ฉังเหยียนแสร้งทำไม่รู้ สมควรทำอย่างไรก็ยังคงทำอย่างนั้น โดยเฉพาะตอนที่คนตระกูลหันมาตรวจวัดเรือนหอใหม่ นางหาเรื่องเย็บปักถักร้อยมาเป็นข้ออ้าง กักตัวฉังหนิงเอาไว้ในเรือนของนาง อยู่เช่นนั้นตลอดทั้งวัน กระทั่งคนตระกูลหันเสร็จธุระแล้ว ถึงกลับเรือนพักของตัวเอง
นายหญิงรองอยู่เป็นเพื่อนคนตระกูลหันด้วยตัวเองตลอดทั้งวัน ตอนกลับถึงสวนกล้วยไม้ทั้งร่างจึงเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ยังคงเรียกฉังเหยียนมาสอบถาม วันนี้อาหนิงได้พูดอะไรหรือไม่
ฉังเหยียนนึกถึงสีหน้าเย็นชาของฉังหนิง ลอบถอนหายใจเบาๆ อยู่ในใจ ทว่าไม่แสดงออกทางสีหน้า ยิ้มแย้มกล่าวกับมารดาว่า ดียิ่งเจ้าค่ะ วันนี้ยังปักผ้าเช็ดหน้าได้ครึ่งผืน เร็วยิ่งกว่ายามปกติเสียอีก
นายหญิงรองพยักหน้า ในที่สุดหัวใจที่ตึงเครียดก็คลายลง ถามว่า ด้านหวังซีเป็นอย่างไรบ้าง
ฉังเหยียนครุ่นคิด กล่าวว่า ข้าได้ติดต่อกับนางเพียงสองสามครั้งเท่านั้น รู้สึกว่าไม่เลวเลยเจ้าค่ะ
นายหญิงรองอดหว่านล้อมอีกครั้งไม่ได้ว่า ด้านคุณหนูพานก็อย่าได้ขาดตกบกพร่อง อย่าคิดว่าปัจจุบันตระกูลหลิวไม่โดดเด่น ข้าฟังจากความเห็นของเซียงหยางโหวฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ตระกูลของพวกเขาอาจจะได้รับช่วงตำแหน่งเสนาบดีกรมขุนนาง
เสนาบดีกรมขุนนางรับผิดชอบดูแลเรื่องการโยกย้ายเลื่อนตำแหน่ง การไล่ออกและการตรวจสอบสอดส่องดูแลขุนนาง หากผูกสัมพันธ์กับญาติเช่นนี้ได้ ไม่พูดถึงเรื่องอื่น บุตรชายคนเล็กของนางก็มีโอกาสในหน้าที่การงานแล้ว
ฉังเหยียนยิ้มกล่าว ท่านแม่วางใจเถิด ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไรเจ้าค่ะ
นายหญิงรองเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ดึงกำลังวังชามาพูดคุยกับฉังเหยียนอีกสองสามประโยค ถึงได้ไปพักผ่อน
กว่าจะรู้ตัวฉังเหยียนกับคุณหนูพานก็สนิทสนมกันแล้ว และกว่าจะรู้ตัวทั้งสองคนก็สนิทสนมกับหวังซีและฉังเคอแล้วเช่นเดียวกัน จนกระทั่งตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าและโหวฮูหยินเริ่มจัดแจงเรื่องการเดินทางไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ เด็กสาวทั้งสี่คนก็สนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่งไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ไปเรียบร้อย มักจะไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลังกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็ไปดื่มชากินขนมหวานที่สวนหิมะงาม บ้างก็ไปดูความคืบหน้าของการซ่อมแซมเรือนที่สวนร่มหลิว ปรึกษากันว่าเมื่อซ่อมแซมเรือนเสร็จแล้วหน้าห้องโถงจะปลูกดอกไม้อะไร จะวางม้านั่งหินแบบไหนในศาลาริมทาง คนที่ไม่รู้เมื่อมองเข้าไป อาจคิดว่าเป็นพี่สาวน้องสาวที่เติบโตขึ้นมาในบ้านหลังเดียวกัน ดูสนิทสนมชิดเชื้อกันอย่างยิ่ง
ทว่าฉังเคอกลับเป็นกังวลใจเล็กน้อย รู้สึกว่านางกับหวังซีไม่ได้ใกล้ชิดกันเท่าเมื่อก่อน บางครั้งนางอยากคุยกับหวังซีสักสองสามประโยคก็ไม่มีโอกาส
หวังซีเองก็รู้สึกกวนใจเล็กน้อยเช่นกัน
กลางวันตอนเที่ยวเล่นกับฉังเหยียน ฉังเคอและคุณหนูพานยังดี แต่เมื่อถึงกลางคืน นางก็จะคิดถึงดาบเก้าห่วงเล่มใหญ่ที่ปักอยู่ข้างๆ ป่าไผ่เล่มนั้นขึ้นมา
ไม่รู้ว่าดาบเล่มนั้นยังปักอยู่ที่นั่นอยู่หรือไม่ หรือว่าถูกดึงออกไปแล้ว? และไม่รู้ว่าเฉินลั่วยังไปฝึกกระบี่ที่ป่าไผ่อยู่หรือไม่
