เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “คุณกู้จือเหา คุณจ้องอดีตว่าที่เจ้าสาวแบบนี้ คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่นะคะ”
กู้จือเหารู้สึกเสียหน้ามาก สีหน้าของเขาไม่สบอารมณ์ทันที “ฉู่หนิงซยา เธอมันไร้ยางอายจริงๆ เพิ่งฟื้นขึ้นมาก็ยุ่งกับพี่ตี้จวิ้นทันที ยังเพ้อฝันเป็นกระต่ายหมายจันทร์อยู่เหรอ”
นึกถึงเมื่อก่อน เขารังเกียจฉู่หนิงซยามาก แค่เห็นเธอก็รู้สึกเหมือนเห็นแมลงวันที่น่ารังเกียจ เขาเคยพูดว่า การหมั้นหมายกับเธอคือเรื่องน่าอายที่สุดในชีวิตของเขา แต่เมื่อกี้กลับถูกเธอหัวเราะเยาะ
เหลิ่งรั่วปิงกลืนอาหารในปากลงคอช้าๆ ชำเลืองมองกู้จือเหา “ฉันอยากเป็นกระต่ายหมายจันทร์หรือไม่ก็เป็นเรื่องของฉัน ฉันไม่ได้มีใจเพ้อฝันถึงคุณสักหน่อย คุณมายุ่งอะไร”
“เฮ้อ ฉู่หนิงซยา เธอนอนหลับไปสามปีจนโง่ไปแล้วหรือไง ถึงกล้าต่อปากต่อคำกับฉัน” กู้จือเหาทำท่าทีเหมือนจะใช้กำลังกับเหลิ่งรั่วปิง นึกถึงเมื่อก่อน แม้ว่าฉู่หนิงซยาจะเอาแต่ใจ แต่เธอไม่มีวันกล้าเหิมเกริมต่อหน้าเขา เพราะเขาไม่ใช่สุภาพบุรุษ ไม่ใช่ผู้ชายที่จะไม่ทำร้ายผู้หญิง ถ้าเธอทำให้เขาไม่พอใจ เขาก็จะทำร้ายเธอ ดังนั้น ฉู่หนิงซยาจึงกลัวเขามาก
แน่นอนว่าเหลิ่งรั่วปิงไม่ยอมให้ใครมารังแก ยังไม่รอให้กู้จือเหาได้ทำอะไร เธอก็คว้าไวน์บนโต๊ะแล้วสาดใส่หน้าเขา กู้จือเหาที่ง้างมืออยู่กลางบนอากาศ ไม่ทันได้ป้องกันตัว ทำให้หน้าของเขาเต็มไปด้วยไวน์แดงที่สาดเข้ามา ของเหลวสีแดงรินไหลลงจากมาจากใบหน้าที่หล่อเหลานั้น ทำให้เขาตกตะลึง
คนตรงหน้าคือฉู่หนิงซยา? เธอกล้าสาดไวน์ใส่เขา!
กู้จือเหามองเหลิ่งรั่วปิงตาค้าง ผ่านไปนานครู่หนึ่งกว่าเขาถึงจะดึงสติกลับมา กู้จือเหาโมโหทันที “ผู้หญิงสารเลว กล้าสาดไวน์ใส่ฉัน ดูซิสิวันนี้ฉันจะต่อยเธอจนหมดสติอีกสามปีไหม!”
