ตอนที่ 252 การอยู่ด้วยกันต่างหากคือความสุข
“เดี๋ยวก่อน…” อวี้ไป่หันหัวเราะ “ตอนนี้แกไม่มีอำนาจถึงขั้นนี้เลยเหรอ”
“ถูกต้อง!” บทสนทนานี้ดูเหมือนจะเจ็บปวด แต่คำพูดของหนานกงเยี่ยพราวด้วยแสงระยิบระยับของความสุข “ตอนนี้ฉันใช้ชีวิตโดยให้ภรรยาจ่ายเงินเดือน”
“ฮ่าๆๆ…” อวี้ไป่หันหัวเราะกับความทุกข์ของเพื่อน “เมื่อกี้เพิ่งได้ยินก่วนอวี้บอกว่า แกยกธุรกิจทั้งหมดของตระกูลหนานกงให้กับเหลิ่งรั่วปิงแล้ว หรือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง”
“อื้ม” หนานกงเยี่ยตอบแล้วพลิกอ่านเอกสารอย่างไม่ใส่ใจ โดนอวี้ไป่หันหัวเราะเยาะ สีหน้าของเขาไม่มีความกระอักกระอ่วนแม้แต่น้อย
อวี้ไป่หันทอดถอนหายใจ “โธ่เอ๊ย หนานกง แกมันความอับอายของตระกูลจริงๆ”
หนานกงเยี่ยพูดเหน็บแนม “แกก็อยากเป็นความอับอายของตระกูล แต่แกมีโอกาสนั้นไหม”
อวี้ไป่หันกัดฟันแน่นด้วยความจนปัญญา “ฉันรู้สึกว่า ตั้งแต่แกตกหลุมรักเหลิ่งรั่วปิง ความหยิ่งทระนงและเย็นชาของแกก็หายไปหมด กลายเป็นคนปากคอเราะรายเหมือนรั่วปิงไปแล้ว”
“ฮ่าๆๆ…แบบนี้เรียกว่าสามีเหมือนภรรยาไง”
“พอแล้วๆ แผลเป็นหายก็ลืมความเจ็บปวด ไม่ใช่หนานกงเยี่ยคนเดิมที่ไล่ล่าภรรยาด้วยความบ้าคลั่งอีกแล้ว”
หนานกงเยี่ยเองก็ถูกพูดแทงใจดำ สีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที “ถ้าไม่มีธุระอะไรก็แค่นี้นะ!”
ในที่สุดอวี้ไป่หันก็รู้สึกสบายใจ เขายิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนสุนัขจิ้งจอก “คืนนี้พารั่วปิงมาด้วย เดี๋ยวฉันโทรนัดถังเฮ่ากับเฉิงซี”
“อืม” หนานกงเยี่ยตอบกลับส่งๆ แล้ววางสายไป จากนั้นเขาก็รีบทำงาน เพราะเดี๋ยวต้องไปตุ๋นน้ำซุปอีก
หลังจากวางสายอวี้ไป่หันได้ไม่นาน หนานกงเยี่ยก็ได้รับสายที่คาดเอาไว้ ซึ่งเบอร์นี้โทรมาจากเกาะส่วนตัวแห่งหนึ่งในมหาสมุทรทางตอนใต้
มองดูชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ หนานกงเยี่ยกระตุกริมฝีปากด้วยความเย็นชา แววตาของเขาเคลือบด้วยความเยือกเย็น ก้มลงมองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็กดปุ่มรับสาย
“เยี่ย แกมันเป็นลูกที่ดีของฉันจริงๆ!” เสียงของหนานกงจวิ้นดังขึ้นปลายสาย เสียงนั้นราวกับสิงโตคำรามด้วยความโมโห
หนานกงเยี่ยนั่งพิงโซฟาอย่างไม่ใส่ใจ “คุณพ่อชมกันเกินไปแล้วครับ” ตั้งแต่รู้ว่าหนานกงจวิ้นจะกลับเมืองหลง หนานกงเยี่ยส่งคนไปบนเกาะ เพื่อป้องกันไม่ให้หนานกงจวิ้นออกจากเกาะ เขาไม่ต้องการให้เหลิ่งรั่วปิงถูกข่มขู่อีก
“แก!” ถึงแม้จะมีมหาสมุทรกั้นกลาง เสียงกัดฟันกรอดของหนานกงจวิ้นก็ชัดเจน “แกส่งคนมากักบริเวณฉันเนี่ยนะ?!”
หนานกงจวิ้นตะคอกด้วยความเจ็บใจ “เพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง แกถึงขั้นกักบริเวณพ่อตัวเอง!”
