หวังซีอยู่ในอารมณ์เฝ้ารอดูความครึกครื้น และสถานการณ์ก็วุ่นวายขึ้นมาอย่างที่เฉินลั่วได้กล่าวเอาไว้
อันดับแรกเนื่องจากชิ่งอวิ๋นโหวสั่งเคลื่อนกองพลส่วนพระองค์เกินอำนาจหน้าที่จึงถูกลดบรรดาศักดิ์ จากบรรดาศักดิ์โหวเปลี่ยนเป็นบรรดาศักดิ์ป๋อ ถัดจากนั้นเป็นองค์ชายรองถูกส่งตัวไปคัดพระธรรมที่วัด ซูเฟยเหนียงเหนียงคิดว่าโอกาสของตัวเองมาถึงแล้ว จึงให้พี่น้องจากตระกูลเดิมเป็นคนกลางไปโน้มน้าวฝ่ายร้องเรียนสองสามคนถวายฎีกาขึ้นไปให้ฮ่องเต้ บางคนเพียงโน้มน้าวให้ฮ่องเต้แต่งตั้งรัชทายาท แต่บางคนกลับเสนอชื่อองค์ชายสามอย่างเปิดเผย
ฮ่องเต้ย่อมพิโรธอย่างมาก นอกจากสั่งระงับเบี้ยรายเดือนของซูเฟยเหนียงเหนียงแล้ว ยังเรียกองค์ชายสามไปห้องทรงอักษร ด่าสั่งสอนองค์ชายสามต่อหน้าขุนนางใหญ่หลายท่านไปคำรบหนึ่ง ต่อว่าเขาว่า อกตัญญูไม่รักพี่น้อง องค์ชายใหญ่เพิ่งได้รับบาดเจ็บมายังไม่หายดี องค์ชายรองก็เพิ่งถูกลงโทษ เจ้าไม่สนใจว่าพี่ชายทั้งสองของเจ้าเป็นอย่างไร กลับตั้งหน้าตั้งตาเป็นห่วงเรื่องตำแหน่งรัชทายาท เป็นลูกสุนัขจิ้งจอกจิตใจอำมหิต
คำว่า ‘ลูกสุนัขจิ้งจอกจิตใจอำมหิต’ ยังดี แต่คำว่า ‘อกตัญญูไม่รักพี่น้อง’ ประโยคนี้ถือเป็นบาปอันใหญ่หลวงของคนเป็นขุนนาง
องค์ชายสามคุกเข่าลงบนพื้นด้วยใบหน้าซีดเผือดในทันที ไม่ลุกขึ้นกว่าครู่ใหญ่
ซูเฟยเหนียงเหนียงเร่งไปขอพระเมตตาให้องค์ชายสาม คุกเข่าตามลงไปด้วยกว่าสามชั่วยามก็ไม่มีรับสั่งเรียกให้ลุกขึ้น
“เกินกว่าเหตุไปแล้วกระมัง” หวังซีกับเฉินลั่วนั่งอยู่ในโถงรับรองของสวนร่มหลิว กินขนมพรห้าประการพลางดื่มชาขาว พร้อมกับมองหวังสี่ที่กำลังพาคนงานสองสามคนเร่งสร้างท่อทำความร้อนให้ศาลาริมทางอยู่นอกหน้าต่างไปด้วย กล่าวด้วยรอยยิ้มแย้มว่า “มนุษย์ต่างชอบยกยอเบื้องสูงเหยียบย่ำเบื้องล่าง ต้องเป็นเพราะมีคนเห็นซูเฟยแม่ลูกกำลังสูญเสียอำนาจ จึงจงใจป้ายสีองค์ชายสาม อีกอย่าง คุกเข่าไปสามชั่วยาม คงคุกเข่าจนเข่าใช้การไม่ได้แล้วกระมัง”
เฉินลั่วครวญอย่างไม่พอใจนัก กล่าวว่า “คิดว่าข้าจัดการเขาตามใจชอบได้หรืออย่างไร”
“เจ้าก็อยู่ด้วยหรือ” หวังซีถามอย่างประหลาดใจ
เฉินลั่วพยักหน้า กล่าวว่า “ข้าไม่เพียงอยู่ด้วยเท่านั้น ข้ายังถือโอกาสกล่าวทิ่มแทงฮ่องเต้ไปหลายประโยคด้วย! เขาอยากมอบตำแหน่งให้องค์ชายเจ็ดมิใช่หรือ ข้าจึงกล่าวไปว่า กระหม่อมคิดว่าฝ่ายร้องเรียนบางคนก็กล่าวได้ไม่เลวนัก ฝ่าบาทควรแต่งตั้งรัชทายาทเสียแต่เนิ่นๆ ที่องค์ชายใหญ่ถูกทำร้าย องค์ชายรองถูกกล่าวหา องค์ชายสามถูกคนเสนอให้เป็นรัชทายาทอะไรต่างๆ นั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะไม่ได้กำหนดรากฐานให้ประเทศหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หวังซีได้ยินแล้วใจเต้นขึ้นมาในทันใด ถามว่า “แล้วฮ่องเต้ว่าอย่างไรบ้าง”
