หวังซีรู้สึกว่าคำพูดของเฉินลั่วมีเหตุผล แต่คนที่เสนอให้ใช้หลิวจ้งคือนาง นางจึงเป็นห่วงเรื่องนี้มากกว่าเรื่องอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้ยินแล้วอดกล่าวไม่ได้ว่า “เจ้ากับหลิวจ้งนัดพบกันเมื่อไร ข้าอยากไปกับเจ้าด้วย!”
เฉินลั่วพอจะรับรู้ได้ถึงความคิดของหวังซี คิดว่าให้นางออกไปเดินเล่นบ้างก็ดีเหมือนกัน มารดาของเขาก็เป็นเพราะวันๆ เอาแต่วนเวียนอยู่ในวังหลวง ในวังมีสายลมพัดยอดหญ้าไหวอะไรนางล้วนตื่นตระหนกตามไปด้วยเสมอ พอนานวันเข้า ก็เปลี่ยนไปเหมือนสตรีในวังหลวง ที่รู้จักแค่พื้นที่ไม่กี่หมู่ของวังหลวงเท่านั้น แม้แต่ความคิดก็คับแคบขึ้นมา นี่มิใช่เรื่องดีอะไร
“ได้!” เขาตอบตกลงด้วยความยินดี กล่าวว่า “สถานที่นัดพบของพวกข้าคือเรือนที่เขาพักอยู่ พรุ่งนี้รับมื้อเช้าเสร็จก็ไปได้เลย จะได้ไม่ถูกแดดเผาจนไร้กำลังวังชาเหมือนผักกาดโดนน้ำร้อนลวกเพราะไปตอนตะวันขึ้นสายโด่ง”
หวังซีหัวเราะร่า กล่าวว่า “เจ้ารู้จักผักกาดขาวโดนน้ำร้อนลวกด้วยหรือ!”
ไม่น่าเชื่อว่าเฉินลั่วจะครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจัง กล่าวว่า “เจ้าอย่าว่าไปเชียว ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ แต่ทุกคนล้วนเปรียบเปรยกันเช่นนี้ ข้าก็เลยเปรียบเปรยเช่นนี้ตามไปด้วย”
“เช่นนั้นหากคราวหน้าเจ้ามีเวลา ข้าจะพาเจ้าไปดูที่เรือนครัว ให้พวกนางลวกผักกาดขาวให้เจ้าดู ทีนี้เจ้าก็รู้แล้วว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไร!”
พูดถึงเรือนครัว เฉินลั่วเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้พวกเจ้าทำขนมอะไรบ้าง ขนมวุ้นแห้วของเมื่อคราวก่อนอร่อยมาก หาได้ง่ายหรือเปล่า วันนี้แบ่งให้ข้าเอากลับไปด้วยอีกสักหน่อยได้หรือไม่”
เขากินของที่วังหลวงพระราชทานมาให้เป็นเสียส่วนมาก แต่ของในวังหลวงล้วนมีการกำหนดไว้ตายตัว ไม่ชอบทำพวกของกินตามฤดูกาลเป็นที่สุด ด้วยกลัวว่าหากสตรีชั้นสูงในวังหลวงกินแล้วรู้สึกอร่อย อยากกินทุกวันขึ้นมา ต่อให้พวกเขาต้องแขวนคอก็หามาให้ไม่ได้
เฉินลั่วจึงชอบกินของตามฤดูกาลมากเป็นพิเศษ แล้วเขาก็ค่อนข้างรู้จักของพวกนี้ด้วย
แห้วไม่น่าใช่ของที่มีในฤดูกาลนี้
หวังซียิ้มไม่หุบ กล่าวว่า “ที่เจ้ากินทำจากแป้งสาลีผสมกับน้ำแห้ว ฤดูกาลนี้ไม่มีแห้ว แต่แห้วเมื่อปั่นแล้วทำเป็นน้ำเชื่อมเก็บไว้ในห้องเก็บน้ำแข็ง กลับเก็บไว้ได้นาน”
เฉินลั่วนึกถึงจ่างกงจู่ที่ตามหาลิ้นจี่ไปครึ่งค่อนคืนขึ้นมา กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าทำให้ข้าสักเล็กน้อย ข้าจะให้คนเอากลับไปให้ท่านแม่ของข้าลองชิมดู”
หวังซีถามอย่างแปลกใจว่า “วันนี้เจ้าไม่กลับเข้าเมืองหรือ”
“ไม่กลับ!” เฉินลั่วตอบ “พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางมาอีก เหนื่อยเกินไปแล้ว ข้าตั้งใจจะไปวัดเจินอู่สักครั้งหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยเดินทางมาจากที่นั่น”
วัดเจินอู่กับวัดอวิ๋นจวีล้วนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง อยู่ห่างกันไม่ไกลนัก
หวังซียิ่งรู้สึกแปลกใจ ถามว่า “เจ้าไปวัดเจินอู่ทำไม ไปหาเซียวเหยาจื่อหรือ”
เรื่องส่วนผสมของธูปหอมก็จัดการเรียบร้อยแล้วมิใช่หรือ
