ซือจูยังไม่ได้ออกเรือน ตามหลักแล้วยังถือว่านางเป็นคนของตระกูลซือ หากมีเรื่องกับตระกูลซือ นางเองก็หนีไม่พ้นเช่นกัน
ต้องรอดูว่าจวนเจิ้นกั๋วกงจะจัดการกับงานแต่งครั้งนี้อย่างไร
เวินเจิงฟังอยู่ข้างๆ นึกถึงเรื่องที่ได้ยินมาจากจวนเจียงชวนป๋อในวันนั้นขึ้นมา แต่เดิมเจิ้นกั๋วกงก็ดูหมิ่นดูแคลนตระกูลซืออยู่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลซือ ไม่แน่ว่าคนที่ดีใจที่สุดก็คือเจิ้นกั๋วกง ไม่โยนหินถมลงไปในบ่อน้ำก็ดีแค่ไหนแล้ว ตระกูลซืออยากให้บุตรสาวแต่งเข้าไป นับเป็นเรื่องฝันเฟื่อง!
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขา เขาก็เป็นแค่คนที่ยืนดูเรื่องสนุกผู้หนึ่งเท่านั้น
เวินจงไม่ได้คิดอะไรมาก
ผ่านไปไม่กี่วัน ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้รับองค์ชายใหญ่กับเฉินลั่วกลับจิงเฉิง
เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส องค์ชายใหญ่จึงพักฟื้นอยู่ที่บ้านไปก่อนเป็นการชั่วคราว ส่วนเฉินลั่วเพียงไม่นานก็ไปทำงานที่กองพลทองคำแล้ว ยังพาผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าอย่างเว่ยไหวจากกองพลม้าทะยานไปที่กองพลทองคำด้วย
องค์ชายรองไม่อาจแสดงความยินดีกับเฉินลั่วอย่างเปิดเผยได้ จึงเขียนจดหมายให้เฉินลั่วฉบับหนึ่งแทน
สองวันนี้เฉินลั่วถูกรายล้อมไปด้วยคนที่มาเยี่ยมอาการป่วยกับคนที่มาแสดงความเคารพอย่างเนืองแน่นจนน้ำแทบจะซึมผ่านไม่ได้ อ่านจดหมายขององค์ชายรองแล้วก็หัวเราะหยันออกมาไม่หยุด กล่าวกับหลิวจ้งที่ติดตามอยู่ข้างกายเขามานานว่า “หากข้าเป็นฮ่องเต้ ก็ดูแคลนเขาเช่นกัน ที่ฮ่องเต้โยนกองพลทองคำมาให้ข้า เพราะยกย่องข้าอย่างนั้นหรือ? เพราะไม่มีทางเลือกก็เลยจำเป็นต้องบีบจมูกยอมรับมากกว่า ฮ่องเต้ไม่รอให้เรื่องขององค์ชายใหญ่เงียบลงก่อนแล้วค่อยหาข้ออ้างจัดการข้าก็ดีเท่าไรแล้ว องค์ชายรองยังฝันเฟื่องคิดว่าข้าจะได้เลื่อนตำแหน่งอีก!”
หลิวจ้งเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี ได้แต่กล่าวว่า “หากองค์ชายรองได้เป็นฮ่องเต้จริง เช่นนั้นก็นับว่าเป็นวาสนาของเหล่าขุนนาง”
เป็นจริงเช่นนั้น หากฮ่องเต้เบาปัญญาสักหน่อย คนเป็นขุนนางก็อิสระมากขึ้น
เฉินลั่วไม่กล่าวอะไร เผาจดหมายขององค์ชายรองเสีย ให้หลิวจ้งตอบจดหมายกลับไปให้องค์ชายรองฉบับหนึ่ง ถามองค์ชายรองว่ามีแผนการอย่างไร
ตอนนี้องค์ชายรองกำลังลำบากมากจริงๆ
