แม้นปากบอกเช่นนั้นก็จริง แต่สุดท้ายแล้วหวังซียังคงไม่วางใจ ตอนไปเติมหีบเจ้าสาวให้คุณหนูรองอู๋ที่จวนชิงผิงโหวจึงอดถามถึงเรื่องนี้อย่างอ้อมๆ ไม่ได้ “หลังเข้าฤดูใบไม้ผลิพี่ชายใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าอาจมาเยี่ยมที่จิงเฉิง น่าเสียดายที่ตอนนั้นเจ้าไม่อยู่จิงเฉิงแล้ว ถึงเวลาคงได้แต่มาเยี่ยมนายหญิงเจ็ดเท่านั้นแล้ว”
คุณหนูรองอู๋เองก็คงทราบข่าวแล้วเช่นกัน ยิ้มตอบว่า “ใช่ว่าเจ้าไม่รู้จักอาสะใภ้เจ็ดของข้า นางเป็นคนเปิดเผยและตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าก็รู้จักกัน เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล”
หวังซีถึงได้วางใจลงมาได้ มองสำรวจหีบเจ้าสาวของคุณหนูรองอู๋
ฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่ได้เสด็จมาด้วยตัวเอง ทว่าส่งปฏิมากรปะการังแดงสูงสามฉื่อมาให้หนึ่งคู่ วางไว้ในตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุด ถัดจากนั้นเป็นของที่พระชายาแต่ละพระองค์ส่งมาให้จากวังหลวง
นางมองอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ไม่เห็นมีของซูเฟยเหนียงเหนียง
เนื่องจากตระกูลหวังอาจได้ส่งเสบียงทหารให้ตระกูลพวกเขาไปอีกหลายปี ฉะนั้นยามมองหวังซี คุณหนูรองอู๋จึงให้ความสนิทสนมเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน นางกระซิบกล่าวว่า “องค์ชายสามอาจได้ไปอิงเฉิง ส่วนองค์ชายห้าอาจได้ไปหนิงฮว่า”
ที่หนึ่งอยู่หูเป่ยทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ อีกที่หนึ่งอยู่หนิงฮว่าของฝูเจี้ยน ทั้งสองสถานที่ล้วนอยู่ในหุบเขา การคมนาคมไม่สะดวกสบาย ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล
หวังซีอดขมวดคิ้วไม่ได้ กล่าวเสียงค่อยว่า “นี่หมายถึงต้องไปปกครองต่างเมืองหรือ”
คุณหนูรองอู๋พยักหน้าน้อยๆ กล่าวว่า “แต่ถึงต้องไป ก็ต้องรอให้ผ่านพ้นปีใหม่ไปก่อน ซูเฟยเหนียงเหนียงไปโวยวายเรื่องนี้กับฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงขังซูเฟยเหนียงเหนียงไว้ในตำหนักจิ่งหยาง”
ตำหนักจิ่งหยางตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของตำหนักจงชุ่ย อยู่ทางทิศเหนือของตำหนักหย่งเหอ เป็นตำหนักที่โดดเดี่ยวห่างไกลที่สุดของหกตำหนัก
มาถึงจุดที่แม้แต่การเข้าสังคมก็ไม่สะดวกแล้วอย่างนั้นหรือ
หวังซีตะลึงงัน
คุณหนูรองอู๋พยักหน้า
หวังซีอดถอนใจเบาๆ ครั้งหนึ่งไม่ได้ จากนั้นตระหนักได้ว่าตัวเองทำไม่ถูก
วันนี้เป็นวันเติมหีบเจ้าสาวของคุณหนูรองอู๋ แต่ตนกลับมาพูดเรื่องไม่น่าอภิรมย์เหล่านี้กับนาง หวังซีรีบกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องกินเรื่องดื่ม ย่อมมีบัญชาจากสวรรค์ เหตุใดถึงไม่เห็นคุณหนูลู่เล่า? ปกตินางชื่นชอบงานเช่นนี้เป็นที่สุดนี่นา คงไม่ใช่ว่ายังมาไม่ถึงหรอกกระมัง”