ดูจากสภาพของเฉินลั่วน่าจะไม่ได้รับการลงโทษอะไร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ถูกตำหนิ
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้ในสายตาของเขาข้าก็เป็นเพียงตั๊กแตนปลายฤดูใบไม้ร่วงตัวหนึ่งที่กระโดดได้อีกไม่นานแล้วก็เท่านั้น แทนที่จะโมโหข้า มิสู้ไม่สนใจไปเลยดีกว่า” กล่าวถึงตรงนี้ เขาเปล่งเสียง “หึ” ออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตาม การเมินเฉยของเขากลับเป็นประโยชน์ต่อข้ายิ่งนัก ข้าตั้งใจจะทำตัวเป็น ‘หลานชายอันที่เป็นรักของฮ่องเต้’ ต่อไป ทำให้ฮ่องเต้สะดุดสักหน่อย”
หวังซีวางใจลงมาได้ รู้สึกว่านับตั้งแต่ที่เฉินลั่วกับองค์ชายใหญ่ผ่านเคราะห์ร้ายด้วยกันเป็นต้นมา เขาก็ทำอะไรตามใจตัวเองมากขึ้น
เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
เฉินลั่วหาใช่คนไร้ความสามารถ บัดนี้ไม่มีอะไรให้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษแล้ว ก็ยิ่งเป็นตัวเองได้มากขึ้น
นางยิ้มกล่าว “เช่นนั้นตอนนี้องค์ชายสามกับองค์ชายห้าเป็นอย่างไรบ้าง องค์ชายรองถูกส่งตัวไปอยู่วัดต้าเจวี๋ยแล้ว พวกเขาสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่หรือ”
เฉินลั่วตอบยิ้มๆ ว่า “ฮ่องเต้กักบริเวณพวกเขา อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินว่าองค์ชายห้ายังลอบไปเยี่ยมซูเฟยเหนียงเหนียงอยู่”
ขณะที่ทั้งสองคนสนทนาเรื่องในวังกันอยู่นั้น เฉินอวี้วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
หวังซีเห็นแล้วหัวใจกระตุกครั้งหนึ่ง รีบยืนขึ้นมา
เฉินลั่วกลับนิ่งสงบดุจขุนเขา ถามเรียบๆ ว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เฉินอวี้มองหวังซีครั้งหนึ่ง
เฉินลั่วไม่เปล่งเสียงใด
เฉินอวี้เห็นเช่นนั้นแล้วถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง
ไม่ว่าเรื่องอะไรคุณชายรองก็ไม่ปิดบังคุณหนูหวังแล้ว
เขากล่าวเสียงเบาว่า “เป็นใต้เท้าซือขอรับ เขาเขียนจดหมายเลือดฉบับหนึ่ง บอกว่าสาเหตุที่เขากล่าวหาองค์ชายรองนั้นเป็นเพราะถูกซูเฟยเหนียงเหนียงหลอก กล่าวคือซูเฟยเหนียงเหนียงให้หลานชายจากตระกูลเดิมไปหาเขา บอกว่าจะช่วยขอพระเมตตาจากเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ให้คุณหนูซือ ให้ช่วยคงงานแต่งของคุณหนูซือเอาไว้ คนตระกูลซือคิดว่าคงไม่อาจดึงคนทั้งตระกูลลงน้ำไปด้วยกันทั้งหมด หากพวกเขาหนีรอดจากเคราะห์ร้ายนี้ไปได้ ก็ต้องมีญาติมิตรที่มีอำนาจสักคนหนึ่งคอยช่วยเหลือ พวกเขาถึงจะกลับมายืนหยัดอีกครั้งหนึ่งได้ ก็เลยตอบตกลง…
…ต่อมาตระกูลซือเห็นว่างานแต่งของคุณหนูซือกับคุณชายใหญ่ยังคงเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงพึงพอใจเป็นอย่างมาก”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ!” หวังซีเบิกดวงตาโต กล่าวออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