ไม่รู้ว่าซูเฟยเหนียงเหนียงคิดอย่างไร คิดว่าองค์ชายใหญ่ถูกกำจัดไปแล้ว องค์ชายรองก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ก็เลยคิดว่าโอกาสขององค์ชายสามมาถึงแล้ว ระยะนี้จึงวิ่งวุ่นวางแผนการไปทั่ว ฮ่องเต้เองก็ปิดตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง ทำให้องค์ชายรองรู้สึกไม่พอใจและในขณะเดียวกันก็ไม่สบายใจไปด้วย ถึงกับไปปรึกษาฮองเฮาเหนียงเหนียงว่าควรบีบบังคับให้ฮ่องเต้แต่งตั้งไท่จื่อให้จบๆ ไปเสียเลยดีหรือไม่ อย่างไรเสียอำนาจของจวนชิ่งอวิ๋นโหวก็ถูกเปิดเผยไปแล้วส่วนหนึ่ง ถูกฮ่องเต้จับจุดอ่อนได้แล้ว แทนที่จะถูกฮ่องเต้ลงทัณฑ์ มิสู้เป็นฝ่ายจู่โจมก่อนไปเลยดีกว่า
ฮองเฮาเหนียงเหนียงเองก็คิดเช่นนี้
ที่ผ่านมานางก็ไม่ค่อยยกย่องฮ่องเต้อยู่แล้ว รู้สึกว่าเขามีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ เป็นสามีภรรยากันมาหลายสิบปี ก็ยิ่งรู้สึกว่าฮ่องเต้เป็นพวกอกตัญญู ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาจึงกลายเป็นเรื่องน่าขันไปนานแล้ว
ฮ่องเต้จะอยู่หรือตายนางล้วนไม่สนใจ เพียงอยากให้บุตรชายได้สืบทอดตำแหน่งเท่านั้น เพื่อที่ว่าสิ่งที่ตระกูลปั๋วลงทุนไปมากมายหลายปีจะได้ไม่สูญเปล่า และความโกรธเกลียดที่ตนอดทนอดกลั้นมานานหลายปีจะได้ไม่ไร้ความหมาย
นางไปหารือกับชิ่งอวิ๋นโหว
ชิ่งอวิ๋นโหวกลับรู้สึกว่ายังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เขากล่าว “ทุกคนล้วนคิดว่าองค์ชายสามมีโอกาส แต่เจ้ากับข้าต่างรู้ดีว่าฮ่องเต้ต้องการแต่งตั้งองค์ชายเจ็ด หาไม่เขาก็คงไม่กระสันอยากกำจัดองค์ชายใหญ่ขนาดนั้น ยังลากเฉินลั่วลงน้ำไปด้วยอีก ซูเฟยคงดิ้นรนไปได้อีกไม่นานแล้ว พวกเจ้าต้องสงบใจเอาไว้ให้ได้ ไม่อาจตระหนกจนทำเสียเรื่องเอง…
…ส่วนเรื่องแอบสั่งเคลื่อนกำลังทหาร ดีร้ายพวกเราก็ช่วยชีวิตองค์ชายใหญ่เอาไว้ได้ ฮ่องเต้ไม่อาจไล่สืบสวนอย่างเปิดเผยแน่นอน…
…ยิ่งไปกว่านั้นก็คือฮ่องเต้ไม่ชอบตระกูลปั๋ว ไม่ว่าพวกเราจะแอบสั่งเคลื่อนกำลังทหารหรือไม่ เขาก็ไม่มีทางชอบตระกูลปั๋วอยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ทุกคนต่างคนต่างอาศัยความสามารถของตัวเอง ดูว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ”
ตอนกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ สีหน้าของชิ่งอวิ๋นโหวดูเด็ดเดี่ยวมั่นคง แววตาเยียบเย็น มีจิตใจที่แน่วแน่ว่าจะเอาชัยชนะมาได้ ทำให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น เมื่อกลับไปจึงบอกองค์ชายรองว่า “ขอเพียงตระกูลปั๋วยังอยู่ เจ้าจะไม่เป็นอะไร หากเจ้าระส่ำระสาย ตระกูลปั๋วย่อมระส่ำระสายด้วย”
องค์ชายรองพยักหน้า เตรียมตัวยืนดูผู้อื่นดิ้นรนอยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา
ส่วนอดีตผู้บังคับบัญชากองพลทองคำซ้ายอย่างสือเหล่ยกลับนำของขวัญราคาแพงมากล่าวอำลาเฉินลั่วด้วยรอยยิ้มแย้ม
