เสียงของหนานกงเยี่ยเย็นยะเยือกเหมือนอากาศในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง เหน็บหนาวไร้ความอบอุ่น แต่กลับทำให้หัวใจหวั่นไหว เหลิ่งรั่วปิงได้ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เธอยืนรอเขาอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง มีรถมอเตอร์ไซต์คันหนึ่งขับมาจากทางทิศตะวันตก รถคันนั้นขับฝ่าต้นหญ้า คนขับใส่เสื้อหนัง สวมหมวกนิรภัย รองเท้าบูทสีดำ เขาเหมือนเสือชีต้าห์นอนราบบนมอเตอร์ไซต์
เมื่อเห็นหนานกงเยี่ยที่เป็นแบบนี้ ทำให้เหลิ่งรั่วปิงตกใจเล็กน้อย ใจลอยอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ผู้ชายคนนี้เท่ห์และสง่า เขาใส่สูทสีดำทุกวัน เป็นราชาที่อยู่เหนือทุกคน ทว่าชุดที่เขาใส่ในตอนนี้ ทำให้เขาดูเปลี่ยนเป็นคนละคน
หนานกงเยี่ยไม่รู้ว่าในใจของเหลิ่งรั่วปิงรู้สึกยังไง เวลานี้เขาโมโหมาก เขาโกรธที่เธอมักจะผลักไสเขา ดังนั้นพอลงจากมอเตอร์ไซต์ เขาก็สาวเท้าเร็วๆ มาหาเธอทันที แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง รอบตัวของเขา แผ่ซ่านไปด้วยรังสีความโกรธ ต้นหญ้าที่อยู่รอบๆ พัดปลิวไปมา
เหลิ่งรั่วปิงรู้ว่าเขากำลังโกรธ แต่เธอก็ยังคงซึ้งใจกับสิ่งที่เขาทำ เธอไม่อยากทะเลาะกับเขา ดังนั้นยังไม่รอให้เขาเดินเข้ามาใกล้ เธอก็วิ่งไปกอดเขาทันที “คุณหนานกง ขอบคุณนะคะ”
หนานกงเยี่ยที่เดิมทีโมโหเป็นอย่างมาก ร่างกายของเขาหยุดชะงักกะทันหัน เขาหยุดเดิน มือหนากอดเธอเอาไว้หลายวินาที “ครับๆ ไม่มีอะไรแล้ว พวกเรารีบไปช่วยเวินอี๋กันเถอะ” เพราะคำพูดอ่อนโยนและการโผเข้ากอดของเหลิ่งรั่วปิง ทำให้เขาหายโมโหทันที เธอมีความสามารถในเรื่องนี้มาโดยตลอด
เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่ผู้หญิงบาบบาง เธอยืดตัวให้ตรงแล้วพูด “คุณต้องรักษาระยะห่างกับฉัน เพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายรู้ตัว”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว คุณเดินอยู่ข้างหน้า เดี๋ยวผมเดินตามหลังคุณเอง” หนานกงเยี่ยหยิบปืนพกออกมา “อันนี้ผมเอามาให้”
เหลิ่งรั่วปิงรับปืนมาจากเขาแล้วแนบเอาไว้ที่เอว ตามด้วยเอาเสื้อมาปิดทับ พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันอีก เหลิ่งรั่วปิงเดินเข้าไปในป่า หนานกงเยี่ยเดินตามหลังเธอ เขาเลือกที่จะเดินตามหลังเธอในระยะสิบเมตรที่สามารถมองเห็นเธอได้
เดินไปประมาณหนึ่งชั่วโมง ด้านหน้าเป็นพื้นหญ้ากว้างๆ ที่มีต้นไม้ประปราย ตรงพื้นหญ้านี้มีเต้นท์สีดำขนาดใหญ่ หน้าเต้นท์สีดำมีผู้หญิงสวมชุดคลุมสีดำยืนอยู่ นอกจากตาและมือที่เผยให้เห็นแล้วนั้น ส่วนอื่นๆ ในร่างกายล้วนถูกซ่อนเอาไว้หลังชุดคลุม
เมื่อเห็นเหลิ่งรั่วปิง หญิงสาวชุดคลุมดำหัวเราะด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม “เหลิ่งรั่วปิง แกใจกล้ามากจริงๆ”
เสียงนี้พิเศษมาก เคล้าไปด้วยความตาย เสียงนี้เป็นเสียงเดียวกับที่โทรเข้ามา สีหน้าของเหลิ่งรั่วปิงนิ่งสงบ เธอเลิกคิ้วขึ้น “แกเป็นใคร”
“คนที่อยากให้แกตาย!”
