ไม่ว่าองค์ชายรองจะคิดอย่างไร องค์ชายสี่รู้สึกว่า แผนการนี้ของเฉินเจวี๋ยช่างโง่เขลาและไม่ละเอียด เด็กสาวเช่นนี้ว่ากันตามตรงแล้วก็คือคนไร้สมอง ยามปกติยังไม่เป็นไร แต่หากครอบครัวพานพบกับปัญหาอะไรขึ้นมาจริงๆ ไม่เป็นตัวถ่วงก็ถือว่าดีแล้ว การคาดหวังให้นางยืนได้อย่างมั่นคงนั้น เกรงว่าคงเป็นแค่เรื่องฝันเฟื่องแล้ว
นึกถึงตรงนี้ เขาอดปรายตามองหวังซีครั้งหนึ่งไม่ได้
น่าเสียดาย เป็นคนฉลาดมีไหวพริบ อีกทั้งมีดวงตาสุกใสฟันขาวสะอาด หน้าตาโดดเด่นงดงาม เพียงแต่ว่าสถานะต่ำเกินไป หากคิดจะตบแต่งเข้าบ้าน ด้วยความสามารถของเขา เกรงว่าจะมิใช่การยกย่องนาง แต่เป็นการทำร้ายนางมากกว่า
เขาทำอย่างที่เฉินลั่วพูดมาเช่นนั้นดีกว่า อย่าลากนางลงน้ำเลย
กล่าวไปกล่าวมา เป็นเขาเองที่ไม่มีฝีมือ ไร้ความสามารถ
องค์ชายสี่เข้าใจดี แต่สุดท้ายแล้วยังคงรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย คิดว่าในเมื่อองค์ชายรองกล่าวมาแล้ว และเฉินลั่วเองก็ไม่มีท่าทีจะกลั่นแกล้งทำให้หวังซีต้องลำบาก เขากับปั๋วหมิงเย่ว์อยู่ที่นี่ต่อไป หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นมาอีก เขาต้องเสียใจภายหลัง ต่อให้ต้องตบหน้าตัวเองกี่ครั้งก็คงไม่อาจขจัดความโกรธไปไม่ได้ได้แล้ว
เขาอยากจะสลัดตัวหนีออกไปให้เร็ว ไหนเลยจะยังกล้าคัดค้านอะไรอีก กล่าวเห็นด้วยกับองค์ชายรองสองสามประโยค ทำความเคารพจ่างกงจู่อย่างรีบร้อนครั้งหนึ่ง แล้วลากปั๋วหมิงเย่ว์เดินออกจากที่นี่ไปอย่างรวดเร็ว
องค์ชายรองโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง
โชคดีที่เฉินเจวี๋ยบอกกล่าวคนเหล่านี้เพียงไม่กี่คน หากมาอีกสักสองสามคน ต่อให้เขาใช้อำนาจของราชวงศ์ควบคุมเอาไว้ ก็หยุดคำนินทาอย่างลับๆ ของคนเหล่านั้นเอาไว้ไม่ได้
บัดนี้เขาอยากถามเฉินอิงว่ารู้เรื่องนี้หรือไม่เท่านั้น
ถ้าหากเฉินอิงปล่อยให้เฉินเจวี๋ยกระทำวุ่นวายไร้ความรับผิดชอบ เช่นนั้นคำว่า ‘พี่ชาย’ ที่ใช้เรียกเฉินอิงนี้ เขาคิดว่าก็ไม่จำเป็นต้องถือเป็นเรื่องจริงจังมากเกินไปแล้ว
องค์ชายรองบอกกล่าวจ่างกงจู่ยิ้มๆ ครั้งหนึ่ง เตรียมตัวจากไปก่อนพร้อมกับเฉินลั่ว
