เฉินลั่วกล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ”
“ไม่น่าเป็นไปได้!” หวังซีตอบยิ้มๆ อย่างเก้อเขินหลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าจะทำเยี่ยงไร” เฉินลั่วถาม “สังหารคน? ออกอุบายทำลายเฉินอิง?”
ตอนแรกหวังซีกังวลว่าเขาจะทำเช่นนั้นจริงๆ เพราะนั่นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่เมื่อเขาเอ่ยปากถามเช่นนี้ หวังซีพลันรู้สึกว่าตัวเองคงเข้าใจเขาผิดไปแล้ว หากเขาคิดว่าสังหารเฉินอิงแล้วแก้ปัญหาทุกอย่างได้จริง ด้วยสถานะของเขา คงทำไปนานแล้ว แต่ตอนนี้มิใช่แค่เฉินอิงที่ยังอยู่ดีมีสุขเท่านั้น แม้แต่คนที่เคยหาเรื่องเขามาก่อนอย่างเฉินเจวี๋ยก็อยู่ดีมีสุขเช่นกัน นอกจากนี้ยังมาหาเรื่องเขาด้วยความเดือดดาลบ่อยๆ อีกด้วย เห็นได้ชัดว่าเขามิใช่คนที่เลือกใช้วิธีสกปรกเพื่อให้บรรลุเป้าหมายประเภทนั้น
นางยิ้มอย่างกระดากอาย เนื่องจากมีชนักติดหลังจึงยินดีหยอกเย้าเฉินลั่วเพิ่มจากยามปกติมากขึ้น
“จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร เจ้ามิใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย!” หวังซีกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางมั่นใจขึงขัง “เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะคิดเอนเอียงไปชั่วขณะมิใช่หรือ หาไม่จะมีคำกล่าวที่ว่า ‘กระทำตามอารมณ์’ ประโยคนั้นได้อย่างไร นี่ข้าก็แค่เตือนสติเจ้าเท่านั้น!”
หากมิใช่เพราะเห็นว่าระหว่างที่เปิดปากพูดนางมีท่าทางกระวนกระวายล่ะก็ เฉินลั่วคงเชื่อคำพูดของนางจริงๆ ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม นับว่านางยังมีไหวพริบอยู่ รีบปรับเปลี่ยนคำพูดของตัวเองได้ทันท่วงที หาไม่แล้วด้วย ‘ความไม่เชื่อใจ’ เพียงเล็กน้อยของเขา เขาอาจจะตัดความสัมพันธ์กับนางก็เป็นได้
เฉินลั่วครวญเสียงเย็นครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ความตายคือบทสรุปมิใช่ขั้นตอนการดำเนินการ มนุษย์บนโลกใบนี้ ใช่ว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่โดยลำพังได้ เจ้าต้องมีการติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยถึงจะใช้การได้ และเนื่องจากเจ้าต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ก็ต้องกระทำตามกฎระเบียบและข้อบังคับที่ทุกคนกระทำตาม การฆ่าคนคือการละเมิดกฎระเบียบและข้อบังคับของสังคมที่เลวร้ายที่สุด ต้องรู้ว่า ครั้นเจ้ากลายเป็นผู้ละเมิดกฎระเบียบและข้อบังคับของสังคมแล้ว เจ้าก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎระเบียบและข้อบังคับของสังคมอีกเช่นกัน เจ้าสังหารผู้อื่นอย่างไร้ศีลธรรมได้ ผู้อื่นก็ปลิดชีวิตเจ้าอย่างไร้ศีลธรรมได้ดุจเดียวกัน…
…เจ้าเองก็เคยพูดมิใช่หรือว่า มีแต่จับโจรหนึ่งพันวัน ไม่มีเฝ้าระวังโจรหนึ่งพันวัน…
…คนที่ไร้ซึ่งการคุ้มครองจากกฎระเบียบและข้อบังคับของสังคม ก็อยู่ห่างจากการถูกสังคมขับไล่และความตายไม่ไกลแล้ว…
…ดังนั้นพวกเราต้องไม่ฆ่าใครง่ายๆ เป็นอันขาด จะให้ดีที่สุดคืออย่าได้แม้แต่จะคิด!”
เขาจ้องหวังซีด้วยท่าทางที่กลัวว่านางจะมีความคิดดังกล่าวผุดขึ้นมา
นี่ตกลงว่าใครกำลังเตือนสติใครอยู่กันแน่!