“นั่นเพราะพ่อเป็นแบบอย่างที่ดีของผม ตอนนั้นเพื่อผู้หญิงคนเดียว พ่อไม่แคร์ว่าจะทำเรื่องเลวร้ายแค่ไหน แล้วทำไมผมจะสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ผู้หญิงของตนเองไม่ได้”
หนานกงจวิ้นถอนหายใจด้วยความเหลืออด “ได้ ต่อให้แกไม่อยากแต่งงานกับหลานซี แกก็เลือกผู้หญิงคนอื่นได้ แต่ทำไมต้องเป็นผู้หญิงคนนั้นด้วย”
หนานกงเยี่ยหัวเราะในลำคอ “คำถามนี้ผมควรจะเป็นคนถามพ่อมากกว่านะครับ ตระกูลหนานกงมีศัตรูมากมายแต่พ่อกลับไม่จัดการด้วยวิธีโหดเหี้ยม แล้วทำไมถึงต้องทำร้ายเธอด้วย! พ่อรู้ไหม ถ้าพ่อไม่ใช่พ่อของผม ตอนนี้ผมจะฆ่าพ่อด้วยมือตัวเองเพื่อช่วยเธอล้างแค้นแล้ว” เม้มปากแน่นหยุดชะงักไปสองวินาที “เวลาที่เหลือ พ่ออยู่บนเกาะแล้วดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีเถอะ อย่าสร้างเรื่องอะไรอีก ไม่อย่างนั้นถ้าเธอฆ่าพ่อขึ้นมา ผมจะไม่ว่าอะไรเธอเลย”
“ฮ่าๆๆ…” หนานกงจวิ้นหัวเราะเยือกเย็น “แกต้องเสียใจแน่ ลูกชายที่แสนดีของฉัน!”
หนานกงเยี่ยวางสายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นเดินออกไปจากห้องหนังสือ ห้องหนังสือของเขาอยู่ตรงข้ามกับห้องนอน เงยหน้าขึ้นก็เห็นประตูห้องนอนแล้ว ดังนั้นเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ถึงห้องนอน เขาเปิดประตูเบาๆ พบว่าเหลิ่งรั่วปิงยังนอนอยู่ อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา เมื่อก่อนเธอแข็งแกร่งและไหวตัวเร็ว ทั้งยังเป็นคนโฉบเฉี่ยวและเด็ดขาด แต่พอเหลิ่งรั่วปิงท้อง เธอก็ขี้เกียจเหมือนแมว เอาแต่นอนทั้งวัน
ปิดประตูเบาๆ หนานกงเยี่ยเดินลงไปชั้นล่างเข้าไปในห้องครัว เขาเริ่มตุ๋นน้ำซุปตามสูตรอาหารในหนังสือ เมื่อตอนเช้าที่เขาไปที่บริษัท เขาไม่ได้ทำงานอย่างเดียว แต่หาวิธีการทำน้ำซุปสำหรับคนท้อง การที่ได้ทำอาหารให้ภรรยาและลูกด้วยตนเอง เขารู้สึกว่าหัวใจถูกเติมเต็มด้วยความสุข
เวลานี้ เขาเหมือนพ่อบ้านทุกคน ใส่ผ้ากันเปื้อน ปลดเปลื้องความเป็นราชาของตนเองทิ้ง ใช้มือที่เอาไว้เซ็นเอกสารสำคัญ ฆ่าปลาด้วยความตั้งใจ ถอดเกล็ด คว้านเอาเครื่องในออกมา ไม่มีสีหน้ารังเกียจแม้แต่น้อย ในทางกลับกันมุมปากของเขามีรอยยิ้มแต้มอยู่ตลอดเวลา สมองของเขาเอาแต่คิดภาพตอนที่เหลิ่งรั่วปิงกินน้ำซุปหม้อนี้
เหลิ่งรั่วปิงนอนหลับไปนานมาก ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เวลาก็ล่วงเลยไปถึงสี่โมงเย็นแล้ว
พบว่าหนานกงเยี่ยไม่ได้อยู่ในห้องหนังสือ เธอจึงเดินลงไปชั้นล่างเพียงลำพัง เพิ่งเดินไปถึงโถงใหญ่ของชั้นหนึ่ง ได้กลิ่นอาหารหอมฟุ้ง จึงก้าวเท้าเร็วขึ้นอย่างห้ามใจไม่ได้ รีบวิ่งไปยังห้องครัว
เธอเห็นผู้ชายใบหน้าพระเจ้าประธานรูปร่างสูงโปร่ง ถือช้อนเอาไว้ในมือ ตักน้ำซุปในหม้อ แล้วชิมทีละนิดๆ หลังจากชิมน้ำซุปเสร็จเขาก็พยักหน้าด้วยความพอใจ ภาพนี้ชวนหลงใหลมาก
เหลิ่งรั่วปิงกอดวงกบประตูมองตาละห้อย พูดพึมพำในใจ บนโลกใบนี้ยังมีผู้ชายที่ดีแบบนี้จริงๆ หรือ เขายกทรัพย์สินทั้งหมดของตนให้กับเธอ ทั้งยังทำงานให้เธอ และยังเข้าครัวทำอาหารให้เธอด้วยตนเอง
“ที่รักคะ” เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่สายลับที่แสนเย็นชาของวิหารอีกแล้ว ตอนนี้เธอกลายเป็นเด็กสาว “ที่รัก” สองพยางค์นี้ถูกเธอเรียกด้วยเสียงที่หวานละมุน ออดอ้อน