นางอยากไปดูอีกเหลือเกิน ทว่าเนื่องจากหากมิใช่มีฉังเหยียนก็มีฉังเคออยู่ข้างกายตลอด หาโอกาสไม่ได้เลย
หวังซีจึงคิดว่าต้องให้ชิงโฉวหรือไม่ก็หงโฉวไปดูสักหน่อย
นางยังไม่ทันได้สั่งการลงไป คุณหนูซือหรือซือจูก็เดินทางมาถึงจิงเฉิง
แตกต่างจากตอนที่คุณหนูพานมา ตระกูลซือให้หมัวมัวที่ติดตามมาด้วยมาแจ้งข่าวให้ฮูหยินผู้เฒ่าทราบล่วงหน้าก่อนสองวัน ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าแจ้งให้หวังซีและคนอื่นๆ ทราบล่วงหน้าหนึ่งวันว่าให้ไปต้อนรับซือจูพร้อมกับนาง
หวังซีรู้สึกว่ายุ่งยากวุ่นวายเหลือเกิน ทว่าก็เห็นโอกาสที่จะได้อยู่เพียงลำพังจากตรงนี้ด้วยเช่นกัน จึงพอจะทำให้สงบใจลงได้ ยิ้มตาหยีฟังฉังเหยียนและคนอื่นๆ สนทนากัน
คุณหนูพานประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าจู่ๆ จวนหย่งเฉิงโหวก็ครื้นเครงขึ้นมาอย่างกะทันหัน มีแขกมาหาเป็นจำนวนมาก
ฉังเหยียนยังคงเหมือนก่อนหน้านี้ ดูไม่ออกว่าดีใจหรือเสียใจ เชิญชวนทุกคนว่า พรุ่งนี้พวกเรามาเรือนหยกวสันต์เร็วหน่อยดีหรือไม่ ถือโอกาสตอนที่พี่สาวต่างสกุลยังมาไม่ถึงอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนท่านย่า
ฉังเคอยิ้มไม่กล่าวคำใด หลบอยู่หลังทุกคน หากไม่ตั้งใจคงไม่สังเกตเห็นนาง
มีเพียงฉังหนิงที่เบิกบานใจผิดปกติ กอดแขนฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ซักถามว่าซือจูเข้าเมืองเวลาใด ยังคงเป็นตานหมัวมัวที่เดินทางมาเป็นเพื่อนพี่สาวซือหรือไม่ พี่สาวซือพักที่ไหน ข้าอยากอยู่กับพี่สาวซือ ได้หรือไม่เจ้าคะ
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางกระตือรือร้นเช่นนี้ก็ดีใจอย่างยิ่ง จับมือนางไว้กล่าวว่า เช้าวันพรุ่งนี้อาจูก็น่าจะถึงจวนแล้ว พวกเรามากินมื้อเที่ยงพร้อมกัน ส่วนเรื่องที่นางจะพักที่ไหนนั้น เสียงนางหยุดลงเล็กน้อย
เดิมทีนางตั้งใจจะจัดให้ซือจูพักที่สวนหิมะงาม แต่ตอนนี้ยังซ่อมแซมสวนร่มหลิวไม่เสร็จ จำต้องจัดให้ซือจูพักที่เรือนหยกวสันต์ไปชั่วคราวก่อน
แต่ถ้อยคำนี้ไม่อาจกล่าวออกมาตรงๆ ได้
ที่สำคัญคือกลัวซือจูจะโกรธ
เด็กคนนั้นเอาแต่ใจยิ่งนัก
อีกทั้งยังเข้ากันได้ดีกับหลานหนิงอีก
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม กล่าวว่า ข้าไม่ได้เจอนางมาหลายปีแล้ว ให้นางอยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนสักสองสามวัน
ก็เท่ากับว่าจัดให้พักอยู่ที่เรือนหยกวสันต์
ทุกคนต่างยิ้มน้อยๆ
รวมถึงฉังหนิงด้วย
เมื่อออกมาจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ทุกคนต่างมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป
คุณหนูพานนัดแนะฉังเหยียน หวังซีและฉังเคอ พี่ชายเพิ่งให้คนส่งชาปี้หลัวชุน[1]มาให้ พวกเจ้าอยากไปดื่มชาที่เรือนข้าหรือไม่
หวังซีปฏิเสธไปอย่างสุภาพ เป็นฉังเหยียนที่ตอบรับอย่างยิ้มแย้ม
ทั้งสองคนแยกตัวไปพร้อมกัน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ในที่สุดหวังซีก็มีเวลาว่างไปดูดาบที่ปักอยู่ข้างๆ ป่าไผ่เล่มนั้นสักที
ช่างน่าแปลกใจจริงๆ นี่ก็ผ่านมาสิบกว่าวันแล้ว นับวันพระอาทิตย์ก็ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลายวันก่อนยังมีฝนตกฟ้าร้องด้วย ทว่าผ้าไหมสีแดงที่ผูกอยู่บนด้ามจับของดาบเล่มนั้นกลับยังคงแดงสดประหนึ่งสีเลือด ไม่เห็นซีดเซียวลงแม้แต่ครึ่งเดียว
หวังซีเบ้ปาก
ชิงโฉวบอกนาง คุณชายรองเฉินไม่มาฝึกกระบี่ที่ป่าไผ่อีกเลยเจ้าค่ะ!