“คิดไม่ถึงจริงๆ!” เขาลูบศีรษะพลางกล่าว “ข้าโอ้อวดว่าตัวเองเป็นลูกพี่ใหญ่ของเจ้า เพียงไม่กี่วัน เจ้ากลับโหม่งข้าทิ้งไปเสียแล้ว แต่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้ไปจากเมืองหลวง ขอตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ของก่วงซีได้ตำแหน่งหนึ่ง ไปอยู่ก่วงซีสักสองสามปี ไม่แน่ว่าข้าอาจจะมีความสุขมากจนลืมบ้านเกิด ไม่กลับมาอีกเลยก็เป็นได้”
เฉินลั่วยิ่งรู้สึกว่าบัดนี้กองพลส่วนพระองค์ของราชวงศ์ยุ่งเหยิงเข้าไปทุกที
หาไม่แล้วสือเหล่ยก็คงไม่ไปจากเมืองหลวง
ต้องรู้ว่า น้องชายร่วมอุทรของเขาทำงานกับเหยียนเจิ้ง ที่ชายแดนของหมิ่นเจ้อนั้นได้เสาหลักอย่างเหยียนเจิ้งเป็นผู้อารักขาอยู่ที่นั่น ต่อให้ฮ่องเต้เลอะเลือนเพียงใด ก็ไม่อาจละเลยศึกสงครามที่หมิ่นเจ้อได้
สือเหล่ยสลัดตัวออกไปจากที่นี่ได้ ย่อมเป็นเพราะได้รับคำชี้แนะจากปรมาจารย์ข้างบน เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะฉวยโอกาสนี้หนีไปด้วยหรือไม่
เฉินลั่วมอบหมายงานของกองพลทั้งสี่ให้เว่ยไหว ส่วนตัวเองนำขนมแป้งย่างของย่านต้าจ้าหลานกับน้ำพริกของหวังเอ้อหมาจื่อไปให้หวังซี
เสียงก้อนหินกระทบหน้าต่างทำให้หวังซีตกใจ เปิดหน้าต่างออกไปเห็นเฉินลั่วแล้วอดบ่นไม่ได้ว่า “เจ้าทำตัวปกติบ้างไม่ได้หรือ เอาแต่ปีนกำแพงเข้ามากลางดึกเช่นนี้ คนที่ไม่รู้จะคิดว่าเจ้าเป็นหัวขโมย!”
“มิใช่เพราะกลางวันข้าไม่มีเวลาว่างหรอกหรือ” เฉินลั่วกล่าว ยื่นขนมแป้งย่างกับน้ำพริกให้หวังซี พลางกล่าว “ข้ายังไม่ได้กินข้าวเย็น เจ้าอยากกินเพิ่มอีกสักหน่อยหรือไม่ น้ำพริกของหวังเอ้อหมาจื่อร้านนี้ข้าเพิ่งได้ยินคนพูดถึงเมื่อครู่ บอกว่าคนผู้นี้เป็นคนกุ้ยโจว ทำอาหารอร่อยมาก เป็นสูตรที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่น เพราะมีเรื่องกับคนทางโน้นก็เลยหนีมาเปิดร้านที่เมืองหลวง ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ปี ชื่อเสียงก็เลื่องลือไปทั่วแล้ว ร้านของเขาอยู่ใกล้กับที่ว่าการกองพลทองคำ คนที่กองพลทองคำไปร้านนั้นเป็นประจำ ข้าถึงได้รู้จัก”
หวังซีเอาน้ำพริกส่งให้ไป๋กั่ว ให้นางไปจัดใส่จานมาเล็กน้อย ยังบอกให้นางไปตักน้ำแกงไก่กระดูกดำตุ๋นโสมคนที่ตุ๋นอยู่บนเตามาให้เฉินลั่วด้วย กล่าวอีกว่า “กินขนมแป้งย่างจะขาดน้ำแกงไปได้อย่างไร น้ำแกงนี้ข้าให้คนตุ๋นอยู่บนเตามาเจ็ดถึงแปดชั่วยามแล้ว แยกเนื้อไก่ออกหมด เหลือเพียงน้ำแกงใสเท่านั้น รสชาติอร่อยสดชื่นมาก”
เฉินลั่วกับหวังซีนั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่นในลานบ้าน ยกน้ำแกงไก่มาแล้ว ทว่าเฉินลั่วกลับไม่ได้ยกน้ำแกงไก่ขึ้นมาดื่มเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ แต่กล่าวขึ้นว่า “ตอนข้าเป็นเด็ก มารดาเข้าวังทุกๆ สามถึงห้าวัน ส่วนบิดา หนึ่งปีสี่ฤดูเจอหน้ากันไม่กี่ครั้งเท่านั้น บ่าวไพร่ในจวนเป็นคนดูแลข้า ข้าจำได้ว่าตอนนั้นข้ามีบ่าวชายเด็กผู้หนึ่งอายุเพียงห้าถึงหกขวบ เขาได้รับเลือกให้มาอยู่ข้างกายข้า ทำอะไรไม่ดีก็มักถูกหมัวมัวในเรือนข้าอบรม มารดาของเขาจึงแอบมาดูเขาอยู่เสมอ หากมิใช่เอาขนมจากถุงเสื้อในอกให้เขา ก็แอบเอาน้ำแกงมาให้เขา ทุกครั้งที่เจอหน้ายังคอยปลอบโยนเขา บอกให้เขาทำตัวดีๆ และตั้งใจทำงาน รอโตขึ้นก็ดีแล้ว…