เฉินอวี้พยักหน้า “ผลปรากฏว่าครอบครัวของพวกเขากลับถูกยึดทรัพย์และถูกเนรเทศอย่างกะทันหัน ตระกูลซือสงสารทายาทชายหลายคนที่ยังเด็กอยู่ อยากเหลือทายาทสำหรับสืบสกุลเอาไว้ จึงไปขอร้องเจิ้นกั๋วกง ผู้ใดจะรู้ว่าเจิ้นกั๋วกงไม่ไยดีเลยแม้แต่นิดเดียว…
…ตระกูลซือไม่มีทางเลือก หาทางส่งจดหมายไปให้ซูเฟยเหนียงเหนียง ปรากฏว่าซูเฟยเหนียงเหนียงเองก็ไม่สนใจเช่นกัน…
…พวกเขาถึงได้รู้ว่า ความจริงแล้วคนที่ขอพระเมตตาให้ซือจูคือจ่างกงจู่ มิใช่ซูเฟยเหนียงเหนียง ถึงแม้ซูเฟยเหนียงเหนียงจะได้รับความโปรดปราน แต่ต่อเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ ก็ทำได้แค่ประชันขันแข่งกับฮองเฮาเหนียงเหนียงในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของวังหลังเท่านั้น ส่วนเรื่องในราชสำนักนั้น ไม่เคยมีอำนาจพูดอะไรได้…
…ตระกูลซือถึงได้รู้ว่าถูกหลอกเสียแล้ว บัดนี้จึงแว้งกัดซูเฟยเหนียงเหนียงครั้งหนึ่งโดยการบอกว่าตอนนั้นพวกเขาถูกซูเฟยเหนียงเหนียงหลอก…
…ฮ่องเต้ได้ยินแล้วส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ ลดบรรดาศักดิ์ซูเฟยเหนียงเหนียง เปลี่ยนจากพระชายาขั้นเฟยเป็นนางสนม และขับไล่ไปอยู่ตำหนักฉือหนิงเป็นเพื่อนเจียงไท่เฟย”
หวังซีสูดลมหายใจเย็นเข้าไปครั้งหนึ่ง
ไล่ไปอยู่ตำหนักฉือหนิงกับเจียงไท่เฟย ก็เท่ากับถูกส่งเข้าไปอยู่ตำหนักเย็น
เป็นสามีภรรยากันหนึ่งวันความรักคงอยู่ไปร้อยวัน ถึงซูเฟยเหนียงเหนียงกับฮ่องเต้มิใช่สามีภรรยา ทว่าก็อยู่ด้วยกันมานานหลายปี มีโอรสและธิดาร่วมกัน แต่ฮ่องเต้ตรัสว่าจะลงโทษก็ลงโทษ แม้แต่องค์ชายทั้งสองพระองค์ก็เสียหน้าไปด้วย
“นี่เขาต้องการดับความคิดอยากเป็นรัชทายาทขององค์ชายสามและองค์ชายห้าให้สิ้นซากนี่นา!” หวังซีกล่าว “ซูเฟยเหนียงเหนียงกระทำความผิดใหญ่หลวง จึงสูญเสียคุณสมบัติในการช่วงชิงอำนาจภายในวัง หากปล่อยให้ฮ่องเต้มีข้ออ้างมาปลดฮองเฮาอีกครั้ง เช่นนั้นนางสนมที่ให้กำเนิดองค์ชายในวังหลังเหล่านั้นก็มีคุณสมบัติได้รับแต่งตั้งเป็นฮองเฮาได้ทั้งสิ้นแล้ว”
นางกล่าวอย่างคลางแคลงใจว่า “ฮ่องเต้คงไม่ได้ตั้งใจหรอกกระมัง กว่าใต้เท้าซือจะถูกประหารก็หลังฤดูใบไม้ผลิ คดีความของตระกูลซือคงไม่มีการพลิกแพลงอะไรอีกหรอกกระมัง?”
เวลานี้ตระกูลซือยังกระโดดออกมาชี้ตัวซูเฟยเหนียงเหนียงได้ หากไม่มีผลประโยชน์มากพอ พวกเขาคงไม่ดิ้นรนขนาดนี้
“ก็คอยดูว่าฮ่องเต้จะจัดการตระกูลซืออย่างไร!” เฉินลั่วกล่าวเรียบๆ คล้ายไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้สักเท่าไรนัก
หวังซีกล่าวขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เช่นนั้นผู้ใดเป็นคนบอกตระกูลซือว่าเรื่องงานแต่งของซือจูนั้นจ่างกงจู่เป็นคนออกหน้าให้ หากไม่มีเรื่องนี้ ตระกูลซือก็คงไม่แว้งกัดซูเฟยเหนียงเหนียงโดยการเปิดโปงเรื่องนี้ออกมา!”