หวังซีบริภาษอยู่ในใจ ทว่าไม่กล้าเผยออกมาให้เห็นทางสีหน้าแม้แต่นิดเดียว ยังคงพยักหน้าอย่างคนเชื่อฟัง กล่าวว่า “ใต้เท้าเฉินกล่าวถูกต้องแล้ว”
เฉินลั่วรู้สึกว่าหวังซีเป็นคนใจกล้าและดื้อรั้นมาโดยตลอด คนเช่นนี้มิใช่คนที่จะเชื่อฟังคำหว่านล้อมของใครง่ายๆ เขาอดที่จะกล่าวเพิ่มอีกสองประโยคไม่ได้ว่า “องค์ชายขึ้นครองราชย์แล้วค่อยๆ กำจัดบรรดาเชษฐาผู้พ่ายแพ้ทิ้ง นั่นก็เป็นการทำให้ยอมจำนนด้วยกลยุทธ์ แต่หากไปสังหารคนโดยตรง ต่อให้เป็นราชาผู้ปราดเปรื่องอย่างถังไท่จง ก็นับว่าเป็นมลทินอันใหญ่หลวง จนถึงบัดนี้ก็ยังถูกผู้คนตำหนิติเตียนอยู่! พวกเราจะเป็นคนเช่นนั้นไม่ได้!”
“เอาละ ข้าทราบแล้ว” หวังซีพยักหน้าเห็นด้วยอย่างคนเชื่อฟังอีกครั้ง ทว่าในใจกลับรู้สึกหดหู่ยิ่ง เห็นๆ อยู่ว่าเป็นนางที่กลัวว่าเขาจะมีความคิดเช่นนั้น เหตุใดกล่าวไปกล่าวมา กลับกลายเป็นนางที่มีความคิดเช่นนั้นไปได้เล่า?
เฉินลั่วผู้นี้ ช่างกลับดำเป็นขาวได้เก่งจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หวังซีตัดสินใจว่าจะไม่ต่อความยาวกับเขาเหมือนยามปกติ เพราะพวกเขายังมีเรื่องที่สำคัญกว่าให้ต้องจัดการอีก
นางถามเฉินลั่ว “เช่นนั้นพวกเราควรทำเช่นไร”
เฉินลั่วตอบอย่างสงบว่า “พวกเรารอไปก่อน!”
เมื่อหวังซีได้ยินประโยคนี้อีกครั้งในเวลานี้ก็ลอบกลอกตามองบนอยู่ในใจ
ผู้ใดไม่รู้ว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการรอ? แต่มีใครบ้างที่รู้ว่าตกลงแล้วฮ่องเต้มีแผนการอะไร จะลงมือเมื่อไร หรือเฉินลั่วต้องใช้เข็มเงินทดสอบพิษก่อนกินข้าว ออกจากบ้านไปไหนมาไหนก็ต้องมีคนรายล้อมคอยคุ้มกันอย่างนั้นหรือ?
ต่อให้เป็นเช่นนั้น หากฮ่องเต้ประสงค์ออกอุบายทำร้ายเฉินลั่วจริง ก็มีวิธีทำให้เขาอยู่ลำพังได้อยู่ดี!
นางถาม “รออย่างไร”
“รอโดยไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น” เฉินลั่วตอบ สีหน้าดูเคร่งขรึมมากขึ้น เค้าโครงหน้าก็ดูเด่นชัดมากยิ่งขึ้นด้วย
หวังซีตะลึงงัน
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เฉินลั่วสลัดใบหน้าเยี่ยงเอกบุรุษของก่อนหน้านี้ทิ้งไปกลายเป็นขึงขังเด็ดเดี่ยว องคาพยพทั้งห้าดูเด่นชัดขึ้นมาเช่นนี้
เหมือนต้นไผ่ลำหนึ่ง ที่ก่อนหน้านี้มีแต่ความผ่ายผอม ทว่าบัดนี้กลับเริ่มมีลักษณะเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของตัวเองให้เห็นรางๆ แล้ว
นี่มิใช่เรื่องดีกระมัง?
