เวลานี้ เหลิ่งรั่วปิงสง่างามมาก เธอนิ่งเงียบ คิ้วบางๆ ของเธอ อากัปกิริยานั้น ทุกอย่างยังเหมือนครั้งแรกตอนที่เขาเจอกับเธอครั้งแรก เธอสวยงามและสมบูรณ์แบบจนทำให้เขาไม่อาจละสายตาได้
หนานกงเยี่ยรู้สึกคอแห้งขึ้นมากะทันหัน เขาอยากกอดเธอ อยากจูบเธอ อยากกักขังเธอไว้ในอ้อมกอดของเขา แนบชิดกับเรือนร่างของเธอ
แต่ว่า เขาทำไม่ได้! ความทรมานนี้กำลังจะแผดเผาเขาเป็นเถ้าถ่าน
ไซ่หย่าเซวียนที่เอาแต่ชะเง้อมองไปที่ประตู ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมา เธอลุกขึ้นกำลังจะร้องตะโกน แต่จู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงนั่งลง แล้วพูดกระซิบบอกกับเหลิ่งรั่วปิง “หนิงซยา พี่เทียนรุ่ยมาแล้ว เธอรีบเรียกพี่เขาสิ!”
เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้นมอง ชายหนุ่มหน้าตาคมคายรูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า ฉู่เทียนรุ่ยกำลังมองซ้ายมองขวา เขากำลังหาที่นั่ง เหลิ่งรั่วปิงกระตุกยิ้มมุมปาก มือเรียวสวยโบกไปมา ริมฝีปากบางพูดขึ้น “พี่คะ!”
เมื่อได้ยินเสียงของเหลิ่งรั่วปิง ฉู่เทียนรุ่ยรู้สึกแปลกใจเซอร์ไพรส์มาก เขามองตามต้นเสียง เห็นเหลิ่งรั่วปิงกำลังโบกมือไปมา ฉู่เทียนรุ่ยยิ้มร่า เดินไปหาเธอ ตอนที่เขาเดินเข้าไปใกล้ กลับเห็นไซ่หย่าเซวียนที่กลับมาแต่งตัวสไตล์เดิม จึงอดไม่ได้ที่จะล้อเลียนเธอ “วันนี้ไม่แต่งตัวเป็นผู้หญิงสวยหรูแล้วเหรอ”
ไซ่หย่าเซวียนเงยหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “ตอนนี้ฉันแต่งตัวตามอารมณ์ของตัวเอง ไม่ใช่เด็กกะโปโลที่เอาแต่วิ่งไล่ตามหลังพี่แล้ว ถ้าวันไหนฉันเจอผู้ชายหล่อๆ ที่ทำให้ฉันใจเต้นแรง ฉันก็อาจจะกลับไปแต่งตัวเป็นผู้หญิงสวยหรูก็ได้”
ฉู่เทียนรุ่ย “…” ท่าทีแบบนี้ของเธอมันหมายความว่าอะไร
เหลิ่งรั่วปิงหันไปมองไซ่หย่าเซวียนด้วยแววตาชื่นชม จากนั้นคลี่ยิ้มแล้วหันไปพูดกับฉู่เทียนรุ่ย “พี่คะ พี่มากินข้าวที่นี่เหมือนกันเหรอคะ”
“อื้ม” ฉู่เทียนรุ่ยพยายามควบคุมตนเอง พยายามไม่สนใจกับสิ่งที่ไซ่หย่าเซวียนพูด เขาเลิกคิ้วขึ้น “อยากกินอะไร วันนี้พี่เลี้ยงเอง”
“ดีค่ะ ฉันกับไซ่หย่าเซวียนหิวแล้ว พวกเรากินเต็มที่เลยนะคะ” เหลิ่งรั่วปิงหยิบเมนูขึ้นมา เธอเริ่มสั่งอาหารด้วยความตั้งใจ หลังจากสั่งเสร็จก็ยื่นเมนูให้ไซ่หย่าเซวียน
ไซ่หย่าเซวียนยื่นมือออกไปรับเมนูอาหาร เธอชำเลืองมองฉู่เทียนรุ่ย “พี่ฉู่เทียนรุ่ยเลี้ยงข้าวหนิงซยา คงไม่ถือสาถ้าฉันจะกินด้วยนะคะ”
“…” ฉู่เทียนรุ่ยชะงัก จากนั้นคลี่ยิ้ม “แล้วพี่จะไล่เราไปได้เหรอ” เธอเรียกเขาว่าพี่ฉู่เทียนรุ่ยอีกแล้ว ทำตัวเย็นชากับเขาอีกแล้ว