คุณหนูรองอู๋ลอบชมเชยความมีไหวพริบของหวังซีอยู่ในใจ กล่าวคล้อยไปกับคำของนางยิ้มๆ ว่า “มาถึงนานแล้ว แต่นางเจื้อยแจ้วไม่หยุด ถูกท่านย่าของข้าเรียกตัวไปคุยด้วย คุณหนูสี่ถานกับคุณหนูห้าถานก็มาพร้อมกับนาง ต่างก็ไปหาท่านย่าของข้าพร้อมนางด้วยเช่นกัน”
ทั้งสองคนสนทนากันครู่หนึ่ง ก็มีแขกคนอื่นมาถึงอีก คุณหนูรองอู๋รีบนั่งตัวตรงอยู่บนแหย่งตัวใหญ่ข้างหน้าต่าง ปล่อยให้สาวใช้ข้างกายช่วยจัดแจงอาภรณ์ หวังซีเห็นนางยุ่งมาก จึงบอกกล่าวนางครั้งหนึ่งแล้วออกจากห้องของคุณหนูรองอู๋ ไปรวมตัวกับเหล่านายหญิงและสะใภ้ทั้งหลายที่โถงรับรอง
นายหญิงเจ็ดรับรองแขกอยู่ที่นั่นตามคาด
หวังซีฉวยโอกาสคุยกับนางสองสามประโยค ถือเป็นการโผล่หน้ามาให้เห็นแล้วครั้งหนึ่ง จากนั้นไปอยู่กับลู่หลิงและคนอื่นๆ
กระทั่งมอบของขวัญเติมหีบเจ้าสาวเสร็จ ก็ถึงวันที่คุณหนูรองอู๋ออกเรือน
หวังซีกับสตรีจวนหย่งเฉิงโหวไปร่วมงานพร้อมกัน
วันนั้นตกแต่งด้วยโคมไฟและธงหลากสี เสียงฆ้องเสียงกลองดังกระหึ่มฟ้า ตั้งโต๊ะหนึ่งร้อยยี่สิบแปดโต๊ะ ราวกับคนทั้งจิงเฉิงต่างวิ่งมาดูความครึกครื้นกันเกือบหมดแล้วก็ไม่ปาน
จวบจนถึงวันแต่งงานของคุณชายสามฉัง ทุกคนก็ยังคุยเรื่องนี้กันอยู่
นายหญิงรองไม่ค่อยพอใจนักอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวว่า “ก็แค่บุตรสาวแต่งงานออกไป มีอะไรควรค่าให้ต้องพูดแล้วพูดอีก สิ่งของดีๆ ล้วนถูกขนไปบ้านบุตรเขยหมด ไม่เหมือนแต่งสะใภ้เข้าบ้าน เป็นการขนของเข้าบ้าน”
คุณชายสามฉังเป็นเพียงคุณชายน้อยท่านหนึ่งของจวนหย่งเฉิงโหว คนที่มาร่วมงานแต่งของเขาจึงมีแค่ญาติของจวนหย่งเฉิงโหวเท่านั้น นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นคนจากตระกูลเดิมของนายหญิงรอง เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ก็อดกล่าวประจบประแจงนางไม่ได้ว่า “จริงด้วย จริงด้วย คุณชายสามของพวกเราต่างหากที่มีวาสนาดี ได้แต่งกับตุ๊กตาทองคำผู้หนึ่ง แค่สินเจ้าสาวที่เป็นร้านค้าก็มีเจ็ดถึงแปดร้านแล้ว ดูคร่าวๆ แล้วทั่วทั้งจิงเฉิงนี้ก็มีเพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้น”
นายหญิงรองถึงได้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เห็นตระกูลชั้นสูงบางส่วนที่มาร่วมแสดงความยินดีเพราะเห็นแก่หน้าของหย่งเฉิงโหวเหล่านั้นทยอยกันมาถึง ดวงหน้าของนางก็ยิ่งปลาบปลื้มมีความสุข ทั้งร่างคล้ายนกกางเขนตัวหนึ่งโฉบไปโฉบมาระหว่างแขกที่มาแสดงความยินดี ไม่รู้ภาคภูมิใจมากมายเพียงใด
หวังซีกับฉังเคอแอบมาแทะเมล็ดแตงโมอยู่ในห้องน้ำชาที่เรือนหยกวสันต์ของฮูหยินผู้เฒ่า แทะไปด้วยชวนกันคุยเรื่องสัพเพเหระไปด้วย “ฤดูหนาวของจิงเฉิงหนาวเย็นจริงๆ! ประเดี๋ยวเจ้าสาวคงต้องสวมเสื้อขนสัตว์แล้วกระมัง”
ฉังเคอเทชาพุทราจีน ส้มและเก๋ากี้ผสมน้ำผึ้งให้หวังซีถ้วยหนึ่ง นี่เป็นสูตรชาที่หวังซีผสมขึ้นมา ถือโอกาสอุ่นมือให้ตัวเองด้วย กล่าวว่า “แทนที่เจ้าจะเป็นห่วงเจ้าสาว มิสู้เป็นห่วงว่าจะมีคนไปสร้างความวุ่นวายที่เรือนเจ้าหรือไม่ดีกว่า!”