เฉินลั่วส่งสัญญาณมือให้องค์ชายรอง ‘รอก่อน’ กล่าวกับหวังซีว่า ออกจากสวนป่าไปไม่ไกลก็เป็นหอนกกระจ้อยขับขาน สาวใช้สองคนนั้นของเจ้าไม่รู้ว่าจะหาพบยามใด เจ้าอยู่ข้างนอกคนเดียวอย่างไรก็คงไม่เหมาะสมนัก เจ้ากลับหอนกกระจ้อยขับขานไปก่อน เมื่อใต้เท้าจินหาคนเจอแล้ว ย่อมจะส่งคนกลับไปให้ ส่วนเครื่องประดับที่เจ้าทำหล่นหาย เขามองจ่างกงจู่ครั้งหนึ่ง ก็ให้ชิงกูช่วยเจ้าหาดีหรือไม่ นางเป็นข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในของท่านแม่ของข้า นางเป็นคนดูแลเรื่องในเรือนชั้นในทั้งหมดของจวนจ่างกงจู่ มีนางช่วยย่อมดีกว่าเจ้าหาด้วยตัวเองไปทั่ว
นี่คือต้องการปกป้องนางอย่างนั้นหรือ
องค์ชายสี่กับปั๋วหมิงเย่ว์จากไปแล้ว หากองค์ชายรองกับเฉินลั่วจากไปอีก ที่นี่ก็จะเหลือเพียงเป่าชิ่งจ่างกงจู่ ใต้เท้าจินและหวังซีแล้ว
ถึงแม้เมื่อครู่ทุกคนจะพูดจากันเป็นอย่างดี แต่ภายใต้อำนาจที่ท่วมท้น นางยังคงเป็นแค่เนื้อปลาของผู้อื่น ผู้อื่นอยากให้เป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ต่อให้ต้องการตระบัดสัตย์กลายเป็นศัตรูไม่รู้จักกัน ไม่ว่าจะด้วยเป็นสถานะหรือว่าอำนาจ หวังซีล้วนทำได้แค่ยอมรับอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
หากพูดอะไรไม่น่าฟังสักอย่าง ต่อให้เวลานี้นางถูกฆ่าเพื่อปิดปากพยานรู้เห็นไป ก็ไม่มีคนให้ร้องขอความยุติธรรมด้วยแม้แต่คนเดียว
เฉินลั่วให้นางจากไปก่อนเขา ก็เพราะเป็นห่วงเรื่องนี้?
แสดงให้เห็นว่าเฉินลั่วผู้นี้เป็นคนเห็นอกเห็นใจและเอาใจใส่มากมายเพียงใด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามอยู่ต่อหน้าพวกเขา ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือสถานะของหวังซีล้วนไม่เพียงพอให้เป่าชิ่งจ่างกงจู่จดจำได้นั้น ความเห็นอกเห็นใจเช่นนี้จึงเป็นสิ่งมีค่าอย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเวลาที่เฉินลั่วมีสีหน้าไม่น่าดูเท่าไรนักอีกด้วย
หวังซีรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย คิดว่าเมื่อครู่ตนไม่ควรมีความคิดจะทิ้งเฉินลั่วแล้วหนีไปก่อนเลย ยามเผชิญหน้าเฉินลั่วจึงรู้สึกละอายใจเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ได้เจ้าค่ะ! นางย่อเข่าทำความเคารพเฉินลั่ว กล่าวว่า ข้าขอตัวกลับหอนกกระจ้อยขับขานก่อนแล้ว!