ไซ่หย่าเซวียนแกล้งทำเป็นเคร่งขรึม เธอมองไปทางอื่น “ถ้าพี่ฉู่เทียนรุ่ยไม่อยากให้กินด้วย ฉันไปได้ค่ะ”
ฉู่เทียนรุ่ยหัวเราะ “พี่ไล่เราไปจากชีวิตมาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่สามารถไล่เราไปไม่ได้ แล้วอาหารมื้อนี้เราจะไปหรือไง”
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คำพูดเย็นชาไม่กี่คำของฉู่เทียนรุ่ยก็สามารถทำให้ไซ่หย่าเซวียนน้ำตาคลอเบ้า หรือไม่ก็เอาแต่ตามตอแยเขาไม่หยุด แต่วันนี้เธอดูจริงจังกว่าทุกครั้ง ไซ่หย่าเซวียนคลี่ยิ้มบางๆ “พี่ฉู่เทียนรุ่ย ฉันคิดว่าถึงเวลาที่ฉันควรจะบอกพี่แล้ว ฉันไม่ได้ชอบพี่แล้วค่ะ หลังจากนี้พี่ไม่ต้องกังวลว่าฉันจะตามตอแยพี่อีก แค่ข้าวมื้อเดียว ฉันกินเองได้” ลุกขึ้นแล้วหยิบกระเป๋า “หนิงซยา ไว้เจอกันนะ”
มองดูแผ่นหลังของไซ่หย่าเซวียนที่ไกลออกไป ฉู่เทียนรุ่ยถึงกับมองตาค้าง เธอกลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรหร่ เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ บอกว่าไม่ชอบเขาแล้ว เธอตามตอแยตามจีบเขามาสิบกว่าปี คิดจะเลิกชอบก็เลิกชอบง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ
เหลิ่งรั่วปิงหยิบชานมขึ้นมาดื่ม “พี่ไม่ตามเธอไปเหรอคะ”
ฉู่เทียนรุ่ยเม้มปาก ไม่รู้จะนั่งหรือจะยืนดี ไม่ว่าเมื่อก่อนเขาจะไม่ชอบที่ไซ่หย่าเซวียนตามตอแยแค่ไหน แต่ข้าวมื้อเดียวเขาสามารถเลี้ยงเธอได้อยู่แล้ว เธอถูกเขาไล่ออกไปแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกผิด แต่ด้วยนิสัยที่หยิ่งทระนงของเขา มันทำให้เขาไม่สามารถวิ่งตามเธอออกไปไม่ได้ เขาเย็นชากับเธอมาตลอดสิบกว่าสิบปีแล้ว วันนี้จะให้เขาลดศักดิ์ศรีตนเองลง เขาทำไม่ได้จริงๆ
ขณะที่เขากำลังกระวนกระวายใจอยู่นั้น ไซ่หย่าเซวียนกลับมา เธอกลับมาพร้อมกับไซ่ตี้จวิ้น
ไซ่ตี้จวิ้นปลอบใจไซ่หย่าเซวียน แล้วนั่งลงข้างๆ เหลิ่งรั่วปิง เขาถอดเสื้อกันหนาวแล้วพาดไว้บนเก้าอี้ คลี่ยิ้มบางๆ “ฉู่เทียนรุ่ย ถึงยังไงน้องสาวของฉันก็ตามจีบแกมาสิบกว่าปีแล้ว วันนี้น้องฉันไม่ชอบแก แกก็ไม่จำเป็นต้องโมโหจนถึงขั้นไม่เลี้ยงข้าวหรือรึเปล่า”
หน้าของฉู่เทียนรุ่ยเหยเก รู้สึกละอายใจมาก เขาคิดไม่ถึงว่าคำพูดล้อเล่นแค่คำเดียว จะทำให้ตัวเองกลายเป็นตัวตลกแบบนี้ เขาโมโห? พระเจ้าเป็นพยานได้ เขาไม่ได้โมโห ! แต่ต่อให้เขามีร้อยปากก็ไม่สามารถอธิบายไม่ได้ ทำได้เพียงนั่งเงียบเป็นใบ้
“ฮ่าๆๆ…” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะเสียงเบา เสียงหัวเราะของเธอกำลังจะทำให้ฉู่เทียนรุ่ยโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว “ฉู่หนิงซยา ไม่ต้องหัวเราะเลยนะ!”