เฉินลั่วอึกอักไม่ได้ตอบหวังซีอย่างกระจ่างนัก พวกไป๋กั่วที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างต่างมองหน้ากันไปมา
คุณหนูใหญ่ของพวกนางมีเวลาว่างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เรื่องกินเรื่องดื่มประเภทนี้ก็ยังคุยจนเกือบหนึ่งชั่วยามโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายได้
สาวใช้สองสามคนต่างเจ้ามองข้าเข้ามองเจ้า ในใจบังเกิดความกระวนกระวายขึ้นมาหลายส่วน รู้สึกว่าอย่างไรก็ต้องคุยเรื่องนี้กับหวังหมัวมัวดีๆ สักครั้ง
หวังซีในเวลานี้กลับไม่รู้สึกตัว อันดับแรกนางให้เรือนครัวทำขนมวุ้นแห้วให้เฉินลั่วส่งกลับไปที่จวนจ่างกงจู่สองสามกล่อง จากนั้นจัดเรือนปีกเอาไว้หนึ่งห้องสำหรับให้เฉินลั่วเอาไว้พักกลางวัน ทำบะหมี่เย็นของสู่จงให้เขารับประทานเป็นมื้อเย็น กระทั่งพระอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตก ไอร้อนค่อยๆ จางหายไป นำน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่แช่น้ำแข็งมาแล้วกรอกใส่ถุงใส่น้ำหนังแพะเสร็จแล้วถึงได้ส่งเขาออกจากประตู
ยังย้ำกำชับเฉินลั่วว่า “หากหนึ่งชั่วยามแล้วยังดื่มไม่หมด ก็ให้เททิ้งเลย ถ้ารู้สึกถูกปาก คราวหน้าค่อยทำให้เจ้าอีก ห้ามเสียดายความเย็นเล็กน้อยนั่นเป็นอันขาด กินแล้วท้องเสียได้”
เฉินลั่วกลับเสียดายถุงใส่น้ำหนังแพะของตัวเองใบนั้น นี่เป็นถุงใส่น้ำที่ฮั่วถิง ผู้ตรวจราชการต้าถงในเวลานั้นสอนเขาทำด้วยตัวเองตอนที่เขาติดตามฮ่องเต้ไปตรวจราชการที่ต้าถงเป็นครั้งแรก เขาพกติดตัวมาหลายปีแล้ว
อากาศร้อนขนาดนี้ ใส่น้ำบ๊วยเปรี้ยวที่แช่น้ำแข็งมาแล้ว คงใช้งานไม่ได้อีกแล้วกระมัง
หวังซีสั่งให้คนกรอกน้ำบ๊วยเปรี้ยวให้เขาด้วยเจตนาดี เขามองสายตาขอความช่วยเหลือของเฉินอวี้ตอนที่ไป๋กั่วมาหยิบถุงใส่น้ำ เขาลังเลเดินกลับไปกลับมาอยู่ในเรือนรับรองแขกหลายต่อหลายรอบอย่างตัดสินใจไม่ได้ สุดท้ายขณะที่ตัดสินใจได้ว่าจะปฏิเสธความหวังดีของหวังซีไปอย่างสุภาพนั้น ไป๋ซู่ก็นำถุงใส่น้ำที่กรอกน้ำบ๊วยเปรี้ยวเสร็จเรียบร้อยแล้วส่งกลับมาให้
และเวลานี้เมื่อเขามองริมฝีปากอ่อนนุ่มงดงามสีกุหลาบดุจกลีบดอกไม้ของหวังซีแล้ว เขาได้แต่รู้สึกใบหูร้อนผะผ่าว จึงยิ่งเอ่ยถ้อยคำปฏิเสธและเสียดายนั่นออกมาไม่ได้
ช่างมันเถิด เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่างน้อยก็มีคนผู้หนึ่งดีใจ เขาไม่พูดสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องหดหู่ใจแล้วดีกว่า
เฉินลั่วพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ควบม้าสะบัดแส้ออกจากวัดอวิ๋นจวีไป
หวังซีกลับไปที่เรือนหลัก
ฉังเคอนั่งอยู่ข้างโต๊ะหินใต้ซุ้มองุ่นกำลังเย็บพื้นรองเท้ากับสาวใช้เด็กสองคนอยู่ เมื่อเห็นนางก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไอโย กลับมาแล้วหรือ! ข้าคิดว่าเจ้าจะรอจนถึงเวลาจุดโคมไฟก่อนถึงจะรู้จักกลับรังเสียอีก! คงมิใช่เพราะเฉินลั่วไปแล้วหรอกกระมัง”
หวังซีจับต้นชนปลายไม่ถูก กล่าวว่า “เจ้าเป็นอะไรหรือ ข้าทำอะไรให้เจ้าขุ่นเคืองใจตรงที่ใดหรือเปล่า เจ้ามีอะไรก็พูดมาเถอะ ระหว่างพวกเราอย่ามีอะไรคลุมเครือกันเลย ข้าไม่ชอบ!”