“ข้าเอง!” เฉินลั่วกล่าวเสียงเรียบ “ข้าเป็นคนบอกใต้เท้าซือเอง”
“หา?!”
“ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าหากอยากให้วุ่นวาย เช่นนั้นก็ให้ทุกคนวุ่นวายไปด้วยกัน” เฉินลั่วมองหวังซี เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ใส่นัก “ฮ่องเต้ใช้ประโยชน์จากตระกูลซือได้ ข้าเองก็ทำได้เช่นกัน! นอกจากนี้ข้าก็ไม่ได้พูดโกหกด้วย ซูเฟยเหนียงเหนียงใช้อุบายหว่านล้อมตระกูลซือจริงๆ ก็ไม่อาจกล่าวโทษที่ตระกูลซือจะโกรธแค้นจนอยากมาคิดบัญชีนาง ต่อให้ตายก็ต้องกัดนางสักครั้งหนึ่งให้ได้”
คิดๆ ดูแล้วก็ถูก
เฉินลั่วก็แค่เอาความจริงไปบอกกล่าวแก่ตระกูลซือเพียงเท่านั้น สุดท้ายแล้วก็นับว่าตระกูลซือไม่ต้องตายไปโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นศัตรูใครเป็นผู้มีบุญคุณ
ในหัวของหวังซีมีความคิดแหวกว่ายไปมา นางรีบขจัดมันออกไปจากความคิด กล่าวว่า “ตอนนี้เพราะเกิดเรื่องขึ้นกับมารดา ชื่อเสียงของตัวเองก็เสียหาย องค์ชายสามกับองค์ชายห้าจึงสูญเสียคุณสมบัติในการช่วงชิงบัลลังก์ไป ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ฮ่องเต้จะทำอย่างไร”
เฉินลั่วมองหวังซีด้วยสายตาลึกซึ้ง ในตาสุกใสมากเป็นพิเศษ
หวังซีถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ทำไมหรือ? ข้าพูดอะไรผิดไปใช่หรือไม่”
“เปล่า เปล่า” เฉินลั่วรีบกล่าว จากนั้นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะบอกว่าข้าเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ กระทำการเยี่ยงคนต่ำช้าเสียอีก”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” หวังซีกล่าวแย้งโดยไม่ต้องคิด “เจ้าไม่ได้เป็นคนปล่อยข่าวลือเสียหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าทำให้คนตระกูลซือได้เป็นผีตาสว่าง พวกเขาควรจะขอบคุณเจ้าถึงจะถูก จะบอกว่าเจ้าเป็นคนต่ำช้าได้อย่างไร!”
เฉินลั่วชะงักงัน ก้มหน้าเปล่งเสียงหัวเราะออกมา
หวังซีหน้าแดง รู้สึกเช่นกันว่าตัวเองลำเอียงเข้าข้างเฉินลั่วมากเกินไปอยู่บ้าง
คงไม่อาจปล่อยให้ตัวเองแยกแยะดีชั่วไม่ออกเพียงเพราะเห็นว่าเขามีใบหน้าหล่อเหลา
ทันใดนั้นนางกระแอมไอเบาๆ สองครั้งอย่างกระดาก กล่าวกับเฉินอวี้ที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาว่า “เจ้ามารายงานผลให้ใต้เท้าเฉินทราบหรือ ทุกคนต่างทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง”
เฉินอวี้มองเฉินลั่วที่หัวเราะเบาๆ ไม่หยุด รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก กล่าวด้วยสีหน้าเด๋อด๋าเล็กน้อยว่า “เป็นท่านหลิวที่ให้ข้ามาแจ้งคุณชายรองสักครั้งหนึ่ง ท่านหลิวยังบอกด้วยว่า ตีเหล็กให้ตีตอนร้อน มิใช่ว่าองค์ชายสี่อยากไปปกครองต่างเมืองมาตลอดหรอกหรือ มิสู้ฉวยโอกาสนี้ถวายคำแนะนำฮ่องเต้ ให้องค์ชายสาม องค์ชายสี่และองค์ชายห้าออกไปปกครองต่างเมืองให้หมด คนที่เหลืออยู่ก็จะจัดการได้ง่ายแล้ว กล่าวคือ ราชสำนักไม่เคยขาดคนพยายามหยั่งพระทัยฮ่องเต้ ย่อมมีคนช่วยสนองความต้องการอย่างแน่นอน ฮ่องเต้อยากซ่อนองค์ชายเจ็ดกับหนิงผินก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว มิสู้ให้พวกเขากับคนจวนชิ่งอวิ๋นโหวเผชิญหน้ากันเสียแต่เนิ่นๆ ไม่แน่ว่าอาจได้ผลลัพธ์ที่ไม่คิดไม่ถึงก็เป็นได้!”