ไซ่ตี้จวิ้นทำหน้านิ่ง “ฉู่เทียนรุ่ย แกไล่ตะเพิดน้องสาวฉันออกไป แล้วยังมาด่าว่าที่เจ้าสาวของฉันอีก คิดว่าตระกูลไซ่ของฉันรังแกได้ง่ายๆ เหรอ”
ว่าที่เจ้าสาว??!
ฉู่เทียนรุ่ยมองไซ่ตี้จวิ้นด้วยความตกใจ จากนั้นหันไปมองนิ้วกลางข้างซ้ายของเหลิ่งรั่วปิง “พวกแกหมั้นกันแล้ว?”
ไซ่ตี้จวิ้น “ขาดก็แต่พิธีหมั้นเท่านั้น”
“จริงเหรอ” สีหน้าของฉู่เทียนรุ่ยฉายชัดว่าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่เชื่อว่าเหลิ่งรั่วปิงจะยอมหมั้นกับไซ่ตี้จวิ้น
ไซ่ตี้จวิ้นไม่ได้พูดอะไรอีก เขาใช้การกระทำเป็นเครื่องยืนยันให้ฉู่เทียนรุ่ยเห็น
เหลิ่งรั่วปิงที่กำลังก้มหน้าดื่มชานม ถูกหอมจุ๊บเข้าที่แก้มอย่างกะทันหัน หน้าของเธอร้อนผ่าวขึ้นมาทันที หันไปมองไซ่ตี้จวิ้นด้วยความตกใจ ทว่าวินาทีที่เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความรักของเขา เธอจึงไม่ได้พูดอะไร
ฉู่เทียนรุ่ยชะงักไปสามวินาที จากนั้นเหยียดตัวตรง “ไซ่ตี้จวิ้น แกจะแต่งงานกับคนตระกูลฉู่ของฉัน แกเคยบอกฉันหรือรึยัง น้ำเสียงที่แกใช้กับพี่ชายภรรยาเมื่อกี้มันเหมาะสมแล้วเหรอ”
พี่ชายภรรยา? คำสรรพนามนี้ไม่เลว!
สีหน้าของไซ่ตี้จวิ้นเปี่ยมไปด้วยความสุข เขายิ้มเหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิ “ครับ พี่ชายภรรยา เมื่อกี้ผมเสียมารยาทเอง มื้อนี้ผมขอเป็นเจ้ามือนะครับ!” จากนั้นก้มหน้าลง ถามเหลิ่งรั่วปิงด้วยความรักใคร่ “คุณอยากกินทานอะไรครับ”
คนที่อยู่ชั้นล่างพูดคุยกันอย่างมีความสุข ทว่าคนที่อยู่ชั้นบนแทบจะลุกขึ้นฆ่าคนอยู่แล้ว
มือทั้งสองข้างของหนานกงเยี่ยกำหมัดแน่น แววตาของเขามีแต่เต็มไปด้วยความอาฆาตและแรงสังหาร อยากจะฉีกไซ่ตี้จวิ้นเป็นชิ้นๆ เขากล้าหอมแก้มผู้หญิงของตน!
หนานกงเยี่ยมองเห็นแหวนบนนิ้วกลางข้างซ้ายของเหลิ่งรั่วปิง เขธอาตกลงหมั้นหมายกับไซ่ตี้จวิ้นแล้วเหรอ??!