แต่เฉินลั่วที่เป็นเช่นนี้ ดูดีและใจกล้าห้าวหาญกว่าเมื่อก่อนมากโข
หวังซีรู้สึกเหมือนตัวเองได้ย้อนกลับไปอยู่บนศาลาของสวนหิมะงามตอนที่เห็นเฉินลั่วรำกระบี่เป็นครั้งแรกอีกครั้ง ใจเต้นโครมครามอย่างว้าวุ่นไปครู่ใหญ่ นางลูบหน้าอกเบาๆ ถึงทำให้หัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำสงบลงมาได้ กระนั้นก็ตามยามพูดนางยังคงรู้สึกยากที่จะสื่อสารความหมายที่ต้องการออกมาอยู่บ้างเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “นั่นมิเท่ากับว่าพวกเราเป็นฝ่ายถูกกระทำมากเกินไปหรอกหรือ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุนี้ถึงได้สูญเสียโอกาสเป็นฝ่ายโจมตีไป? ควรส่งคนไปสืบข่าวให้ละเอียดอีกหน่อยหรือไม่ ห่านป่าผ่านมายังทิ้งร่องรอย ต่อให้เป็นฮ่องเต้ ไม่ว่ามีเป้าประสงค์อะไร ย่อมไม่อาจขจัดร่องรอยทั้งหมดทิ้งได้หรอกกระมัง”
ความจริงแล้วนางกำลังใจลอย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง
เฉินลั่วกลับยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เป็นอย่างที่เจ้ากล่าวมาจริงๆ ห่านป่าผ่านมายังทิ้งร่องรอย ไม่ว่าฮ่องเต้ประสงค์จะทำอะไร ย่อมต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้บ้างเช่นกัน พวกเราระมัดระวังตัวสักหน่อย เล่นไปตามสถานการณ์ก็พอ”
หวังซีได้สติคืนกลับมา เพิ่งจะกระจ่างแจ้งในเวลานี้เองว่าเมื่อครู่ตนพูดอะไรไปบ้าง
นางหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย กล่าวว่า “เช่นนั้นถัดจากนี้พวกเราควรทำอะไร ต่างคนต่างอยู่ในเรือนของตัวเอง หรือควรให้คนข้างกายจับตาดูข่าวคราวอะไรเอาไว้สักหน่อย?”
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องทางฝั่งข้า เจ้าอย่าสนใจเลยดีกว่า”
เพราะไม่รู้ว่าฮ่องเต้ต้องการทำอะไร จึงทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าเขากับหวังซีติดต่อกัน
ผู้ใดจะกล้าตบอกรับประกันว่าเมื่อถึงเวลาจะไม่ทำให้หวังซีติดร่างแหไปด้วย?
คิดถึงตรงนี้ เขารู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อยที่มาหาหวังซี
แต่เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว คงได้แต่ต้องคิดในแง่ดีเข้าไว้ และมุ่งหน้าเดินไปในทิศทางที่คิดว่าดีเท่านั้นแล้ว
เขากล่าว “หมี่เหนียงจื่อที่เจ้าให้ข้ายืมตัวมาใช้ผู้นั้นมีประโยชน์ยิ่งนัก ระยะนี้ไม่ว่าจวนเจิ้นกั๋วกงเกิดเรื่องเล็กเรื่องใหญ่อะไรนางล้วนเอามาบอกข้าทั้งสิ้น โดยเฉพาะการติดต่อหากันระหว่างเฉินเจวี๋ยกับเฉินอิง คนของพวกเจ้ามีความสามารถมากจริงๆ”
หวังซีรู้สึกได้รับเกียรติไปด้วย กล่าวยิ้มๆ ว่า “นั่นมันของแน่อยู่แล้ว หากไม่เก่งกาจ นางย่อมไม่ได้แต่งงานกับลูกของบ่าวในบ้านพวกข้า” จากนั้นนางถามอย่างฉงนสงสัยว่า “ช่วงนี้เฉินเจวี๋ยกับเฉินอิงกำลังทำอะไรกันอยู่หรือ”