…ข้าจึงเข้าใจว่าคนเป็นพ่อแม่ควรจะเป็นเหมือนนาง”
คิดไม่ถึงว่ามารดาของเขาไม่เคยสนใจเรื่องกินดื่มของเขา ทว่าในยามคับขันกลับช่วยออกหน้าแทนเขา ยื้อแย่งตำแหน่งผู้บังคับบัญชากองพลทองคำมาให้เขา
เป็นเพราะความเข้าใจเรื่องความรักของคนเป็นแม่ของเขาคับแคบเกินไป เขาถึงได้เอาแต่รู้สึกไม่พอใจ
วันนี้พิจารณาดูแล้ว ใช่ว่ามารดาของเขาไม่รักเขา เพียงแต่เป็นการรักลูกในแบบฉบับที่แตกต่างจากมารดาคนอื่นๆ ก็เท่านั้น
เขามองหวังซี รู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย คล้ายกับว่าหากพูดออกไป ก็เท่ากับเขายอมรับว่าตัวเองตามืดบอดและหุนหันพลันแล่น
หวังซีกลับหันไปขยิบตาให้เขา กล่าวยิ้มๆ ว่า “คนทั่วไปมักจะให้มารดาเป็นคนดูแลเรื่องอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่และกิริยามารยาท แต่อย่างจ่างกงจู่นั้น เนื่องจากเรื่องอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่และกิริยามารยาทล้วนมีคนคอยช่วยเหลืออยู่แล้ว จึงดูละเลยไปบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นี่ก็ขึ้นอยู่กับคนแต่ละคนด้วย อย่างพี่ชายใหญ่ของข้า เขาชอบให้คนข้างกายดูแลเขาด้วยตัวเองมากเป็นพิเศษ แต่อย่างพี่ชายรองของข้า หากมารดาของข้าดูแลเขาเช่นนั้น เกรงว่าเขาต้องตกใจตายเป็นแน่ ต้องคิดว่ามารดาข้ามีเรื่องอะไรต้องการให้เขาไปทำให้ หาไม่แล้วเหตุใดมารดาข้าต้องลงมือทำด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่พวกบ่าวไพร่ก็ทำได้…
…จะว่าไปแล้วก็น่าขัน…
…เพราะเหตุนี้พี่ชายรองของข้าจึงตัดสินใจยังไม่หมั้นหมาย ต้องการรอให้เขาสอบผ่านจวี่เหริน มีความสามารถจ้างข้าทาสบริวารก่อนค่อยแต่งงาน หาไม่แต่งงานไปแล้วภรรยายังต้องทำหน้าที่ของพวกบ่าวไพร่ เช่นนั้นเขาก็ไร้ศักดิ์ศรีเกินไปแล้ว”
เฉินลั่วหัวเราะออกมา
หวังซีกล่าว “เพราะฉะนั้น เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดมากเกินไป เช่นนี้ไม่ดีหรือ เจ้าดูจ่างกงจู่ ทั่วทั้งจิงเฉิงมีสักกี่คนที่ดูอ่อนเยาว์ อิสรเสรีและมีความสุขได้เท่านาง”
นี่นางกำลังแนะนำเขาอ้อมๆ ว่าไม่ต้องสนใจเรื่องส่วนตัวของจ่างกงจู่
เฉินลั่วฟังออก
เขามองหวังซีด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
สตรีส่วนมากต่างรู้สึกว่าเรื่องเช่นนี้น่าละอาย แต่หวังซีนับเป็นคนแรกที่แนะนำให้เขาไม่ต้องสนใจ
เขาคิดแล้วถามขึ้นว่า “เพราะเหตุใด?”