เฉินลั่วรู้จักมารดาของเขาดี มารดาของเขามีบุตรยาก ดังนั้นยามมองบุตรหลานของผู้อื่นล้วนเจือความเมตตาไว้หลายส่วน ทว่าจินซงชิงไม่เหมือนกัน คนผู้นี้แตกต่างจากพี่ชายผู้ล่วงลับของเขาลิบลับ เพื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว เขากระทำเรื่องไร้ศีลธรรมได้
เขาหันไปพยักหน้าให้หวังซี เห็นหวังซีเดินออกจากสวนป่าไปแล้ว ถึงได้กล่าวขอตัวลากับจ่างกงจู่ และก่อนไปเขายังกำชับจินซงชิงว่า เจ้าอย่าลืมไปช่วยคุณหนูหวังตามหาสาวใช้สองคนนั้นให้พบด้วย
จินซงชิงไม่กล้ายั่วยุให้เฉินลั่วขุ่นเคือง เขาขานรับคำอย่างนอบน้อมว่า ขอรับ เฉินลั่วถึงได้ออกจากสวนป่าไปพร้อมกับองค์ชายรอง
พอพวกเขาออกจากสวนป่า องค์ชายวรองก็ใช้ศอกกระทุ้งเขา ยังยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนเขาว่า ที่แท้คุณหนูต่างสกุลจวนหย่งเฉิงโหวก็แซ่หวัง เหตุใดข้าถึงไม่รู้ แล้วเจ้าไปรู้ได้อย่างไร
แตกต่างจากท่าทางเย็นชาและสุขุมของเขาเมื่อครู่ลิบลับ
เฉินลั่วปรายตามองเขาครั้งหนึ่ง กล่าวว่า ข้าว่าเจ้าช่างมีเวลาว่างมากนัก บัดนี้องค์ชายใหญ่ติดตามรถม้าฮ่องเต้ไปที่อุทยานประจิมแล้ว เจ้าก็ไม่มีท่าทีร้อนใจอะไร ยังมีเวลาว่างมาสนใจเรื่องของข้าอีก ข้าว่า พรุ่งนี้ไม่ต้องให้ข้าไปอุทยานประจิมด้วยแล้ว เจ้าใช้เวลาสักหน่อย ย่อมจัดการใช้ได้อย่างแน่นอน
โธ่ นี่ไม่เหมือนเป็นพี่น้องกันแล้ว! องค์ชายรองย่นคิ้ว คิ้วก็ยับย่น ดวงตาก็บิดเบี้ยว ยิ่งทำให้คนรู้สึกขบขันมากขึ้น เจ้าบอกว่าพวกเราเป็นพี่น้องกันตลอดไป เรื่องของข้าก็คือเรื่องของเจ้ามิใช่หรือ คงไม่คุ้มที่เจ้าจะเคืองโกรธข้าเพราะคุณหนูต่างสกุลของจวนหย่งเฉิงโหวหรอกกระมัง กล่าวถึงตรงนี้ เขาปรบมืออย่างกระปรี้กระเปร่าครั้งหนึ่ง กล่าวว่า หรือว่าปั๋วหมิงเย่ว์พูดถูกแล้ว? แม้นหวังซีจะหลงใหลเจ้า แต่เจ้าเองก็เอาใจใส่คุณหนูหวังเป็นอย่างมากเช่นกัน? ปั๋วหมิงเย่ว์เจ้าคนขี้ขลาดผู้นี้ ทำอะไรก็ใช้การไม่ได้ ชอบซุบซิบนินทาเหมือนสตรีออกเรือนแล้วทว่าก็มักจะเปิดโปงความลับออกมาในหนึ่งประโยคอย่างไม่ตั้งใจได้เสมอ เจ้ายังจำเรื่องของเหลียงผินกับนางสนมอะไรนั่นได้หรือไม่ เสด็จพ่อจะตำหนิเหลียงผินอยู่รอมร่อแล้ว ผลปรากฏว่าปั๋วหมิงเย่ว์ลุกขึ้นมากล่าวอย่างไร้เดียงสาไปครั้งหนึ่ง ไม่เพียงดึงเหลียงผินออกมาได้เท่านั้น ยังทำให้ซูเฟยเหนียงเหนียงเป็นแพะรับบาปไปครั้งหนึ่งด้วย เจ้าอย่าว่าไป เขามีความสามารถนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว เรื่องครานี้ ก็ต้องชื่นชมเขา หาไม่ในพวกเราผู้ใดคิดเช่นนี้ได้บ้าง
เฉินลั่วไม่กล่าวคำใด