เฉินลั่วเหยียดริมฝีปาก กล่าวว่า “เฉินเจวี๋ยกำลังแนะนำให้เฉินอิงรีบแต่งงาน และจะให้ดีที่สุดคือแต่งงานกับซือจู แต่เฉินอิงรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก อันดับแรกคือซือจูไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา คนที่สายตาไม่มืดบอดล้วนทราบกันดีว่าตระกูลซือปรารถนาจะมีพระชายาขององค์ชายผู้หนึ่ง เฉินเจวี๋ยจึงติเตียนเฉินอิงว่าทำอะไรก็มักจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ และถอดใจตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม…
…เฉินอิงโมโหเหลือจะกล่าว รู้สึกว่าเฉินเจวี๋ยยืนพูดเฉยๆ ย่อมไม่รู้สึกปวดเอว แต่ยังคงอดกลั้นความโกรธนั้นไว้ ถามเฉินเจวี๋ยว่านอกจากว่าซือจูแล้ว ยังมีตัวเลือกอื่นอีกหรือไม่…
…เฉินเจวี๋ยจึงแนะนำให้เขาแต่งกับคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวหรือไม่ก็คุณหนูของตระกูลถาน”
ดวงหน้าของหวังซีเผยความประหลาดใจออกมา
จวนเซียงหยางโหวนั้นไม่ต้องพูดถึง ดองกับตระกูลชั้นสูงทั่วทั้งจิงเฉิง ส่วนตระกูลถานนั้น สู่ขอบุตรสาวเพียงหนึ่งเดียวของจวนเว่ยกั๋วกงไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้กำลังจะมีพระชายาองค์ชายอีกผู้หนึ่งด้วย หากเรื่องนี้ประสบผลสำเร็จ ตระกูลทั้งสองตระกูลนี้ล้วนเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือที่ไม่เลวเลยทีเดียว
หวังซีกล่าวอย่างเป็นกลางว่า “พี่สาวของเจ้าช่างมีสายตาแหลมคม”
เฉินลั่วกลับกล่าวอย่างดูแคลนว่า “นางก็แค่ทะนงตัว คิดว่าขอเพียงนางถูกใจ ก็ไม่มีทางล้มเหลว นางรู้สึกว่าสองตระกูลนี้เป็นคู่หมายที่ดี ไม่คิดบ้างหรือว่าผู้อื่นก็ถูกใจสองตระกูลนี้เช่นกัน? ตำแหน่งซื่อจื่อของจวนเจิ้นกั๋วกงไม่ได้รับการแต่งตั้งเสียที คนจำนวนมากไม่ได้มองเฉินอิงดีสักเท่าไรนัก เขาอยากยืมอำนาจของผู้อื่น แต่ผู้อื่นก็มิใช่คนโง่ คงไม่ง่ายดายขนาดนั้น!”
“แต่ตอนนี้คงไม่เหมือนเดิมแล้วกระมัง” หวังซีกล่าว “เนื่องจากฮ่องเต้มีพระประสงค์จะแต่งตั้งองค์ชายใหญ่เป็นไท่จื่อแล้ว”
“เพราะเป็นเช่นนั้น จึงยิ่งไม่ควรรีบร้อน” เฉินลั่วกล่าว “อย่างไรเสียไม่ว่าเรื่องราวจะลงเอยอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในไม่กี่เดือนนี้แล้ว”
หญิงสาวของตระกูลถานนั้นหวังซีรู้จักแค่คุณหนูสี่ หรือก็คือคนที่กำลังจะหมั้นหมายกับองค์ชายสี่ท่านนั้นเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ นั้นนางไม่รู้จัก จึงไม่มีความเห็นอะไร แต่คุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวนั้น เป็นคนที่เคยปฏิสัมพันธ์ด้วยหลายครั้ง เมื่อคิดว่านางอาจต้องแต่งกับเฉินอิงแล้ว หวังซีรู้สึกเสียดายแทนนางเล็กน้อยจริงๆ
จวนเจิ้นกั๋วกงซับซ้อนเกินไป มิใช่ตระกูลสามีที่ดีนัก
แต่นี่ก็เป็นความคิดของนางเพียงคนเดียว ไม่แน่ว่าคุณหนูห้าจวนเซียงหยางโหวอาจจะคุ้นเคยกับชีวิตเช่นนั้นอยู่แล้วก็เป็นได้
หวังซียังคงรู้สึกว่าเฉินลั่วไม่ปลอดภัย กล่าวว่า “เช่นนั้นช่วงนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งวิ่งพล่านไปทั่วเลย ข้าจะบอกหลงจู๊ใหญ่ของพวกข้าเอาไว้สักคำหนึ่ง ดูว่าจะหาวิธีว่าจ้างจอมยุทธ์พเนจรมาช่วยจัดการธุระและคุ้มกันเจ้าอย่างลับๆ สักสองสามคนได้หรือไม่ คนเช่นพวกเขานั้น ทำงานแลกเงิน เชื่อถือได้เป็นอย่างยิ่ง ดีร้ายก็เป็นผู้คุ้มกันได้ผู้หนึ่ง”