ทันทีทันใด บริเวณโดยรอบให้ความรู้สึกราวกับมีเต็มไปด้วยเมฆครึ้ม ฟ้าผ่าลงมา ความกดอากาศต่ำจนอากาศแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
ก่วนอวี้ยืนอยู่ข้างๆ หนานกงเยี่ย เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือก คล้ายกับว่ามีใบมีดนับพันกำลังทิ่มแทงเขา เขารู้ หนานกงเยี่ยกำลังจะฆ่าคนแล้ว! ก่วนอวี้อยากจะเข้าไปห้าม แต่บรรยากาศในตอนนี้ทำให้เขาไม่กล้าปริปากพูด
เป็นจริงตามนั้น ผ่านไปสามวินาที ริมฝีปากบางของหนานกงเยี่ย กัดฟันกรอดพูดทีละคำ “ฆ่าไซ่ตี้จวิ้น!”
ทุกคำที่เขาพูด เสียงนั้นเบามาก แต่ทุกตัวอักษรเหมือนมีดที่แหลมคม ถ้าคำพูดเป็นอาวุธ เวลานี้ภัตตาคารแห่งนี้คงถูกคำพูดทั้งสี่คำ ทำลายล้าง กระจุยกระจายไปหมดแล้ว
ไซ่ตี้จวิ้นกระตุ้นต่อมความต้องการเป็นเจ้าของอันแรงกล้าของที่ซ่อนอยู่ส่วนลึกในจิตวิญญาณของหนานกเยี่ย ความปรารถนานี้ทำให้เขาบ้าคลั่ง ทำให้เลือดพลุ่งพล่านไปทั้งตัว ถ้าไม่ได้ฆ่าใครสักคน เขาคงไม่อาจสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้
ก่วนอวี้กลัวจนตัวสั่นไปหมด ถึงแม้เขาจะกลัว แต่ความคิดของเขายังมีสติดี เขาพยายามพูดเกลี้ยกล่อมหนานกงเยี่ยที่ขาดสติไปแล้ว “คุณชายเยี่ยครับ ใจเย็นก่อนนะครับ ต่อให้จะฆ่าคนก็ฆ่าต่อหน้าคุณเหลิ่งไม่ได้นะครับ”
หนานกงเยี่ยไม่ได้พูดอะไรอีก เขากำหมัดแน่น แววตาเหมือนมีดที่แหลมคม จ้องเขม็งไปที่ไซ่ตี้จวิ้น
ก่วนอวี้รู้ สิ่งที่เขาพูดคุณชายเยี่ยรับฟัง เขาจึงโล่งใจไปเปลราะหนึ่ง
สิบวินาทีหลังจากนั้น จู่ๆ หนานกงเยี่ยลุกพรวดขึ้นมา เขาเดินออกไปจากห้องอาหาร ก่วนอวี้ไม่กล้าพูดมาก ทำได้เพียงรีบเดินตามไป
เหลิ่งรั่วปิงไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือรึเปล่า เธอสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามที่ทำให้คนหนาวไปถึงกระดูกอีกครั้ง หัวใจของเธอบีบรัดขึ้นมา
ไซ่ตี้จวิ้นกำลังตักอาหารให้เหลิ่งรั่วปิง เขาเหลือบมองไปที่เธอ หน้าของเหลิ่งรั่วปิงซีดเผือก จึงถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไปครับ ไม่สบายเหรอ”
เหลิ่งรั่วปิงกำลังจะพูดว่าไม่เป็นไร แต่ความรู้สึกน่าเกรงขามนั้นกลับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รอบตัวเธออากาศยิ่งอยู่ก็ยิ่งเย็นเฉียบ เหลือบขึ้นไปมองชั้นบน วินาทีนั้นเธอรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
ร่างสูงโปร่งและใบหน้าที่หล่อเหลา หนานกงเยี่ยปรากฏฎตัวขึ้นที่ประตูทางเข้าภัตตาคาร เขากำลังเดินเข้ามาในภัตตาคารทีละก้าวๆ แต่ละย่างก้าวของเขาเหมือนเทพบุตรกำลังเดินเข้ามา ความน่าเกรงขามที่แผ่ออกมาจากตัวเขาก่อตัวเป็นพายุที่มองไม่เห็น ถ้าพายุที่มองไม่เห็นนี้เป็นพายุของจริง เวลานี้ ทั้งคนและโต๊ะเก้าอี้ในภัตตาคารคงถูกดูดเข้าไปแล้ว