องค์ชายรองปรับสีหน้า คล้ายเปลี่ยนใบหน้าก็ไม่ปาน กลับมาน่าเคารพนับถือเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง ตกลงเจ้ามีแผนการอย่างไรกันแน่ ด้านเฉินเจวี๋ย ไม่อาจปล่อยไปเช่นนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นนางนั่งมองท้องฟ้าจากก้นบ่อ คิดว่านางปิดแผ่นฟ้าด้วยมือเดียว ไม่มีเรื่องอะไรสยบนางได้ นิสัยเช่นนี้ของนาง นางเสียเปรียบคนเดียวถือเป็นเรื่องรอง กลัวแต่ว่าจะลากเจ้าไปลำบากด้วย…
…ระหว่างพวกเราพี่น้อง เจ้าเองก็ไม่ต้องมาพูดเรื่องไร้สาระเล็กน้อยเหล่านั้นกับข้า เรื่องประเภทนี้พวกเราพี่น้องไม่อาจออกหน้า แต่ปั๋วหมิงเย่ว์ทำได้! เขาชอบเรื่องประเภทนี้เป็นที่สุดแล้ว ข้าช่วยออกหน้าให้เจ้า ขอให้ปั๋วหมิงเย่ว์ลงมือให้ได้ ให้บทเรียนเฉินเจวี๋ยสักครั้งหนึ่ง…
…เจ้าเองก็จะได้คืนดีกับปั๋วหมิงเย่ว์ด้วยพอดี…
…พวกเจ้าสองคนเป็นเช่นนี้ ราชาไม่ถูกกับราชา เห็นแล้วข้าปวดเศียรยิ่งนัก
ถ้าหากไม่เกิดเรื่องผิดพลาดอะไร องค์ชายรองมีโอกาสได้เป็นรัชทายาทสูงมาก
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ยามอยู่ต่อหน้าพวกพี่น้องและ บุตรหลานของชนชั้นสูงหรือแม้กระทั่งต่อหน้าขุนนางในราชสำนัก องค์ชายรองล้วนสงวนเกียรติและท่าทีภูมิฐานไว้
เฉินลั่วได้ยินแล้วกลับรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แสดงท่าทีไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ กล่าวว่า เรื่องนี้ค่อยว่ากันอีกทีภายหลังเถอะ! ข้าอยากรู้ว่าบิดาของข้าทราบเรื่องของนางหรือไม่
นี่ค่อนข้างเป็นเรื่องยากแล้ว
ผู้ใดจะรู้ว่าเฉินเจวี๋ยได้เปิดเผยเรื่องนี้ให้เจิ้นกั๋วกงทราบมาก่อนหรือไม่
ยังมีเฉินอิงที่ไม่ปรากฏตัวออกมาเลยนั่นอีก จากนิสัยของเขา ที่ผ่านมาร่วมมือกับเฉินเจวี๋ยมาตลอด เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
นึกถึงเรื่องเหล่านี้แล้วองค์ชายรองรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขาอดกล่าวไม่ได้ว่า เหตุใดถึงอยู่สงบๆ บ้างไม่ได้! สร้างเรื่องวุ่นวายเช่นนี้สนุกนักหรือ เรื่องแพร่ออกไปมีเกียรตินักหรืออย่างไร
เฉินลั่วไม่กล่าวสิ่งใด
ทั้งสองคนเดินไปที่สวนดอกไม้ด้านหลังสถานที่ที่เฉินเจวี๋ยนัดเอาไว้
หวังซีกลับเหมือนมีผีไล่ตามหลังอยู่ก็ไม่ปาน เกือบจะเป็นการวิ่งเหยาะๆ ไปตลอดทางจนถึงหอนกกระจ้อยขับขาน
เสียงกลองเสียงฆ้องดังทั่วท้องนภา เสียงจอแจของผู้คน บทเพลงปลุกเร้าจิตใจคน บ่าวไพร่ที่ผลัดกันเข้าๆ ออกๆ คล้ายคลื่นมนุษย์หลั่งไหลมาปะทะใบหน้า ทำให้หวังซีมีความรู้สึกสงบและมั่นใจว่าได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้ว
นางเกือบจะหลั่งน้ำตาแล้ว
ขอเพียงจ่างกงจู่ไม่สังหารคนต่อหน้าสาธารณะ ภายใต้การจดจ้องของทุกคน นางก็เชื่อว่าตัวเองรอดชีวิตแล้ว
สุดท้ายแล้ว เป็นเพราะความสามารถในการปกป้องตัวเองของนางย่ำแย่เกินไป ถ้าหากนางมีฝีมือเหมือนชิงโฉวและกับหงโฉว ต่อให้ยามอยู่ต่อหน้าจ่างกงจู่และคนอื่นๆ จะหนีออกมาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ปกป้องตัวเองได้!
