งเข้ามา กระซิบกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่ ทางสวนซิ่ง[8]มีเรื่องโหวกเหวกโวยวายขึ้นเจ้าค่ะ”
บ้านสามอาศัยอยู่ที่สวนซิ่ง
หวังซีหยุดมือที่ลูบแมวไปครู่หนึ่ง
เซียงเย่ลืมตาขึ้น ส่งเสียง แง้ว ไม่พอใจออกมา
หวังซีรีบลูบเซียงเย่อีกสองสามครั้ง
เซียงเย่หลับตาลงอีกครั้งอย่างพึงพอใจ
อาหนานยิ้มกล่าว “มิใช่ว่าเรือนของคุณชายสามฉังไม่พออยู่หรอกหรือ นายหญิงรองไปหานายหญิงสาม นายหญิงสามรับปากจะยกเรือนชั้นนอกทางทิศใต้ของสวนซิ่งให้ เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คุณชายแปดจะไร้ที่อยู่ นายหญิงสามจึงปรึกษาโหวฮูหยินว่าให้คุณหนูสี่เข้าไปอยู่ที่สวนร่มวสันต์ได้หรือไม่ แต่โหวฮูหยินบอกว่า ฮูหยินผู้เฒ่าเตรียมให้คุณหนูสกุลซือเข้าไปพักที่สวนร่มวสันต์ ถามว่าให้คุณหนูสี่เข้าไปอยู่ที่สวนร่มหลิวแทนได้หรือไม่ ถึงแม้จะไกลจากลานบ้านหลักไปบ้าง ทว่าก็ไม่ไกลจากสวนร่มวสันต์ เมื่อคุณหนูสกุลซือเข้ามาอยู่แล้ว จะได้มีเพื่อนด้วยพอดี…
…นายหญิงสามกลับไปคุยกับคุณหนูสี่ คุณหนูสี่ก็ร้องโวยวายขึ้นมา”
………………………………………………………………………
[1] ชาเหล่าจวินเหมย ชามีชื่อของอำเภอหงอาน มณฑลหูเป่ย
[2] ยามเฉิน 07.00-09.00 นาฬิกา
[3] เก้าอี้กุ้ยเฟย เก้าอี้ยาวใช้นอนได้ โดยมากแล้วพนักด้านหนึ่งของเก้าอี้กุ้ยเฟยจะเอียงสี่สิบห้าองศาใช้เป็นที่หนุนนอน
[4] เทศกาลแข่งเรือมังกร หรือเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง เป็นเทศกาลที่มีการแข่งขันเรือมังกรและกินขนมบ๊ะจ่าง
[5] ยามเหม่าเจิ้ง 06.00 นาฬิกา
[6] ยามโฉ่ว 01.00-03.00 นาฬิกา
[7] แบบอักษรทางการ แบบอักษรที่ใช้ในหนังสือราชการ
[8] ซิ่ง แอพพริค็อท (apricot)
ตอนต่อไป