เหลิ่งรั่วปิงนิ่งสงบและสง่างาม เธอวางมีดและส้อมลงอย่างไม่รีบร้อน ทว่าเท้าของเธอกลับเตะออกไปอย่างรวดเร็ว เตะไปยังเป้าของกู้จือเหาเต็มๆ กู้จือเหาที่เพิ่งยืนขึ้นมา ล้มลงนั่งบนโซฟาทันที เขาเจ็บจนหน้าเขียวหน้าแดง
ไซ่ตี้จวิ้นเอามือกุมขมับ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เหลิ่งรั่วปิงคลี่ายยิ้มราวกับเป็นนางฟ้า “คุณกู้จือเหา วันนี้ก่อนออกจากบ้านคุณไม่เช็คดวงตนเองหน่อยเหรอคะ”
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกว่า ถึงแม้ฉู่หนิงซยาคนนี้จะไม่เป็นที่รักของผู้คน แต่เธอก็ได้จากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องคอยอดทนต่อการดูถูกและรังเกียจของคนพวกนี้อีก ในเมื่อเธอกลายเป็นฉู่หนิงซยาแล้ว ก็ควรจะที่เอาคืนคนพวกนั้นแทนฉู่หนิงซยา เพื่อถือเป็นการตอบแทน
กู้จือเหาเป็นทายาทคนที่สองของตระกูลกู้ เขาไม่เคยถูกกระทำแบบนี้มาก่อน วันนี้ถ้าเขาไม่เปลื้องผ้าแล้วจับ “ฉู่หนิงซยา” มาแขวนเอาไว้ เขาก็ไม่ใช่คนตระกูลกู้แล้ว กู้จือเหาไม่สนใจความเจ็บปวดตรงเป้าของตนเอง เขายื่นมือออกมากระชากผมของเหลิ่งรั่วปิง เขาอยากลากตัวเธอกลับไปทรมาน แต่มือของเขายังเอื้อมไปไม่ถึงตัวเหลิ่งรั่วปิง ก็เห็นส้อมที่อยู่ในมือของเธอหมุนด้วยองศาที่สวยงาม หนึ่งวินาทีถัดมา ปักลงบนฝ่ามือของเขา
“อ๊าก !” กู้จือเหาเจ็บจนกระโดดไปมา “ฉู่หนิงซยา เธอมันคนสารเลว กล้าทำร้ายฉัน” เขาร้องตะโกนบอกบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านนอก “เข้ามาหาให้ผม แล้วลากตัวผู้หญิงคนนี้กลับไป”
บอดี้การ์ดเจ็ดคนรีบวิ่งเข้ามา พวกเขากำลังจะจับตัวเหลิ่งรั่วปิง ทว่าไซ่ตี้จวิ้นกลับพูดขึ้น “จือเหา นายจับแฟนของฉันไปต่อหน้าฉันแบบนี้ มันหมายความว่าไงอะไร”
บอดี้การ์ดได้ยินแบบนี้จึงหยุดนิ่งทันที พวกเขามองไปที่กู้จือเหา เพื่อรอคำสั่งจากเขา ถึงแม้ตระกูลกู้จะมีอำนาจ แต่ก็ไม่กล้ามีไม่ปัญหากับตระกูลไซ่
กู้จือเหารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขาอ้าปากกว้างจนเกือบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้แล้ว “พี่ไซ่ตี้จวิ้น พี่…พี่บอกว่าอะไรนะครับ”
“ยังได้ยินไม่ชัดเจนอีกเหรอ” ไซ่ตี้จวิ้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ฉู่หนิงซยาเป็นแฟนของพี่”
“เอ่อ…นี่มัน…” กู้จือเหามองไซ่ตี้จวิ้นและเหลิ่งรั่วปิงสลับไปมา เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “พี่ตี้จวิ้น พี่ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนพี่เกลียดยัยผู้หญิงคนนี้มาก”
“เมื่อก่อนเกลียด ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้จะเกลียด ดังนั้น จือเหา อย่าให้ฉันรู้ว่านายทำอะไรเธออีก” ไซ่ตี้จวิ้นเป็นผู้ชายอบอุ่น คำพูดของเขาก็อ่อนโยน แต่คนที่รู้จักเขาเป็นอย่างดีล้วนรู้ว่า คำพูดนี้ของเขาเย็นยะเยือกแค่ไหน