นางทอดถอนหายใจอยู่ในใจ หมุนกายเดินไปที่อาคารหลังเล็ก
ลู่หลิงและฉังเคอแบ่งกันใช้กล้องส่องทางไกล ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่
ส่วนคุณหนูรองอู๋หลับตาพิงอยู่กับผนังคล้ายเคลิ้มหลับ ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
ได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ทั้งสามคนต่างหันมามอง
ลู่หลิงยังกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า พี่สาวหวัง เจ้าไปไหนมา หากเจ้ายังไม่กลับมาอีก ข้าคงต้องไปแล้ว!
หวังซีไม่เข้าใจ
ฉังเคอกล่าวอธิบายยิ้มๆ ว่า ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเจียงชวนป๋อให้คนมาเชิญหลิงจื่อ บอกว่าใกล้จะถึงเวลากล่าวต้องกราบอวยพรแล้ว เป่าชิ่งจ่างกงจู่ต้องการจะพบหลิงจื่อก่อนที่จะถึงพิธีดังกล่าว นางจึงต้องกลับไปก่อน
แต่เป่าชิ่งจ่างกงจู่เพิ่งแยกย้ายกับนางเมื่อครู่…
นางทำได้อย่างไร
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ประสบกับเหตุการณ์น่าหวาดผวามา สีหน้าของหวังซีที่กระโดดหนีออกมาจากความตายได้ดูเหนื่อยล้า นางไม่มีเรี่ยวแรงไปคิดอะไรมาก พยักหน้าส่งๆ พลางกล่าว เช่นนั้นพวกเราคงได้เจอกันอีกทีตอนอาหารเย็นใช่หรือไม่
ลู่หลิงพยักหน้า วิ่งเข้ามา กล่าวด้วยดวงหน้าแดงเรื่อว่า พี่สาวหวัง เจ้าอย่าลืมจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่เชียว! กลับไปแล้วข้าจะจัดเตรียมใบชาเอาไว้ให้เรียบร้อย
หวังซีอดสงสัยไม่ได้ว่าที่ลู่หลิงรอนางเป็นเพราะอยากไปกินข้าวที่บ้านนางสักมื้อ มิได้รอนางกลับมาเพื่อจะได้ร่ำลากันต่อหน้า
ข้าจำได้ นางกล่าว ในใจนึกถึงงานชิมสุรานั่นขึ้นมา
แต่หวังว่าคงไม่ต้องใช้งานมันตลอดไป
พวกนางส่งลู่หลิงออกไปเสร็จ การแสดงงิ้วก็ใกล้จบแล้วเช่นกัน คุณหนูรองอู๋ปรึกษาพวกนางว่า พวกเจ้าจะตรงไปที่หอนกกระจ้อยขับขานหรือตรงไปยังสถานที่กล่าวกราบอวยพรเป่าชิ่งจ่างกงจู่
สถานที่กล่าวคำห้องทำพิธีอวยพรเป่าชิ่งจ่างกงจู่จัดไว้ที่ห้องโถงหลักของจวนจ่างกงจู่ คนที่กราบอวยพรนางเป็นกลุ่มแรกคือเฉินเจวี๋ยสามพี่น้อง ถัดไปเป็นสตรีที่สนิทสนมกับนาง จากนั้นเป็นครอบครัวชนชั้นสูงที่ผูกมิตรด้วยเหล่านั้น และสุดท้ายถึงจะเป็นแขกผู้มีเกียรติคนอื่นๆ