เนื่องจากมีแขกมาจากบ้านเดิมของนายหญิงรองเป็นจำนวนมาก คุณหนูพานก็ย้ายออกไปแล้ว ซือจูเองก็อยู่ที่เรือนหยกวสันต์มากกว่า โหวฮูหยินจึงคิดจะจัดแจงให้แขกคนสำคัญอย่างบรรดาพี่สะใภ้น้องสะใภ้จากบ้านเดิมของนายหญิงรองพักที่สวนร่มวสันต์ที่คุณหนูพานเคยพักอาศัยอยู่และสวนหิมะงามที่ว่างอยู่เพราะซือจูไปอยู่เรือนหยกวสันต์ เนื่องจากสินเจ้าสาวส่วนใหญ่ของฉังเคอถูกจัดเก็บไว้ที่สวนร่มวสันต์ นายหญิงสามจึงไม่ยอมให้คนนอกเข้าไปอยู่สวนร่มวสันต์ ซือจูเองก็โวยวายว่าตนเก็บสินเจ้าสาวไว้ที่สวนหิมะงามเช่นกัน ด้วยสถานการณ์ที่ไร้ทางเลือก ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากด้วยตัวเองให้นำสินเจ้าสาวของฉังเคอไปเก็บไว้ที่เรือนของหวังซีแทน แล้วก็เรียกฉังเคอไปเฝ้าไข้อยู่ข้างกายนาง ปล่อยสวนร่มวสันต์เว้นว่างเอาไว้สำหรับรับรองแขกแขกสตรีจากบ้านเดิมของนายหญิงรอง
หวังซีกับฉังเคอสนิทสนมกัน เรื่องนี้จึงไม่มีปัญหาอะไร แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเมื่อคนจากบ้านเดิมของนายหญิงรองเข้ามาอยู่แล้ว หลานสาวจากบ้านเดิมของนายหญิงรองเห็นว่านี่ต้นฤดูหนาวแล้วทว่าลานบ้านของหวังซียังมีดอกไม้บานสะพรั่งอยู่ จึงให้สาวใช้ข้างกายไปเด็ดดอกไม้ที่เรือนหวังซี
หวังหมัวมัวจะโอบอ้อมอารีอยู่ได้อย่างไร นางรีบนำเรื่องนี้ไปบอกฮูหยินผู้เฒ่า บอกว่านอกจากสินเจ้าสาวของฉังเคอแล้ว พวกตนยังมีหีบสัมภาระของหวังซีอีก นี่หากมีของหายไปจะทำอย่างไร
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแก่หน้าของญาติไม่ยอมพูดเรื่องนี้ออกไป เพียงให้หวังหมัวมัวระแวดระวังให้มาก ยังอนุญาตให้หวังซีกับฉังเคอไม่ต้องไปรับรองแขกเป็นกรณีพิเศษด้วย ส่งบ่าวหญิงร่างกำยำสิบกว่าคนมาช่วยเฝ้าเรือนให้หวังซี ถึงระงับเรื่องนี้เอาไว้ได้
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่หวังซีกับฉังเคอมีเวลาว่างมานั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่ในห้องน้ำชาของฮูหยินผู้เฒ่าในขณะที่คนอื่นๆ กำลังยุ่งกันอยู่
หวังซีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียวว่า “มีพวกหวังหมัวมัวเฝ้าอยู่นี่นา!” กล่าวอีกว่า “จะว่าไปแล้วข้าต้องขอบคุณคนจากบ้านเดิมของนายหญิงรอง หากมิใช่เพราะพวกนางสร้างเรื่องวุ่นวาย โหวฮูหยินคงขอยืมตัวหวังหมัวมัวไปช่วยงานพานหมัวมัวแล้ว เช่นนี้ก็ดี ไม่ต้องมีใครมาสนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้แล้ว”
ฉังเคอเม้มปากหัวเราะ ใช้เหล็กคีบเขี่ยมันหวานเผาในเตาถ่าน กล่าวว่า “เจ้าสิ่งนี้เผาให้สุกได้จริงๆ หรือ ต้องหน้าตาเช่นไรถึงจะรู้ว่ากินได้แล้ว”
หวังซีเคยเห็นแต่พวกสาวใช้เผาเท่านั้น นางไม่เคยเผาด้วยตัวเองมาก่อน ได้ยินเช่นนั้นก็ถามเสี่ยวหนานที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้างว่า “เจ้ารู้หรือไม่”
กลิ่นหอมของมันหวานทำให้ท้องเสี่ยวหนานร้องไม่หยุดตั้งนานแล้ว หวังซีเพิ่งกล่าวจบนางก็ขอเป็นคนจัดการอย่างกระตือรือร้น กล่าวว่า “คุณหนูให้ข้าจัดการเถิด ท่านเพียงรอกินก็พอเจ้าค่ะ”
ฉังเคอยื่นเหล็กคีบให้เสี่ยวหนาน
จากนั้นก็เห็นเสียวเป่ยวิ่งเข้ามา กระซิบกล่าวว่า “สาวใช้ข้างกายของคุณหนูต่างสกุลจากบ้านเดิมของนายหญิงรองท่านนั้นวิ่งไปที่เรือนของพวกเราอีกแล้ว ยังยื่นศีรษะเข้าๆ ออกๆ อยู่ตรงลานบ้านด้วย ไม่รู้ว่าต้องการทำอะไร พี่สาวหงโฉวพาคนไปจับตาดูด้วยตัวเองเจ้าค่ะ!”