กู้จือเหาอ้าปากค้างมองไปที่เหลิ่งรั่วปิง แต่เธอกลับทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอาหาร แต่การมองในครั้งนี้ ทำให้กู้จือเหาไม่สงสัยแล้วว่าทำไมไซ่ตี้จวิ้นถึงชอบเธอ เพราะเธอในตอนนี้แตกต่างไปจากเดิม เขารู้สึกเหมือนเสียของรักไปอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากที่เหลิ่งรั่วปิงกินคำสุดท้ายหมด ไซ่ตี้จวิ้นถามเธออย่างอ่อนโยน “กินอิ่มหรือยังครับ”
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงเช็ดมืออย่างไม่ยี่หระ เธอไม่แม้แต่จะปลายตามองกู้จือเหา
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันเถอะ คืนนี้ยังต้องไปงานเลี้ยงอีก” ไซ่ตี้จวิ้นพูดแล้วลุกขึ้นยืน เขาเดินอ้อมไปด้านหลังเหลิ่งรั่วปิง เคลื่อนเก้าอี้ให้เธอ เขามีความเป็นสุภาพบุรุษสูงมาก ดูแลเอาใจใส่เธออย่างดีทุกกระเบียดบนิ้ว “จือเหา ไว้เจอกันคืนนี้”
จนกระทั่งไซ่ตี้จวิ้นเดินโอบเหลิ่งรั่วปิงออกไปจากร้านอาหาร กู้จือเหายังคงนิ่งค้าง แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะยังไม่หายหงุดหงิดที่เหลิ่งรั่วปิงเตะเขา แต่เป็นเพราะเสน่ห์ของเหลิ่งรั่วปิงที่ดึงดูดเขา เธอไม่เหมือนฉู่หนิงซยาคนเดิมแม้แต่น้อย เธอสวยมีสง่าราวกับนางฟ้า แววตาคู่นั้นคมกริบเหมือนมีด ทั้งยังสวยโหด ผู้หญิงแบบนี้ พิเศษจริงๆ
ผู้หญิงคนนี้นอนเป็นเจ้าหญิงนินทราไปสามปีจนเปลี่ยนเป็นคนละคน?
“รั่วปิง โทษผมไหมที่ทำอะไรโดยไม่ปรึกษาคุณ” ไซ่ตี้จวิ้นขับรถไปด้วย พร้อมกับสังเกตสีหน้าของเหลิ่งรั่วปิงด้วยความระมัดระวัง
ทว่าเหลิ่งรั่วปิงกลับกับยิ้มอย่างไม่ใส่สนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าไหร่ “ในอนาคตฉันต้องทำงานใกล้ชิดกับคุณ เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกจับไปนินทา ถูกคนบอกแรกว่าแฟนก็ฟังรื่นหูกว่าเป็นนางบำเรอเยอะเลยค่ะ”
“คุณอย่าโกรธผมเลยนะครับ” ไซ่ตี้จวิ้นเอียงคอหันไปมองเหลิ่งรั่วปิง “ผมเคยบอกว่าจะไม่บีบบังคับคุณ การที่เป็นแฟนของผม ผมจะได้ดูแลคุณสะดวกขึ้นและปกป้องคุณง่ายขึ้นด้วย”
“ฉันเข้าใจค่ะ” เธอรู้ เขากำลังค่อยๆ ผลักเธอให้เป็นแฟนของเขา ถึงแม้เขาจะบอกว่าไม่ได้บีบบังคับเธอ แต่เขาคาดหวังเป็นอย่างมาก เขาอยากให้เธอค่อยๆ กลายเป็นแฟนตัวจริงของเขา เขามีอำนาจในประเทศเอ้าตู การที่ได้เป็นแฟนของเขา ไม่มีใครกล้ายุ่งกับเธอ สิ่งที่เขาทำได้ทำลายโอกาสที่จะมีผู้ชายมายุ่งกับเธอ แน่นอน เธอเองก็ไม่คิดจะมีใครด้วย ดังนั้น เธอจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้