เหลิ่งรั่วปิงในตอนนี้ไม่สามารถไม่สามารถใช้คำว่าตกใจมาบรรยายไม่ได้ หัวใจของเธอเต้นแรงไม่หยุด รู้สึกเหมือนกับว่าแค่เธออ้าปาก วิญญาณก็จะหลุดไปจากร่างแล้ว เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะได้เจอเขาอีก หรือหากได้เจอหนานกงเยี่ยอีกครั้งเธอคิดว่าตนเองจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จักได้ แต่พอได้เจอเขาเข้าจริงๆ เธอเพิ่งรู้ว่าตนเองทำไม่ได้ เธอไม่สามารถควบคุมตัวนเองไม่ได้ นอกจากหัวใจที่เต้นแรงไม่หยุดแล้ว ตัวของเธอยังสั่นเทา
ไซ่ตี้จวิ้นขมวดคิ้วเป็นปม เขามองไปตามเหลิ่งรั่วปิง อดไม่ได้ที่จะชะงัก หนานกงเยี่ย คืออุปสรรคที่เขาไม่อาจสามารถก้าวข้ามผ่าน คือภูเขาที่เขาไม่สามารถพลิกมันไม่ได้ มือที่วางอยู่บนโต๊ะ ค่อยๆ กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
ฉู่เทียนรุ่ยและไซ่หย่าเซวียนรับรู้ถึงความผิดปกติ พวกเขาทั้งสองหันมองตาม
ฉู่เทียนรุ่ยเหลือบมองเหลิ่งรั่วปิง คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย ทางด้านไซ่หย่าเซวียนร้องออกมาด้วยความตกใจ “พระเจ้า คุณชายหนานกงไม่ใช่เหรอ พระเจ้าช่วย เขามาประเทศเอ้าตูเหรือเนี่ย หล่อมากเลย ทั้งหล่อและเท่ห์กว่านายแบบหนังสือพิมพ์อีก !”
หนานกงเยี่ยเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็ดึงดูดทุกสายตาได้สำเร็จ พนักงานรีบวิ่งไปต้อนรับด้วยความหวาดกลัว จัดหาโต๊ะนั่งให้เขานั่ง ถามเขาว่าจะรับอะไรดี แต่หนานกงเยี่ยเอาแต่นิ่งเงียบ มีแค่ก่วนอวี้เท่านั้นที่คอยพูด
หนานกงเยี่ยมองตรงไปด้านหน้า เขามองแค่อากาศ ไม่มองใครเลย ราวกับไม่รู้ว่าเหลิ่งรั่วปิงนั่งอยู่ที่นั่น จนกระทั่งเขานั่งลง จึงชำเลืองมองมาที่เธอ
แค่แว๊บเดียวเท่านั้น ทำให้เหลิ่งรั่วปิงหนาวสั่นไปทั้งตัว เธอรีบก้มหน้าลง
ผู้ชายคนนี้ยังเหมือนเดิม ขอแค่เป็นสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเขาก็สามารถดึงดูดสายตาทุกคนได้ เพียงแต่ เขาดูโดดเดี่ยวและซูบผอมไปมาก เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นออกมา เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะตนเอง เขาจะโดดเดี่ยวได้อย่างไรยังไง เขามีอวี้หลานซีคอยอยู่ด้วย เขาคงมีความสุขมาก!
ในที่สุดไซ่ตี้จวิ้นก็ใจเย็นลง ถึงอย่างไรเขาก็เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทำใจเย็นลง ไซ่ตี้จวิ้นตบมือของเหลิ่งรั่วปิงเบาๆ เขายิ้มอย่างอ่อนโยน ก้มหน้าลงพูดกระซิบข้างหูเธอ “ไม่ต้องกังวลนะครับ ตอนนี้คุณคือฉู่หนิงซยา เขาจำคุณไม่ได้ คุณต้องเชื่อฝีมือของเทียนรุ่ย”
เหลิ่งรั่วปิงเหมือนตื่นจากฝัน จริงด้วย ตอนนี้เธอคือฉู่หนิงซยา เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนานกงเยี่ย ฉู่หนิงซยาไม่เคยรู้จักเขามาก่อน ไม่เคยเจอเขามาก่อน