ทำท่าทางเหมือนกลัวผู้อื่นจะไม่จากไปก็ไม่ปาน
หวังซีอดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “พวกเจ้าคงไม่ได้สร้างกับดักอะไรไว้รอผู้อื่นกระโดดเข้าไปหรอกกระมัง”
เสียวเป่ยหัวเราะร่า มองซ้ายมองขวาแต่ไม่พูดอะไร
หวังซีเองก็ตามใจนาง
กลับเป็นฉังเคอดึงมือของหวังซีเอาไว้ กล่าวว่า “พวกเราจะไม่ไปดูสักหน่อยหรือ นายหญิงรองของพวกข้ามักจะเยินยอตัวเองบ่อยๆ ว่ามาจากตระกูลมีชื่อเสียงโดดเด่น แต่เหตุใดหลานสาวจากบ้านเดิมของนางเห็นดอกไม้ในเรือนเจ้างดงามแล้วถึงอดใจไม่ได้เล่า”
บางทีอาจเป็นเพราะมักจะคิดว่าตัวเองสูงส่งอยู่เสมอ พอมาเป็นแขกก็คิดว่าคนจวนหย่งเฉิงโหวต้องปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเคารพนบนอบกระมัง
คนเช่นนี้หวังซีเห็นมามากแล้ว อีกทั้งข้างนอกหนาวเย็นเกินไป นางไม่ค่อยอยากไปนัก
ฉังเคอกลับลากนางไป “ไปเถอะ! ไปเถอะ! ประเดี๋ยวคนที่ไปวางของหมั้นกลับมาต้องเข้ามารายงานข่าวให้ฮูหยินผู้เฒ่า พวกเราเจอแล้วก็ต้องทักทายสองสามประโยคอย่างเสียไม่ได้ มิสู้ไปนั่งที่เรือนของเจ้าดีกว่า ที่เรือนเจ้ามีท่อทำความร้อน สะดวกสบายกว่าเตาไฟตั้งเยอะ ก็แค่เผามันหวานไม่ได้เท่านั้น”
หวังซีอยากกินมันหวานก่อนแล้วค่อยไป แต่ทันใดนั้นเมื่อช้อนตาขึ้นกลับพบซือจูสวมชุดเหมือนสาวใช้เดินลับๆ ล่อๆ ออกไปข้างนอก
นางลุกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ชี้ไปที่เงาหลังดังกล่าว “เจ้าดู นั่นเหมือนซือจูหรือไม่”
ฉังเคอรีบยื่นคอไปมอง
เป็นเงาหลังของซือจูจริงๆ ด้วย
นางถามอย่างแปลกใจว่า “นี่นางจะทำอะไร วันนี้ในบ้านมีแขกเหรื่อมากมาย คงมิใช่ว่ามีแผนการร้ายอะไรอีกแล้วกระมัง”
ต้องรู้ว่า ยามมีงานมงคลนั้นไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้องหรือสหายเก่าสหายใหม่ล้วนมาร่วมงานกันหมด หากเกิดเรื่องไม่เหมาะสมขึ้นที่จวนหย่งเฉิงโหว พวกเขาที่แซ่ฉังเหล่านี้ล้วนต้องเสียหน้าไปด้วยกันทั้งหมด
“ข้าต้องไปดูสักหน่อย!” ฉังเคอกัดฟัน ตัดสินใจแอบตามไปดูซือจูสักหน่อย
หวังซีคิดว่าแทนที่จะให้ฉังเคอไปดู มิสู้ให้หงโฉวหรือไม่ก็ชิงโฉวไปดูดีกว่า นางกล่าว “เจ้าตามนางไปเป็นที่สะดุดตาง่ายเกินไป หากมีแขกมาทักทายเจ้า เจ้าก็ต้องหยุดทักทายด้วยสักสองประโยค ใช้คนของข้าไปดีกว่า อย่างน้อยซือจูก็ไม่สังเกตเห็น”
ฉังเคอคิดตามแล้วก็รีบพยักหน้า
หวังซีคิดว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้กลับไปรอข่าวที่สวนร่มหลิวดีกว่า