เมื่อเห็นเหลิ่งรั่วปิงไม่โกรธ ไซ่ตี้จวิ้นจึงวางใจ ที่เขาทำไปเป็นเพราะความเห็นแก่ตัว เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ใจกว้างในเรื่องความรู้สึก เขาต้องการเธอ แน่นอนว่าต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้หัวใจเธอ ถึงแม้เขาจะไม่ได้จับตัวเธอไปเหมือนหนานกงเยี่ย แต่เขาจะสร้างโอกาส เพื่อที่จะให้เธออยู่ข้างกายเขา
งานเลี้ยงในตอนค่ำ ไซ่ตี้จวิ้นเลือกชุดราตรีให้เหลิ่งรั่วปิงด้วยตนเอง พร้อมทั้งจัดเตรียมช่างแต่งหน้าให้เธอ
ชุดราตรีสีเหลืองครีมลากยาว รองเท้าส้นสูงสีเงิน เครื่องเพรชราคาแพงเข้ากับคอระหงส์ พร้อมกับต่างหูแวววาว เพราะผมของเธอสั้น ทำให้ไม่ได้ทำผมอะไรมากเป็นพิเศษ เพียงแค่ปล่อยประบ่าเท่านั้น
เหลิ่งรั่วปิงในตอนนี้ มีความสวยงามและสง่า
มองดูตนเองในกระจก มือเรียวบางจับสร้อยคอ จู่ๆ เธอก็คิดถึงตอนที่หนานกงเยี่ยจับเธอกลับมาจากเมืองเฟิ่ง ตอนอยู่บนเครื่องบินเขาโยนสร้อยคอที่ไซ่ตี้จวิ้นให้เธอทิ้งด้วยความโมโห เขาบอกว่า ‘ห้ามรับของจากไซ่ตี้จวิ้นอีก!’
เหลิ่งรั่วปิงเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร อยู่ดีๆ เธอก็ถอดสร้อยคอลงมา แล้วเก็บใส่กล่องเครื่องประดับ
ไซ่ตี้วจิ้นขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไปครับ ไม่ชอบเหรอ”
“เอ่อ…” เหลิ่งรั่วปิงพยายามจะหาข้ออ้าง “ฉันไม่ชอบใส่อะไรพวกนี้เท่าไหร่ค่ะ มันแพงเกินไป ฉันไม่ชิน”
เธอชอบแต่งตัวเรียบๆ แต่ว่า การถอดเครื่องเพรชรออกลงมาแบบนี้ ไม่ใช่นิสัยของเธอ
เป็นเพราะอะไรกันแน่
ไซ่ตี้จวิ้นยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรอีก
งานเลี้ยงในคืนนี้ยิ่งใหญ่มาก เหลิ่งรั่วปิงไปร่วมงานเลี้ยงในฐานะแฟนของไซ่ตี้จวิ้น ซึ่งงานเลี้ยงนี้เต็มไปด้วยเหล่าคนดัง ใช้เวลาเพียงไม่นานเรื่องของเหลิ่งรั่วปิงก็กระจายไปทั่ว
คุณหนูตระกูลฉู่ผู้ไม่ได้เรื่องในอดีต หลังจากนอนเป็นเจ้าหญิงนินทรามาสามปี เธอก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน กลายเป็นผู้หญิงที่มากความสามารถ ทั้งยังได้รับความรักจากประธานบริษัทไซ่เหวย กลายเป็นแฟนสาวของเขา เมื่อสามปีก่อนเธอไปเรียนสถาปัตยกรรม์ที่ต่างประเทศ ดังนั้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ของประธานไซ่ จึงได้เชิญเธอมาเป็นสถาปนิกให้กับบริษัท พร้อมทั้งเชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาช่วยสอนด้านนี้ให้กับเธอ
ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะไม่ได้ใส่เครื่องประดับราคาแพง แต่เธอดูมีสง่าและสวยบริสุทธิ์ราวกับดอกบัวขาวที่เบ่งบานในวันฝนตก ความสวยของเธอดึงดูดสายตามากมายในงาน แค่คืนเดียวเธอก็ได้กลายเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในประเทศเอ้าตู แต่เพราะเธอเป็นแฟนสาวของไซ่ตี้จวิ้น ทำให้บรรดาผู้ชายทำได้แค่มองเท่านั้น ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับเธอ
เธอที่มีชีวิตใหม่อีกครั้ง อยู่ที่ประเทศเอ้าตู เวลาแค่ชั่วข้ามคืน ฉู่หนิงซยาเปลี่ยนจากคุณหนูไม่ได้เรื่อง กลายเป็นผู้หญิงที่เปล่งประกาย ดึงดูดทุกสายตา
ทางด้านกู้จือเหาไม่ได้มาหาเรื่องเหลิ่งรั่วปิงอีก ตลอดทั้งงานเลี้ยง เขานั่งเงียบๆ อยู่ในมุมแห่งหนึ่ง ทำได้เพียงมองไปที่เหลิ่งรั่วปิง ถ้าเขารู้ว่าเธอมีเสน่ห์น่าหลงใหลขนาดนี้ ตอนนั้นเขาไม่มีวันถอนหมั้นเธอเด็ดขาด
*****
เมืองหลง บริษัทหนานกง ห้องทำงานประธาน
หนานกงเยี่ยนั่งเงียบๆ อยู่ในห้องทำงาน เขากำลังตั้งใจอ่านเอกสาร แสงแดดต้นฤดูหนาวสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างกว้าง ทำให้เกิดเงาดำบนพื้น เขายังคงหล่อเหมือนเทพบุตร สูงศักดิ์ราวกับเป็นราชา ใบหน้านั้นยังคงเย็นชา เพียงแต่ภายใต้เปลือกนอกของเขา กลับซ่อนไปด้วยความเหงา
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเล็ล้กน้อย จ้องมองโมเดลบ้านด้วยความคิดถึง โมเดลบ้านที่วางอยู่ใกล้ตัวเขา คือของขวัญของเหลิ่งรั่วปิง
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง หนานกงเยี่ยวางเอกสารในมือลง เขาเปิดประตูโมเดลบ้านนั้น หยิบปากกาอัดเสียงออกมา แล้วกดเล่นเบาๆ
“หนานกงเยี่ย ของขวัญชิ้นนี้ฉันคิดอยู่นานมากกว่าจะตัดสินใจมอบให้คุณ ซึ่งนั่นก็คือหัวใจของฉัน เขาเอาแต่บอกว่าอยากได้หัวใจของฉัน ตอนนี้ฉันติดสินใจที่จะมอบมันให้คุณแล้ว หวังว่าคุณจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะคะ ฉันเป็นคนใจแคบมาก หัวใจของฉันมีได้แค่คนคนๆ เดียวเท่านั้น ดังนั้นฉันจะรักแค่คุณคนเดียว แต่ฉันก็อนุญาตให้คุณรักฉันได้แค่คนเดียว ฉันไม่อนุญาตให้คุณมีผู้หญิงคนอื่น แม้แต่อวี้หลานซีก็ไม่ได้ คุณทำได้ไหมคะ ฉันอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ครอบครัวที่มีแต่ความสุข คุณสามารถให้ฉันได้ไหมคะ”
รอบแล้วรอบเล่า คำพูดเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา แต่เขากลับฟังไม่เบื่อ
เหลิ่งรั่วปิงไปจากเมืองหลงนานสามเดือนแล้ว หัวใจของเขาก็ตกนรกไปนานแล้ว ในทุกวันเขาไม่รู้สึกอยากอาหารแม้แต่น้อย ทุกคืนก็นอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากกิน ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากนอน เขาอยากกินข้าวอย่างมีความสุข อยากนอนอย่างเต็มอิ่ม แต่เสียงของเธอดังก้องไปทั่ว ภาพตรงหน้ามีแต่ผู้หญิงคนนั้น หัวใจของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเธอ แค่คิดว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน เขาก็หายใจลำบาก กินข้าวไม่ลงและนอนไม่หลับ