เช่นนั้นที่เขายังปักดาบเล่มนั้นเอาไว้หมายความว่าอย่างไร
หวังซีกลับสวนหิมะงามอย่างขุ่นเคืองใจ ผัดหน้าแต่งตัวแล้วไปหาฮูหยินผู้เฒ่า
ฉังหนิงสามพี่น้องกับคุณหนูพานมาถึงแล้ว กำลังห้อมล้อมคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าอยู่
เห็นหวังซีเข้ามา ฉังหนิงลุกขึ้นมาเป็นคนแรก กล่าวว่า รอเจ้าเพียงคนเดียวแล้ว เหตุใดถึงได้ช้าเช่นนี้
หวังซียิ้มไม่กล่าวคำใด
ฉังเคอมองฉังหนิงครั้งหนึ่ง กล่าวชมหวังซีว่า วันนี้กระโปรงของเจ้าสวยมาก
หวังซีสวมกระโปรงจีบหน้ากว้างสีเขียวอ่อนขอบสีเขียวเข้มบริเวณปลายปักลายว่านน้ำสีชมพู เสื้อแขนกว้างสีชมพูตลอดทั้งตัวลายหางนกเฟิ่ง สวมเครื่องประดับง่ายๆ อย่างไข่มุกใต้ขนาดเท่าเม็ดบัวเพียงเท่านั้น ดูสดใสมีชีวิตชีวาและน่ารัก
คุณหนูพานเองก็กล่าวชมด้วย เลือกสีมาเข้าคู่กันได้ลงตัวยิ่งนัก
หวังซีไม่เคยทำลายเจตนาดีของผู้อื่น นางยิ้มจนดวงตาโก่งโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว กล่าวว่า ชุดที่คุณหนูพานสวมในวันนี้ก็งดงามมากเช่นกัน คงจะเป็นผ้าทอออกใหม่ของเจียงหนานกระมัง ลายสมปรารถนาทุกประการ ข้าเองก็ชอบมากเช่นเดียวกัน
คุณหนูพานอมยิ้ม
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว วันนี้ทุกคนล้วนงดงามมาก
เห็นได้ชัดว่าล้วนให้เกียรติซือจูกันทุกคน
ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าพึงพอใจอย่างยิ่ง
ไม่นาน โหวฮูหยินก็มาถึง กล่าวว่า รถม้าของคุณหนูซือเข้าเขตเสี่ยวสือยงมาแล้ว ใกล้จะถึงแล้วเจ้าค่ะ
ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้นแล้วก็นั่งลงอีกครั้ง พึมพำกล่าว มาถึงก็ดีแล้ว มาถึงก็ดีแล้ว
ฉังเหยียนมองฉังเคอครั้งหนึ่ง
ฉังเคอหลุบตาลง มิได้ตอบกลับฉังเหยียน
ฉังเหยียนยิ้มบาง
โหวฮูหยิน นายหญิงรอง นายหญิงสามและสตรีคนอื่นๆ ล้วนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ทุกคนกล่าวทักทายกันอีกคำรบหนึ่ง
ด้านนอกมีเสียงแจ้งมาเป็นระยะๆ ว่า คุณหนูต่างสกุลเข้าจวนมาแล้ว คุณหนูต่างสกุลเข้าจวนมาแล้ว หวังซีเห็นสตรีรูปร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อเพ่ยจื่อตัวยาวสีแดงสดลายก้อนเมฆเจ็ดสี กระโปรงจีบเล็กสีขาว มีบ่าวรับใช้หญิงเจ็ดแปดคนเดินห้อมล้อมเข้ามา
แสงแดดยามเช้าสาดส่องอยู่บนเรือนร่างนาง เครื่องประดับทองคำระย้าบนเรือนผมเปล่งประกายระยิบระยับ ดวงตารูปเมล็ดซิ่งมองไปรอบๆ อย่างงดงาม สุกใสประหนึ่งดวงตะวันของคิมหันตฤดู
คุณหนูพานหรี่ดวงตา
ซือจูกับหวังซีล้วนมีผิวขาวดุจหิมะ จมูกเชิดตาโต สง่างามเป็นอย่างมากเหมือนกัน แต่ท่วงท่ากลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าหากบอกว่าหวังซีเป็นดอกไม้งามระยับบนโลกมนุษย์ ที่ดูอ่อนโยนและสดใสดอกหนึ่ง ซือจูผู้นั้นก็คงเป็นดอกนุ่นสีแดงบนต้นไม้สูง ดูหยิ่งทะนงเร่าร้อนรุนแรง
ช่างน่าสนใจจริงๆ!