นางให้เสียวเป่ยไปบอกชิงโฉว จากนั้นให้พวกสาวใช้ยกเตาไฟมุ่งหน้าไปสวนร่มหลิวพร้อมกับฉังเคอ
ระหว่างทางได้ยินเสียงอึกทึกดังขึ้น บอกว่าเจิ้นกั๋วกงกับจ่างกงจู่มาถึงแล้ว
ฉังเคอยังกล่าวขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนเชิญ ช่างให้เกียรติยิ่งนัก”
หวังซีเองก็รู้สึกว่าให้เกียรติมากเช่นกัน กล่าวว่า “อาจเพราะเป็นเพื่อนบ้านกัน”
ฉังเคอเห็นด้วย ทั้งสองคนค่อยๆ เดินทอดน่องกลับไปที่สวนร่มหลิว
ชิงโฉวยังตามติดซือจูอยู่ ส่วนหงโฉววิ่งกลับมารายงานข่าว
นางกล่าวอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนูซือไปพบใต้เท้าเฉินที่ศาลาริมน้ำแห่งนั้น พวกสาวใช้และบ่าวชายต่างยืนอยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรกัน ดูจากท่าทางของใต้เท้าเฉินแล้ว สีหน้าดูไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง”
จวนหย่งเฉิงมีศาลาริมน้ำเพียงสองแห่ง อยู่ที่สวนดอกไม้ด้านหลัง แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ลับตาคนอะไร
หวังซีกับฉังเคอถามขึ้นด้วยความประหลาดใจอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “พวกเขามีอะไรให้พูดคุยกัน ยังมาเจอด้วยตัวเองอีก?”
หงโฉวส่ายศีรษะ กล่าวอย่างซุกซนว่า “พี่สาวข้าไม่ให้ข้าเข้าไปใกล้ ข้าไปแอบฟังให้คุณหนูดีหรือไม่เจ้าคะ”
หวังซีกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
เฉินลั่วกับซือจูต่างไม่อยากพบหน้ากัน เฉินลั่วไม่มีคำพูดดีๆ ให้ซือจู คาดว่าซือจูเองก็เกลียดชังเฉินลั่วเช่นกัน โดยเฉพาะซือจูที่หยิ่งทะนงในตัวเองมากเป็นพิเศษ นับจากนี้จนวันตายก็ไม่อยากเจอหน้าเฉินลั่ว เช่นนั้นเรื่องอะไรทำให้พวกเขาต่างวางอคติลง ต้องพบหน้ากันให้ได้ด้วย?
หวังซีถาม “หลิวจ้งอยู่ที่นั่นหรือไม่”
หงโฉวกล่าวอย่างตรึกตรองว่า “ไม่เห็นหลิวจ้งเจ้าค่ะ” ถามขึ้นว่า “ต้องการให้ไปตามหาเขาหรือไม่เจ้าคะ”
หวังซีกล่าว “ไปตามหาเขา ถามให้กระจ่างว่าซือจูเป็นคนอยากเจอเฉินลั่วหรือเฉินลั่วอยากเจอซือจู”
หงโฉววิ่งฉิวจากไปอีกครั้ง
หวังซีไม่เพียงกระวนกระวายใจเท่านั้น ยังหงุดหงิดมากอีกด้วย ประเดี๋ยวรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรยุ่งเรื่องนี้ ประเดี๋ยวก็รู้สึกว่าซือจูผู้นี้หาได้มีเจตนาดีอะไร ไม่แน่ว่าอาจต้องการสาดโคลนอะไรใส่เฉินลั่วก็เป็นได้!
เมื่อความคิดดังกล่าวแล่นเข้ามา ทันใดนั้นนางก็ค้นพบปัญหาข้อหนึ่งขึ้นมา
เฉินลั่วกับซือจูพบหน้ากัน มีเพียงพวกเขาสองคนหรือยังมีคนอื่นอยู่ในเหตุการณ์ด้วย?
……………………………………………………………….