เฉินลั่วครุ่นคิดตาม ไม่ได้ปฏิเสธนาง กล่าวขอบคุณหวังซีด้วยน้ำเสียงจริงใจ
หวังซีจึงมอบหมายเรื่องนี้ให้หวังสี่ ส่วนนางง่วนกับการทดลองทำขนมไหว้พระจันทร์ไส้ผลไม้อยู่ที่บ้าน
ไม่รู้ว่าผิดพลาดตรงที่ใด สุดท้ายขนมไหว้พระจันทร์ที่ทำออกมายังคงไม่อาจรักษาเอกลักษณ์ของผลไม้เอาไว้ได้อยู่ดี ก็เลยยอมแพ้
นางจึงทำขนมไหว้พระจันทร์ตามแบบฉบับขนมของซูโจวและก่วงตงมอบให้ผู้อื่น ส่วนขนมไหว้พระจันทร์ที่ส่งกลับสู่จงนั้นเป็นขนมตามแบบฉบับของจิงเฉิง ถือเป็นการให้ทุกคนได้เปลี่ยนรสชาติ กินของแปลกใหม่สักครั้งหนึ่ง
นอกจากนี้เพียงพริบตาเดียวก็จะถึงต้นฤดูใบไม้ร่วง นางเองก็ต้องเตรียมตัวเดินทางกลับสู่จงแล้ว ครั้งนี้จึงส่งจดหมายหนึ่งฉบับกลับไปให้มารดาของนางเป็นพิเศษด้วย เล่าเรื่องจวนหย่งเฉิงโหวให้นางฟัง อยากให้มารดาของนางอนุญาตให้นางเดินทางกลับไปฉลองปีใหม่ที่สู่จง
ส่วนเรื่องงานแต่งของนางนั้น นางรู้สึกว่าเฟ้นหาจากตระกูลเดิมของป้าอาสะใภ้หรือไม่ก็ตระกูลเดิมของพี่สะใภ้มาสักสองสามคนก็ได้ เพราะทุกคนต่างรู้จักพื้นเพกันเป็นอย่างดี ขอเพียงรูปงาม รู้ความและฉลาดมีไหวพริบก็พอแล้ว
นางไม่ได้มีเงื่อนไขหรือข้อเรียกร้องสูงส่งอะไร
อย่างไรเสียนางก็ดื่มกินจากสินเจ้าสาวของตัวเองได้ เพียงจัดการสินเจ้าสาวของตัวเองให้ดี ก็ไม่จำเป็นต้องคอยมองสีหน้าของตระกูลสามีแล้ว
ช่างตรงกับคำกล่าวที่ว่าพอไร้เรื่องกวนใจร่างกายก็เป็นสุขประโยคนั้นยิ่งนัก รอจนกระทั่งตอนที่เจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่ามาขอยืมตัวอาจารย์ทำขนมหวานกับนาง นางยังจัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำไส้สูตรลับเฉพาะของตระกูลหวังหลายชนิดให้อย่างกระตือรือร้นอีกด้วย
หลังจากเจียงชวนป๋อฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องแล้ว ก็เชิญนางไปรับประทานอาหารที่บ้าน ยังให้คนไปแจ้งฮูหยินผู้เฒ่าทราบเป็นการเฉพาะด้วย
ช่วงนี้ฮูหยินผู้เฒ่าวุ่นอยู่กับเรื่องงานแต่งของหลานชายและหลานสาว ก็เลยไม่ได้ใส่ใจหวังซีเท่าก่อนหน้านี้ หวังซีจึงไม่ค่อยได้ไปรับมื้อเย็นเป็นเพื่อนนางมาระยะหนึ่งแล้ว
นางรู้สึกว่าหากหวังซีผูกมิตรกับจวนเจียงชวนป๋อได้ ก็เป็นการดีต่อเรื่องงานแต่งของหวังซี จึงไม่เพียงตอบรับอย่างยินดีเท่านั้น ยังมอบเงินห้าสิบตำลึงให้หวังซีนำติดตัวไปใช้อีกด้วย
หวังซีเองก็ไม่ปฏิเสธ นำไปซื้อส้มน้ำผึ้งสดใหม่ที่เพิ่งวางขายมาหนึ่งตะกร้าเป็นของฝากจากฮูหยินผู้เฒ่า
เพียงแต่ว่าตอนที่นางกำลังจะเดินทางไปจวนเจียงชวนป๋อนั้น หวังสี่ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา บอกว่าเฉินลั่วให้คนมาแจ้งนางว่า ฮ่องเต้ให้องค์ชายใหญ่ไปสังเกตการณ์ที่กรมอาญา โดยให้เขาติดตามไปด้วย
หวังซีตกใจ ลากหวังสี่ไปคุยข้างๆ กระซิบกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องตระหนก ใต้เท้าเฉินบอกอะไรมาบ้าง”
……………………………………………………………………………
ตอนต่อไป