คุณหนูพานหันไปมองฉังเหยียน
ฉังเหยียนกับฉังเคอยืนเคียงกันอย่างยิ้มแย้ม มีเพียงฉังหนิง เร่งก้าวออกไปต้อนรับอยู่ข้างหน้าฮูหยินผู้เฒ่า
พี่สาวซือ! นางวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทาง
โหวฮูหยินยิ้มประคองฮูหยินผู้เฒ่า หวังซีและคนอื่นๆ ตามอยู่ด้านหลังพวกนาง ออกจากห้องโถงไป
ซือจูกอดฉังหนิง จับมือนางเดินเข้ามาอย่างเป็นธรรมชาติ
ท่านย่า! นางก้าวออกมาทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไม่ถือตัวแต่ก็ไม่ถ่อมตัว อย่างไรก็ตาม ไม่รอให้นางคุกเข่าลงไป ฮูหยินผู้เฒ่าก็ดึงนางไว้ด้วยตัวเอง ลุกขึ้นเร็ว ลุกขึ้นเร็วเข้า! รีบมาให้ข้าดูหน่อยว่าหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว เจ้าผิวขาวเนียนละเอียดมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนล้วนชื่นชอบ เด็กสาวเติบใหญ่เปลี่ยนไปสิบแปดอย่าง ย่าสายตาไม่ดีแล้ว แต่มองไกลๆ ดูเหมือนจะงดงามกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ซือจูยิ้มสงบเสงี่ยมปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่ามองสำรวจขึ้นลง
ยิ่งโตยิ่งงดงามจริงๆ! ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวอย่างเบิกบาน
โหวฮูหยินและคนอื่นๆ ขานรับคำกันอย่างพร้อมเพรียง
ซือจูกล่าวทักทายโหวฮูหยินก่อน ท่านป้าสะใภ้ ไม่พบกันนานเลยเจ้าค่ะ!
ทุกคนต่างก็กล่าวทักทายนางด้วยเช่นกัน
กระทั่งมาถึงคราวของหวังซีและคนอื่นๆ นางอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ มองคุณหนูพานตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง ถามโหวฮูหยินยิ้มๆ ว่า สองท่านนี้คือ?