ฉังเคอกระโดดตัวโหยงขึ้นมาใช้พื้นรองเท้าตีหวังซีไปสองครั้ง กล่าวว่า “เจ้ายังรู้ว่าเจ้าคือสตรีในห้องหออยู่นี่นา! เฉินลั่วผู้นั้นมา ให้พี่ชายร่วมน้ำนมของเจ้าไปรับรองเขาก็พอแล้ว เจ้าไปพบเขาครั้งหนึ่งก็ถือเป็นการให้ความเคารพมากแล้ว ยังต้องให้เจ้าจัดเตรียมทุกอย่างให้เขาอีกหรือ หากคราวหน้าเจ้ายังเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะไปบอกท่านย่า พวกเรากลับจวนหย่งเฉิงโหวกัน”
ขณะที่นางกล่าว สีหน้าดูสลดหดหู่
แน่นอนว่าสำหรับนางแล้วหวังซีย่อมดีที่สุด แต่คนอย่างจ่างกงจู่ ทั้งไม่มีโอกาสได้รู้จักหวังซี และไม่มีทางมองหวังซีด้วยความเที่ยงธรรม ต่อให้เฉินลั่วปฏิบัติกับหวังซีพิเศษกว่าคนอื่น จ่างกงจู่ก็ไม่มีทางเอาหวังซีมาเป็นตัวเลือกบุตรสะใภ้ของนาง
แทนที่ถึงเวลาแล้วต้องเสียใจ มิสู้ตัดสัมพันธ์ไปตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่า
เนื่องจากหวังซีไม่ได้คิดไปทางเดียวกับนาง จึงไม่ค่อยเข้าใจความกังวลของฉังเคอเท่าไรนัก
แต่นางสัมผัสได้ถึงแววตาเป็นห่วงของฉังเคอ คิดว่าหรือฉังเคอยังมีอคติบางอย่างต่อเฉินลั่วอยู่ กลัวเฉินลั่วจะเป็นภัยต่อนาง นางจึงปลอบโยนฉังเคออย่างมีขันติ “เพราะเรื่องของหลิวจ้ง”
นางเล่าแผนการของทั้งสองคนให้ฉังเคอฟัง “เป็นสิ่งที่ข้าเสนอขึ้นมา เพราะฉะนั้นข้าย่อมต้องมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นจนจบ!”