หนานกงเยี่ยซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล ขมวดคิ้วเป็นปมมองดูหญิงสาวชุดคลุมดำ เขาพอจะเดาได้แล้วว่าเธอเป็นใคร เหลิ่งรั่วปิงหยิบปืนออกมา แล้วเล็งไปที่หน้าผากของเธอ
“ในเมื่อแกอยากให้ฉันตาย แกบอกมาก่อนสิว่าแกเป็นใคร ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดองทำไม”
“ดีมาก ฉันจะให้แกนอนตายตาหลับ” ขณะที่พูด หญิงสาวชุดคลุมดำลดผ้าที่คลุมศีรษะลง เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น เบ้าตาของเธอลึกมาก ลึกเหมือนหลุมกว้าง หน้าของเธอสูบผอม น่ากลัวเหมือนผีดูดเลือด
เหลิ่งรั่วปิงมองดูอย่างพิจารณา แต่เธอก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร เพียงแต่รู้สึกว่าสายตาของเธอเหมือนกับคนๆ หนึ่ง “แกคือลู่หวาหนง?”
“ฮ่าๆๆ…” หญิงสาวชุดคลุมดำหัวเราะ เสียงของเธอเหมือนวิญญาณร้าย “แกยังดูออกหรอว่าฉันเป็นใคร ฉันคิดว่าจะไม่มีใครจำหน้าฉันได้แล้ว”
เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้ว สำหรับลู่หวาหนง เธอไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้อยู่ในสายตาและไม่เคยเก็บมาใส่ใจ เธอจำได้แค่ว่างานเลี้ยงหลิ่วเย่ว์วานเมื่อคราวที่แล้ว ลู่หวาหนงวางยาปลุกเซ็กส์ให้เธอไม่สำเร็จ ทั้งยังทำเรื่องน่าอายเอาไว้ วันนั้นจั่วเยี่ยเหาโกรธมาก เขาต้องสั่งสอนเธออย่างหนักแน่ๆ แต่เหลิ่งรั่วปิงไม่รู้ว่าจั่วเยี่ยนเหาลงโทษอะไรลู่หวาหนงบ้าง เธอไม่ได้สนใจเรื่องนี้มาก่อน เหลิ่งรั่วปิงคิดไม่ถึงว่าลู่หวาหนงจะกลายเป็นสภาพนี้ไปได้
แต่เหลิ่งรั่วปิงก็ไม่ได้สงสาร เธอหัวเราะในลำคอ “ลู่หวาหนง ทำไมแกถึงกลายเป็นสภาพนี้ไปได้”
ลู่หวาหนงกระตุกมุมปากที่น่าเกลียด ความแค้นพ่นออกมาจากซอกฟัน “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแก!”
“เป็นเพราะฉัน แกเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า”
“ถ้าไม่ใช่เพราะแก คืนนั้นฉันจะถูกจั่วเยี่ยนเหาทำร้ายจนตกอยู่ในสภาพนี้ไหม” ครั้งนั้นจั่วเยี่ยนเหาสั่งให้คนโยนเธอลงแม่น้ำ เธอดิ้นรนเอาชีวิตรอด พยายามหลุดออกมาจากกระสอบทรายแล้วว่ายน้ำขึ้นฝั่ง แม่น้ำตรงนั้นมีแม่น้ำสองสายไหลลงมาบรรจบ ทั้งยังเต็มไปด้วยก้อนหิน คืนวันนั้นเธอถูกหินบาดไปทั่วทั้งตัวและหน้า แต่สุดท้าย เธอก็ว่ายมาถึงฝั่งจนได้
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะอีกครั้ง “จั่วเยี่ยนเหาทำให้แกตกอยู่ในสภาพนี้มันเกี่ยวอะไรกับฉัน งานเลี้ยงในคืนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะแกตั้งใจจะทำร้ายฉัน แล้วมันจะเข้าตัวแกเองหรอ”
“ทำไมฉันต้องทำร้ายแก เป็นเพราะแกทำให้ฉันอับอายต่อหน้าคุณชายเยี่ยและยังทำลายอนาคตของฉัน!”
“แกเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เรื่องที่ไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ ถ้าไม่ใช่เพราะแกจงใจอยากหาเรื่องฉัน พวกเราก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันเท่านั้น ต่างคนต่างไปคนละทาง ทั้งหมดนี้แกเป็นคนหาเรื่องให้ตัวเอง”
“…” ลู่หวาหนงกัดฟันกรอด เธอเงียบอยู่หลายวินาที เธอยอมรับว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเธอเป็นคนหาเรื่องให้ตัวเอง แต่ความแค้นของเธอจำเป็นต้องมีที่ระบาย “หึ เหลิ่งรั่วปิง นับว่าแกดวงแข็งมาก อุบัติเหตุรถชนในวันนั้นแกรอดชีวิตมาได้ ฉันส่งคนไปยิงแกที่ไนท์คลับเฟิ่งหวงไถแกก็ไม่ตาย งานเลี้ยงในคืนนั้นแกก็หนีรอด แต่วันนี้ ฉันจะส่งแกขึ้นสวรรค์ด้วยมือฉันเอง”
รูม่านตาของเหลิ่งรั่วปิงหดเล็ก “ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของแก?” นึกถึงไซ่ตี้จวิ้นที่ขาหักเพราะช่วยเธอเอาไว้ เหลิ่งรั่วปิงปวดใจมาก
“ถูกต้อง ฝีมือฉันเอง น่าเสียดาย จั่วเยี่ยนเหามันไร้ความสามารถ ไม่อย่างนั้นอุบัติเหตุครั้งนั้นแกก็คงตาย” เรื่องมาถึงขั้นนี้ สีหน้าของลู่หวาหนงยังเต็มไปด้วยความเจ็บใจ
เหลิ่งรั่วปิงหรี่ตาลง พยายามข่มใจที่อยากจะฆ่าลู่หวาหนง เธอพูดด้วยเสียงเย็นยะเยือก “เวินอี๋ละ”
แววตาเย็นชาของหนานกงเยี่ยหรี่เล็กลง จั่วเยี่ยนเหา กล้ามาแตะต้องผู้หญิงของหนานกงเยี่ย!
ลู่หวาหนงแสยะยิ้มอย่างได้ใจ “เดี๋ยวฉันจะให้แกได้เจอกันมัน”
ขณะที่พูด ลู่หวาหนงกดรีโมทในมือ ม่านสีดำเปิดอัตโนมัติทั้งสี่ด้าน แล้วหล่นลงกับพื้น เวินอี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางเต้นท์ มือและเท้าทั้งสองข้างถูกมัดเอาไว้ ตรงหน้าอกของเธอมีระเบิด
ดวงตาสีนิลของเหลิ่งรั่วปิงจ้องเขม็ง ใบหน้าของเธอเกร็งไปหมด “ลู่หวาหนง แกคิดจะทำอะไรกันแน่”
ลู่หวาหนงหัวเราะอย่างได้ใจ “แกเห็นรีโมทในมือฉันไหม แค่ฉันกดรีโมทนี้ เวินอี๋ก็จะระเบิดจนร่างเละทันที” ลู่หวาหนงหัวเราะเสียงดัง “วิธีเดียวที่แกจะช่วยยัยนี่ได้ คือเอาชีวิตของแกมาแลก!”
มีผ้ายัดเอาไว้ในปากของเวินอี๋ ทำให้เธอพูดไม่ได้ เวินอี๋รีบส่ายหน้าไปมา เพื่อบอกให้เหลิ่งรั่วปิงอย่าคิดทำเรื่องโง่ๆ
เหลิ่งรั่วปิงมองลู่หวาหนงนิ่งๆ “ต้องการให้ฉันตายไม่ใช่เรื่องยาก แต่ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าหลังจากที่ฉันตาย แกจะยอมปล่อยเวินอี๋”
ลู่หวาหนงมองเวินอี๋ด้วยสายตารังเกียจ “ยัยนั่นไม่มีความหมายอะไรกับฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะลั่วซูเยียงรู้ว่าพวกแกเกี่ยวข้องกันยังไง บอกให้ฉันจับตัวยัยคนนี้มา ฉันยังคิดไม่ออกเลยว่าจะข่มขู่แกยังไงดี ยัยนั่นจะตายหรือไม่ตายมันไม่สำคัญกับฉันเลยสักนิด แค่แกตาย ฉันก็จะปล่อยมัน แต่วันข้างหน้าลั่วซูเยียงจะเอาชีวิตยัยคนนี้ไหม ฉันเองก็ไม่รู้หรอก”
เป็นฝีมือของลั่วซูเยียงจริงๆ ด้วย! เหลิ่งรั่วปิงกัดฟัน “ได้ ฉันยินดีเอาชีวิตของฉันมาแลกกับเวินอี๋ แต่ในมือฉันไม่มีอาวุธอะไรเลย แกจะให้ฉันตายยังไง คงไม่ใช่ว่าจะให้ฉันกัดลิ้นฆ่าตัวตายหรอกนะ?”
ลู่หวาหนงกรอกตามองไปมา พูดเสียงทุ้มต่ำ “ตรงนั้นมีมีด แกใช้มีดฆ่าตัวตาย”
เหลิ่งรั่วปิงมองไปยังตามที่ลู่หวาหนงชี้ เธอเห็นโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากเวินอี๋ มีมีดเล่มหนึ่ง ก่อนหน้านี้พวกมันคงใช้มีดในการข่มขู่เวินอี๋
“ได้” เหลิ่งรั่วปิงเดินไปที่โต๊ะ เธอรู้ว่าหนานกงเยี่ยคงหาโอกาสได้แน่นอน
“อย่าคิดเล่นไม่ซื่อ ไม่อย่างนั้น…แกรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น!”