หวังซีรู้สึกว่าวันนี้ตัวเองเป็นจุดสนใจมากพอแล้ว ย่อมเลือกไปพร้อมกับจวนหย่งเฉิงโหว
คุณหนูรองอู๋ครุ่นคิด กล่าวว่า เช่นนั้นข้าก็ไปที่นั่นก่อนก็แล้วกัน! ข้าสงสัยว่าท่านย่า ป้าสะใภ้และอาสะใภ้ของข้าคงไปที่ห้องโถงหลักนานแล้ว ที่นี่คนน้อยเกินไป
หวังซียิ้มกล่าว หากพวกนางไม่อยู่ เจ้าไปพร้อมกับพวกข้าก็ได้
ตอนกราบอวยพรจะมีการขานเรียกชื่อ เมื่อทุกคนได้ยินชื่อตัวเองถึงเข้าไป ไม่อาจเข้าไปพร้อมกันเหมือนฝูงผึ้งได้
ดูเหมือนต้องเป็นเช่นนั้นแล้ว คุณหนูรองอู๋ได้ยินแล้วอดเย้าแหย่ตัวเองไม่ได้ว่า ไม่เช่นนั้นอยู่คนเดียว ถูกผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนักฆ่าจะทำอย่างไร
ถ้าหากชิงโฉวกับหงโฉวยังอยู่ข้างกาย นางต้องหัวเราะฮ่าเสียงดังไปด้วยแล้ว แต่เวลานี้ นางไม่มีอารมณ์เลยแม้แต่นิดเดียว
ฝืนหันไปหัวเราะกับคุณหนูรองอู๋อย่างฝืดเฝื่อน เบื้องหน้าเห็นข้าราชสำนักสตรีฝ่ายในอายุสามสิบปีผู้หนึ่งพาชิงโฉวกับหงโฉวเดินเข้ามา
หวังซีลิงโลดยินดี ตะโกนเรียกพวกนางเสียงดัง
ชิงโฉวกับหงโฉวดูไม่มีบาดแผลภายนอกอะไร สีหน้าก็ยังคงสงบนิ่ง ไม่คล้ายคนได้รับความยากลำบากมา
ในที่สุดหัวใจที่แขวนอยู่ของนางก็วางลงมาได้ รีบสาวเท้าก้าวออกไปต้อนรับชิงโฉวกับหงโฉว
เมื่อทั้งสองคนเห็นนาง กระบอกตาก็ล้วนรื้นชื้นขึ้นมาเล็กน้อย หงโฉวซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ปากขมุบขมิบคล้ายต้องการพูดอะไรบางอย่าง ทว่าถูกชิงโฉวดึงชายเสื้อเอาไว้ กล่าวว่า คุณหนูใหญ่ พวกเราหามาครึ่งค่อนวันก็หาปิ่นดอกไม้ไม่เจอ กล่าวจบ นางยกเท้าขึ้นให้หวังซีดูพื้นรองเท้าของนาง ทุกที่เต็มไปด้วยโคลน ร่างกายเขลอะต็มไปด้วยฝุ่น พวกข้าจะไปเปลี่ยนชุดก่อน ท่านต้องการไปเกล้าผมใหม่หรือไม่เจ้าคะ
เนื่องจากปิ่นดอกไม้หายไปชิ้นใหญ่ขนาดนั้น มวยผมของหวังซีจึงมีพื้นที่ของเรือนผมสีดำปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด
…………………………………………………………………
ตอนต่อไป