ฉังเคอนึกถึงเสื้อตัวในของอาหลีที่สวมใส่จนแขนเสื้อสั้นถึงข้อศอกนั่นแล้วปวดแปลบหัวใจ รู้สึกว่าแทนที่หลิวจ้งจะไปเป็นผู้ช่วยให้เฉินลั่วมิสู้ไปเป็นหลงจู๊ให้ตระกูลหวังดีกว่า ดีร้ายภายในระยะเวลาอันสั้นยังได้เรียนรู้ทักษะอะไรบ้าง สร้างเนื้อสร้างตัวให้ชีวิตดีขึ้นมาได้
นางถอนหายใจครั้งหนึ่ง หยิบเข็มและด้ายขึ้นมาเย็บพื้นรองเท้าให้อาหลีต่อ ในใจกลับตรึกตรองว่าควรเตือนหลิวจ้งสักคำหรือไม่ ให้เขาเลือกตระกูลหวัง แต่ก็คิดว่าหลิวจ้งนั้นแม้แต่เรื่องโหราศาสตร์ดูดวงชะตาเขายังเชี่ยวชาญ ต้องเป็นคนฉลาดผู้หนึ่งอย่างแน่นอน ต่อให้ไม่มีคำเตือนของนางเขาก็น่าจะเลือกเจ้านายที่เป็นคุณต่อเขาได้ แต่เมื่อคิดอีกทีก็รู้สึกว่าคนฉลาดมักถูกความฉลาดทำร้าย ไม่แน่หลิวจ้งอาจเห็นว่าตระกูลตกต่ำมาหลายปี ทั้งที่รู้ว่าในภูเขามีพยัคฆ์ซ่อนอยู่แต่ก็ยังคงเดินไปหาภูเขาพยัคฆ์อยู่ดี สุดท้ายตัดสินใจเลือกเฉินลั่ว…
นางกระวนกระวายใจ กระทั่งวันรุ่งขึ้นก็ยังตัดสินใจไม่ได้ ทว่าหวังซีกลับเริ่มล้างหน้าแต่งกาย เตรียมตัวไปพบหลิวจ้งกับเฉินลั่วแล้ว
ฉังเคอกัดฟันครุ่นคิด ให้คนนำความไปแจ้งหลิวจ้ง ทว่าไม่ได้โน้มน้าวเขาว่าควรเลือกเช่นไร แต่ย้ำกำชับเขา ให้เขาคิดถึงอาหลีให้มาก เขาคืออาของอาหลี เป็นญาติเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ของอาหลี
หลิวจ้งได้รับข้อความของฉังเคอแล้วตะลึงงันไปครู่ใหญ่ก็ยังพูดอะไรไม่ออก
เขากับคุณหนูจวนหย่งเฉิงโหวท่านนี้เคยคุยกันแค่ไม่กี่ประโยค คิดไม่ถึงว่านางจะรักอาหลีขนาดนี้ หวนนึกถึงเรื่องของคุณหนูสกุลหวังที่เขาสืบความมาอีกครั้ง เขาเดาว่าคุณหนูท่านนี้อาจเป็นคนทำเสื้อผ้าและรองเท้าเหล่านั้นให้อาหลีก็เป็นได้
เห็นได้ชัดว่าในดงไผ่ชั่วร้ายยังมีหน่อไม้ดีๆ อยู่ ตระกูลฉังเองก็มีคนจิตใจดีเช่นกัน
หลังจากหลิวจ้งกล่าวขอบคุณสาวใช้ข้างกายของฉังเคอแล้ว เฉินลั่วกับหวังซีก็มาถึงพร้อมกัน
หลิวจ้งมองหวังซีที่อยู่ข้างกายเฉินลั่ว ประดับดอกมะลิร้อยไว้ตรงจอนหูหนึ่งเส้น ในมือถือตะกร้าหวายหนึ่งใบ แต่งกายเหมือนสาวชาวบ้านทว่ายากจะปกปิดความสดใสงดงามเอาไว้ได้นั่นแล้วเหยียดมุมปาก
เด็กสาวผู้นี้คงมิได้เอาของกินมาอีกแล้วกระมัง
แม่ครัวของตระกูลหวังทำให้อาหลีคุ้นชินกับรสชาติเช่นนั้นไปแล้ว
แม้นเขาไม่พูดอะไร ทว่าเวลากินข้าวกลับดูออกว่าไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยและดีใจเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
เด็กสาวผู้นี้ช่างจุ้นจ้านมากความ หากมิใช่เพราะนาง เขาก็คงไม่ตกเข้ามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
หลิวจ้งคิดว่าอย่างไรตนก็ไม่ควรมาคิดบัญชีกับเด็กสาวอายุสิบกว่าปีผู้นี้ จำต้องเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ เชิญทั้งสองคนไปนั่งในโถงรับรอง
นับตั้งแต่ที่อาหลีถูกหลิวจ้งจับตัวกลับมาในวันนั้นเขาก็ถูกกักบริเวณให้ฝึกคัดอักษรตามเส้นประอยู่ในบ้าน เมื่อได้ยินเสียง เห็นว่าหวังซีมาหา เขาก็ทิ้งพู่กันในมือลงวิ่งออกมา “ท่านน้าหวัง ท่านมาเยี่ยมข้าหรือ ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน! ท่านน้าฉังสบายดีหรือไม่ เหตุใดนางไม่มากับท่านด้วย นางโกรธข้าแล้วใช่หรือไม่!”