ไม่รอให้โหวฮูหยินตอบ ฮูหยินผู้เฒ่าก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า อาจู สองท่านนี้คือน้องสาวต่างสกุลของเจ้า ผู้หนึ่งคือ…บุตรสาวของอาหญิงของเจ้า อีกผู้หนึ่งคือหลานสาวของป้าสะใภ้ของเจ้า มาเมืองหลวงครานี้เพื่อเยี่ยมเยียนผู้หลักผู้ใหญ่ พวกเจ้าก็นับว่ามีวาสนาต่อกันแล้ว
หวังซีกับคุณหนูพานหันไปถอนสายบัวให้ซือจู
ซือจูทำความเคารพกลับ ทักทายฉังเหยียนและฉังเคอยิ้มๆ แต่หางตากลับเหล่มองหวังซีบ่อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่
ตานหมัวมัวที่ร่วมเดินทางมาเป็นเพื่อนซือจูนั้นเป็นบ่าวติดตามตัวเจ้าสาวของมารดาซือจู นางเดินนำบ่าวรับใช้ข้างกายซือจูที่มีหน้ามีตาสองสามคนไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า ส่งซือหมัวมัวไปรับรองนาง ส่วนตัวเองปล่อยให้ซือจูประคองเดินไปที่ห้องโถงรับรองแขก
ถามถึงสุขภาพของซือผู้พ่อและซือผู้แม่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง พี่ชายพี่สะใภ้และหลานชายที่บ้านเป็นอย่างไร ปัจจุบันเรียนหนังสืออะไร ตอนวันสรงน้ำพระพุทธเจ้าไปวัดไหน…
หลังมื้ออาหาร ฮูหยินผู้เฒ่าให้ซือจูนั่งบนแหย่งหลัวฮั่นเป็นเพื่อนนาง พูดคุยสนทนากันเนิ่นนาน
แรกเริ่มหวังซียังหูตั้งฟังอย่างตั้งใจ สายตาเคลื่อนไปมาระหว่างซือจูกับฉังหนิง ต่อมาพบว่าระหว่างที่กำลังตอบคำถามฮูหยินผู้เฒ่านั้นซือจูลอบสำรวจนางบ่อยๆ เวลาสายตาของนางกับของซือจูสบประสานกันโดยบังเอิญซือจูจะหันหน้าหนีเสมือนกับมองไม่เห็น นางขมวดคิ้วน้อยๆ ที่น้อยจนแทบจะมองไม่เห็น
หรือว่าบางคนเกิดมาก็เข้ากันไม่ได้แล้ว?
นับตั้งแต่นางได้ยินชื่อของซือจูจวบจนกระทั่งได้พบซือจู ความรู้สึกที่นางได้รับจากคนผู้นี้ทำให้นางชอบไม่ลงเลยแม้แต่นิดเดียว
หวังซีเป็นคนที่ไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องฝืนทนมาโดยตลอด
นางคิดว่ารอซือจูตอบคำถามประโยคนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จแล้ว นางจะลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา
ฉังเคอที่นั่งอยู่ด้านข้างนางกลับลอบดึงแขนเสื้อนางเบาๆ กระซิบข้างหูนางว่า ประเดี๋ยวพวกเราไปพร้อมกัน
หวังซีพยักหน้า อ้าปากหาวไปครั้งหนึ่ง
ซือหมัวมัวรีบหันไปส่งสายตาให้ฮูหยินผู้เฒ่า
แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังพูดคุยอย่างออกรสออกชาติอยู่ จึงมิทันได้สังเกตเห็น
ซือหมัวมัวจำต้องกล่าวเสียงอบอุ่นว่า คุณหนูหวัง ข้าต้มชาเข้มๆ มาให้ท่านสักถ้วยดีหรือไม่
ฮูหยินผู้เฒ่าพลันเข้าใจได้ในทันที กล่าวยิ้มๆ ว่า ดูข้าสิ เอาแต่พูดไม่หยุด ยังมีเวลาอีกยาวนาน วันนี้พวกเจ้าพี่สาวน้องสาวได้พบหน้ากันแล้ว ต่อไปยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกมาก อาจูเพิ่งมาถึง นั่งรถม้ามาอย่างเหน็ดเหนื่อย ไปนอนพักผ่อนสักครู่หนึ่งก่อนเถอะ พวกเราเองก็แยกย้ายกันก่อน ตอนเย็นค่อยมารับมื้อเย็นด้วยกัน
โหวฮูหยินแย้มยิ้มลุกขึ้นกล่าวอำลาพร้อมทุกคนอย่างกระตือรือร้น
ฉังหนิงกลับต้องการรั้งอยู่ต่อ กล่าวว่า ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวซือ
โหวฮูหยินไม่ห้าม ยังกำชับฉังหนิงว่า เห็นพี่สาวต่างสกุลของเจ้าขาดเหลือสิ่งใดก็มาบอกข้า!
ซือจูกล่าวขอบคุณโหวฮูหยินยิ้มๆ ให้ตานหมัวมัวเป็นตัวแทนนางไปส่งหวังซีและคนอื่นๆ ที่ประตู
หวังซีกระซิบกล่าวกับฉังเคอ ไม่รู้ว่าตอนเย็นไม่มาได้หรือเปล่า
ซือจูกลับเอ่ยถามฉังหนิงว่า หวังซีผู้นั้นโผล่ออกมาจากที่ใดกัน ยังเป็นบุตรสาวของอาหญิงของข้าอีก อาหญิงของข้าอยู่จินหลิงมิใช่หรือ
…………………………………………………………………….
[1] ชาปี้หลัวชุน ชามีชื่อของมณฑลเจียงซู
ตอนต่อไป