ลู่หวาหนงมองไปที่เหลิ่งรั่วปิง สายตาของเธอมองไปตามแผ่นหลังของเหลิ่งรั่วปิง แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือไม่ไกลจากที่นั่นมี ‘เสือ’ ซ่อนตัวอยู่ ตอนที่เธอหันหลังมองตามเหลิ่งรั่วปิง เสียงปืนดังขึ้น กระสุนนัดนั้นยิงเข้ามาตรงกลางหน้าผากของลู่หวาหนง คนที่ยิงคือหนานกงเยี่ย
แทบจะเวลาเดียวกันที่เสียงปืนนัดนี้ดังขึ้น ก็มีเสียงปืนอีกนัดตามขึ้นมา ปืนอีกนัดหนึ่งยิงทะลุขมับขวาออกไปขมับซ้าย คนที่ยิงคือมู่เฉิงซี
ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจ คิดอยากจะกดรีโมท แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรง สุดท้ายร่างที่ซูบผอมล้มลงบนพื้นหญ้า
เหลิ่งรั่วปิงรีบวิ่งไปแก้มัดเชือกและระเบิดบนตัวเวินอี๋ เธอดึงผ้าในปากของเวินอี๋ออกมา “เวินอี๋ เป็นอะไรไหม”
“ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ พี่รั่วปิง” เวินอี๋ส่ายหน้า แต่เวลานี้เธอกลับไม่มีแรงแล้ว ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืน “พี่รั่วปิง ลั่วซูเยียงกับลู่หวาหนงเป็นคนจับตัวฉันมา แต่เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน จู่ๆ ลั่วซูเยียงก็ออกไป ฉันได้ยินว่าเจี่ยนชิวมีธุระกับลั่วซูเยียง”
“เข้าใจแล้ว”
เหลิ่งรั่วปิงกำลังจะพยุงเวินอี๋ขึ้นมา มู่เฉิงซีก็รีบวิ่งมาแล้ว เขาช้อนตัวเวินอี๋ขึ้น กอดเธอเอาไว้แน่น “เหลิ่งรั่วปิง ไปให้พ้นจากเวินอี๋!”
เหลิ่งรั่วปิงเงียบ เธอรู้ว่ามู่เฉิงซีรู้สึกยังไง อันที่จริงการที่เขาเป็นห่วงเวินอี๋แบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกวางใจ เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ใส่ใจท่าทีที่เขามีต่อเธอ ถ้าหากเวินอี๋มีชีวิตที่มีความสุข เธอยินดีที่จะอยู่ให้ห่างจากเวินอี๋
เวินอี๋มองมู่เฉิงซีที่กำลังโมโหด้วยความกลัวเล็กน้อย “ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ คุณอย่าทำแบบนี้กับพี่รั่วปิง”
“คุณยังจะพูดอีก !” มู่เฉิงซีโมโหจนตาแดงก่ำ “คุณไม่มีสมองหรือไง ทำไมถึงโดนหลอกง่ายแบบนี้ แล้วยังจะไล่พวกบอดี้การ์ดไปอีก”
เวินอี๋เม้มกัดฟันไม่ได้พูดอะไร เธอโง่มากจริงๆ เบอร์ที่โทรเข้ามาไม่ใช่เบอร์ของพี่เหลิ่งรั่วปิง แต่เธอกลับเชื่อ
เวลานี้ เฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ บินลงมา มู่เฉิงซีพยายามระงับความโกรธเอาไว้ เขาอุ้มเวินอี๋ขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์ เขาไม่ค่อยชอบเหลิ่งรั่วปิงสักเท่าไหร่ เพราะหนานกงเยี่ยเป็นเพื่อนรักของเขา เขาไม่เห็นด้วยที่หนานกงเยี่ยหลงผู้หญิงที่ไม่มีหัวใจคนนี้ บวกกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเวินอี๋ เขาก็ยิ่งไม่ชอบเหลิ่งรั่วปิง
มู่เฉิงซีไม่มีทีท่าที่จะชวนหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงขั้นเฮลิคอปเตอร์ เขาสั่งให้คนขับเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นฟ้าทันที
มองดูเฮลิคอปเตอร์บินไกลออกไปจากป่า เหลิ่งรั่วปิงนิ่งเงียบ หนานกงเยี่ยโอบเธอเอาไว้ด้วยความปวดใจ “…”