กล่าวจบ เขายังมองไปรอบๆ อย่างคาดหวัง
ความยินดีที่ออกจากมาจากดวงตาและหัวใจนั่น ทำให้ดวงหน้าของเขาดูเหมือนดวงจันทราที่มีแสงสว่างเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งชั้น มองแล้วหัวใจของหวังซีสั่นไหวไปหมด
“วันนี้ท่านน้าฉังของเจ้ามีธุระ ก็เลยไม่ได้มาด้วย” หวังซีรีบนั่งยองลงมากอดอาหลีไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม อธิบายเสียงอบอุ่นว่า “นางไม่ได้โกรธเจ้า! เจ้าเป็นเด็กดีขนาดนี้ ผู้ใดจะโกรธเจ้าลง! นางทำรองเท้าหัวเสือให้เจ้าอยู่ที่บ้าน อีกไม่กี่วัน อากาศเย็นลง เจ้าก็มีรองเท้าสวยๆ ใส่แล้ว!”
“จริงหรือขอรับ” ดวงตาทั้งสองข้างของอาหลีเป็นประกาย เอียงศีรษะยิ้มหวานพลางกล่าว “ข้าชอบท่านน้าฉังที่สุด!”
นี่ทำให้หวังซีและหลิวจ้งที่อยู่ในห้องต่างมีความรู้สึกเหมือนหัวใจมีเลือดสูบฉีด
ทว่าเฉินลั่วกลับรู้สึกเฉยๆ กับอาหลี
มิใช่ว่าเขาไม่ชอบอาหลี แต่เขาล้วนเย็นชากับเด็กทุกคน ไม่รู้ว่าเด็กเหล่านี้มีอะไรให้น่าเล่นด้วย เหตุใดคนมากมายล้วนชอบหยอกล้อเล่นกับเด็กเล็ก
ใช่ มันคือการ ‘หยอกล้อ’
ในเมื่อทุกอย่างคือคำโกหก เหตุใดต้องเปลืองน้ำลายด้วย
ตอนเป็นเด็กเขาเคยถูกมันทำร้ายมา
เห็นหวังซีกับหลิวจ้งยังตั้งท่าจะพูดไร้สาระกับอาหลีต่อ เขากระแอมไอสองครั้งอย่างไม่ค่อยพอใจนัก กล่าวว่า “อากาศร้อนขนาดนี้ ทุกคนนั่งลงมาคุยกันเถอะ!”
ถึงพวกเขาจะนั่งรถม้ามา แต่นั่งรถม้าก็ต้องเร่งเดินทางเหมือนกัน เหตุใดหลิวจ้งถึงไม่คิดจะรินน้ำชาให้พวกเขาดับกระหายบ้าง!
หลิวจ้งเองก็ดูจะนึกขึ้นมาได้แล้ว กล่าวทักทายหวังซีกับเฉินลั่วเสร็จแล้วก็อุ้มอาหลีเข้าไปที่ห้องชั้นใน หลอกล่อให้เขาคัดอักษรตามเส้นประต่อ ส่วนตัวเองไปรินน้ำชาและยกออกมา
ตระกูลหลิวตกต่ำจนถึงขั้นไม่มีคนปรนนิบัติรับใช้แม้แต่คนเดียวหรือ
เฉินลั่วมองสำรวจหลิวจ้งเงียบๆ คิดว่าจะใช้วิธีอะไรโน้มน้าวให้หลิวจ้งทำงานให้เขาดี
ผู้ใดจะรู้ว่าหลิวจ้งเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน
ไม่รอให้เฉินลั่วพูด เขาก็เปิดอกกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าได้ยินว่าใต้เท้าเฉินอยากให้ข้าไปเป็นผู้ช่วยของท่าน ไม่รู้ว่าใต้เท้าเฉินถูกใจอะไรในตัวข้าหรือ แล้วข้าทำอะไรให้ใต้เท้าเฉินได้บ้าง คาดว่าท่านเองก็น่าจะเคยสืบเรื่องของตระกูลหลิวมาแล้ว ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ แม้นกล่าวว่าประชาชนยังจดจำความดีอันน้อยนิดของท่านปู่ข้าได้อยู่บ้าง แต่ในราชสำนัก ไม่มีที่ให้ตระกูลหลิวของพวกข้าพูดอะไรได้มานานแล้ว เกรงว่าข้าคงทำให้ใต้เท้าเฉินผิดหวัง”
………………………………………………………………………..
ตอนต่อไป