หวังซีคิดว่าที่เฉินลั่วกับจ่างกงจู่ไม่สนิทสนมกัน สาเหตุหลักๆ คงมาจากเรื่องส่วนตัวของจ่างกงจู่ นางอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “เพราะข้าคิดว่าคนอื่นๆ อาจจะคิดเหมือนจ่างกงจู่ก็ได้ เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่มีอำนาจเหมือนจ่างกงจู่ แล้วก็ไม่มีความกล้าเหมือนจ่างกงจู่ แต่เจ้าดูข้า บ้านข้าเลี้ยงดูและจัดเตรียมทุกอย่างให้ข้าได้ ยังกลัวข้าจะได้รับความลำบาก มีบุตรชายแล้วก็ยังคิดจะให้ข้าแต่งบุตรเขยเข้าบ้านอีก นับประสาอะไรกับจ่างกงจู่”
เฉินลั่วตะลึงพรึงเพริด ถามว่า “บ้านเจ้าต้องการให้เจ้าแต่งบุตรเขยเข้าบ้านหรือ”
หวังซีเม้มปากหัวเราะ กล่าวว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ต่อให้พี่ชายใหญ่ข้ากับพ่อข้าเห็นด้วย ท่านปู่ข้ากับท่านย่าข้าเห็นด้วย แต่ท่านปู่กับท่านย่าที่เป็นน้องของปู่ข้า รวมถึงตระกูลของว่าที่สามีไม่มีทางเห็นด้วยอย่างแน่นอน! นอกจากนี้ข้าคิดว่าตอนอยู่กับบิดามารดายังดีอยู่หรอก แต่ถ้าอนาคตลูกหลานเข้าไปอยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลของตระกูลหวัง รับส่วนแบ่งมรดกของตระกูลหวัง พี่สะใภ้ข้าย่อมไม่ชอบใจอย่างแน่นอน เหตุใดข้าต้องทำให้ครอบครัวผิดใจกันเพียงเพื่อเงินทองไม่เท่าไรด้วย?”
“ตระกูลของว่าที่สามีของเจ้า?” เฉินลั่วได้ยินแล้วพลันรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา เอ่ยถามว่า “บ้านเจ้ามีตัวเลือกที่เหมาะสมแล้วหรือ”
หวังซีกล่าวยิ้มๆ อย่างไม่ใส่ใจนักว่า “ยากตรงไหนกัน? บ้านข้ามีญาติที่มาเกี่ยวดองด้วยมากมาย หาเอาจากสักตระกูลที่รู้จักพื้นเพกันเป็นอย่างดีก็ไม่แย่นัก อยากแต่งงานเมื่อไรก็แต่งได้ เพียงแต่ว่ามารดาข้าเป็นกังวลว่าผู้อื่นจะมาด้วยเจตนาที่ซ่อนเร้น แต่เรื่องแต่งงานนี้ ผู้ใดไม่มีเจตนาซ่อนเร้นบ้าง? หากมิใช่มองหาคนที่หน้าตาดี ก็มองหาคนที่ครอบครัวมีสถานะทางการเงินดี หรือไม่ก็มองหาคนที่มีการศึกษาดี”
เพราะมารดาของนางได้รับความยากลำบากมามากเกินไป จึงมักคิดว่าหาคนจิตใจบริสุทธิ์สักหน่อยดีกว่า
เฉินลั่วไม่พูดอะไรไปครู่ใหญ่
หวังซีจึงดันชามน้ำแกงตรงหน้าเขาเบาๆ กล่าวว่า “เจ้ารีบดื่มสักหน่อยเถอะ! แม้นกล่าวว่าอากาศยังไม่ค่อยหนาวเย็นนัก แต่ก็ไม่ร้อนแล้ว อีกประเดี๋ยวน้ำแกงไก่ก็ไม่อร่อยแล้ว” แล้วก็พูดถึงข่าวลือที่นางได้ยินมา “ทุกคนต่างพูดกันว่าตระกูลพวกเจ้าจะถอนหมั้นกับตระกูลซือ เป็นเรื่องจริงหรือ? ตระกูลซือถูกตัดสินโทษให้ยึดทรัพย์จริงๆ หรือ”
เฉินลั่วรวบรวมสติ ยกน้ำแกงไก่ขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดเสมือนดื่มสุราก็ไม่ปาน กล่าวขึ้นว่า “ผู้ใดจะรู้เล่า! มารดาข้าไม่ได้สอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องงานแต่งของเฉิงอิง ทว่าตระกูลซือถูกตัดสินโทษให้ยึดทรัพย์จริงๆ อีกไม่กี่วันก็น่าจะถูกส่งตัวมาที่เมืองหลวงแล้ว” จากนั้นเขาถามอย่างแปลกใจว่า “มีใครพูดอะไรใช่หรือไม่ หรือเพราะซือจูสร้างความวุ่นวายอะไรอีกแล้ว? เมื่อก่อนนางดูหมิ่นดูแคลนทุกคน ทว่าจู่ๆ ก็มาประสบเคราะห์ร้ายอย่างกะทันหันเช่นนี้ ด้วยนิสัยของนาง ต้องไม่อาจยอมรับได้ง่ายๆ เป็นแน่…
…จวนหย่งเฉิงโหวน่าจะไม่ค่อยเกรงใจนางแล้วถึงจะถูก!”
……………………………………………………………..