หวังซีมองเฉินลั่ว
เฉินลั่วกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “หาใช่เรื่องด่วน ค่อยเป็นค่อยไปเถิด เวลานี้ไม่อาจทำให้ฮ่องเต้กริ้วจนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นได้”
ทว่าเขากลับคิดอยู่ในใจว่า ทั้งโลกใบนี้มีหวังซีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เชื่อมั่นในตัวเขาขนาดนี้ ต่อให้เขาวางเพลิง นางก็อาจคิดว่าตนทำไปเพราะมีเหตุผล หากเขาสังหารคน ไม่แน่ว่านางอาจเป็นคนที่ช่วยเขาฝังศพคนนั้นก็เป็นได้
มนุษย์มีสหายรู้ใจเพียงหนึ่งก็เพียงพอแล้ว!
เขากล่าวกับหวังซีว่า “งานแต่งของคุณหนูรองอู๋กำหนดเป็นวันที่สี่เดือนสิบ เจ้ารู้หรือยัง”
หวังซีตกใจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดทุกคนถึงรีบร้อนออกเรือนกันขนาดนี้ มิใช่ตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าเป็นปีหน้าหรอกหรือ”
เฉินลั่วยิ้มกล่าว “ย่อมเป็นเพราะจวนชิงผิงโหวรักบุตรสาว อยากส่งบุตรสาวไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยก่อนที่เรื่องวุ่นวายในเมืองหลวงเหล่านี้จะอุบัติขึ้น”
บุตรสาวที่ออกเรือนแล้วไม่อยู่ในขอบข่ายที่ต้องรับผิดชอบความผิดของตระกูลเดิม
ยกตัวอย่างเช่นซือจู
หวังซีหน้านิ่วคิ้วขมวด
เฉินลั่วอยากนวดหน้าผากของนางให้เรียบเหลือเกิน คล้ายกับว่าทำเช่นนั้นแล้ว เขาจะช่วยนางขจัดความยุ่งยากใจออกไปได้ก็ไม่ปาน
แต่เขายังคงยั้งมือตัวเองเอาไว้
บัดนี้เขาเองก็เป็นตัวปัญหาคนหนึ่ง อย่างไรก็ต้องกำจัดความเสี่ยงก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
เฉินลั่วบีบนิ้ว พลางกล่าว “คงยังไม่ได้ส่งเทียบเชิญมาให้เจ้ากระมัง สองวันนี้ในเมืองหลวงยังมีคนที่กำหนดวันมงคลสมรสอีกสองสามตระกูล”
หลังจากนั้นอีกสามวันหวังซีก็ได้รับเทียบเชิญจากจวนชิงผิงโหวจริงๆ คุณหนูรองอู๋มาส่งเทียบเชิญด้วยตัวเอง
นางกล่าวอย่างขออภัยว่า “เดิมคิดว่าจะได้อยู่กับพวกเจ้าอีกสักระยะหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะได้ออกเรือนเร็วขนาดนี้”
ฟังจากที่นางกล่าวมาแล้ว สาเหตุที่งานแต่งของนางถูกเลื่อนเข้ามา ทั้งยังกำหนดวันแต่งอย่างรีบร้อนเป็นเพราะว่าที่สามีของนางได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาค่ายหนานชังที่เจียงซี “เกิดเรื่องกับกองพลขนนกมิใช่หรือ ครานี้ขุนนางโยกย้ายตำแหน่งกันเป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะอยู่หนานชัง แต่ดีร้ายก็เป็นตำแหน่งขั้นสามบน เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ข้าแต่งไปแล้วก็จะได้ติดตามเขาไปอยู่ที่เจียงซีด้วย”
นอกจากคุณหนูรองอู๋แล้ว งานแต่งของคุณหนูพานก็ได้กำหนดวันที่ลงมาแล้วเช่นกัน เพียงแต่ว่ามิได้จัดวันเดียวกับซือจู แต่เป็นวันที่สิบหกเดือนสิบเอ็ด จัดหลังจากงานของซือจู
……………………………………………………………