หนานกงเยี่ยชะงัก รีบหันกลับไป พร้อมกับยิ้มอย่างมีเสน่ห์ “มานี่เร็ว”
เหลิ่งรั่วปิงวิ่งไปหาเขาอย่างว่าง่าย จากนั้นกอดแขนของหนานกงเยี่ย เอาหน้าเล็กๆ ของเธอแนบชิดหัวไหล่ของเขา “ที่รักคะ คุณกำลังทำอะไร”
“ซุปปลาตุ๋นลำใยเก๋ากี้” หนานกงเยี่ยใช้ช้อนตักน้ำซุป เป่าไอร้อนอย่างระมัดระวัง แล้วป้อนให้เหลิ่งรั่วปิง “ลองชิมดูสิครับ”
เหลิ่งรั่วปิงชิม “อื้ม เอาอีกค่ะ” ช่วงนี้เธอแพ้ท้องหนักมาก ไม่อยากอาหารเลย แต่ซุปที่หนานกงเยี่ยทำไม่เลี่ยน ทั้งยังหอมอร่อย
หนานกงเยี่ยยิ้มอย่างมีความสุข “ไปนั่งที่โต๊ะ เดี๋ยวผมตักแล้วยกไปให้”
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงไปนั่งที่โต๊ะอย่างว่าง่าย มองหนานกงเยี่ยตักน้ำซุปให้เธอ ตอนที่หนานกงเยี่ยวางถ้วยลงตรงหน้าเธอ เธอหยิบช้อนขึ้นมาเป่าไอร้อนแล้วค่อยๆ กิน “ที่รัก ฝีมือคุณอร่อยมาก”
หนานกงเยี่ยมองดูเหลิ่งรั่วปิงกินอย่างมีความสุข “ถ้าอร่อยก็กินเยอะๆ หลังจากนี้ผมจะทำให้คุณกินทุกวัน”
เหลิ่งรั่วปิงกินไปด้วยและยิ้มไปด้วย “คุณไม่หาเงินมาเลี้ยงครอบครัวเหรอคะ”
หนานกงเยี่ยยิ้มด้วยความรักใคร่ “คุณภรรยาสุดที่รักวางใจได้ครับ สามีของคุณจะหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวและดูแลภรรยาอย่างดีไม่ให้ขาดตกบกพร่องทั้งสองหน้าที่”
“ฮ่าๆๆ…” เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะ ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว สิ่งที่เรียกว่าการอยู่ด้วยกันคือความสุขมันเป็นอย่างไร
*****
วิลล่าตระกูลมู่ กำลังฉายเรื่องราวการบังคับแต่งงาน
มู่กั๋วจงปู่ของมู่เฉิงซี ดำรงตำแหน่งพลเอกผู้บุกเบิกประเทศ ปีนี้อายุหนึ่งร้อยสองปีแล้ว ทุกวันนี้เกษียณอายุดื่มด่ำกับบั้นปลายชีวิต
ต้นศตวรรษที่ผ่านมา ประเทศต้าย่าเกิดสงครามการเมืองในประเทศที่ทำให้ทั่วโลกตกตะลึง มีการวางระเบิดไปทั่วทั้งประเทศ มู่กั๋วจงเป็นทหารตั้งแต่อายุสิบสองปี ออกรบกับกองทัพตั้งแต่เหนือลงใต้ ทำสงครามนานกว่าสิบปี สิบปีที่ผ่านมานี้สร้างผลงานเอาไว้มากมาย จึงทำให้ได้เลื่อนตำแหน่ง ในตอนหลัง สงครามจบลง ประเทศได้รับการฟื้นฟู มู่กั๋วจงอุทิศตนเพื่อด้านการทหารและประเทศชาติ เวลาล่วงเลยไปนานก็ยังไม่แต่งงาน พูดได้ว่าเขาอุทิศวัยหนุ่มที่ล้ำค่าของตนให้กับความสงบของประเทศชาติ
มู่กั๋วจงแต่งงานและมีลูกตอนอายุสี่สิบ และได้มีมู่เฉิงอู่ซึ่งเป็นพ่อของมู่เฉิงซี จากชื่อของมู่เฉิงอู่ทำให้รู้ถึงปณิธานอันแรงกล้าของมู่กั๋วจง เขาอยากให้ลูกหลานของตนเป็นทหารที่มากความสามารถ ดังนั้นภายใต้การเลี้ยงดูของมู่กั๋วจง มู่เฉิงอู่จึงกลายเป็นทหารที่มีฝีมือ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสำคัญของทหาร
วัยเด็กของมู่เฉิงซีเติบโตขึ้นมาในค่ายทหาร แต่เขาไม่ได้อยากเป็นทหาร ทว่าก็ไม่อาจหลุดพ้นจากอิทธิพลของพ่อและปู่ได้ ทำให้สุดท้ายเขาก็รับราชการเป็นตำรวจ
ตระกูลแห่งทหาร เลือดเหล็กสามรุ่น เวลาจัดการปัญหาจึงรุนแรง มุ่งเน้นคำสั่งที่เด็ดขาดและการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ดังนั้นการแต่งงานของมู่เฉิงซี พวกเขาจึงแข็งกระด้างจนเกินไป ทั้งมู่กั๋วกงและมู่เฉิงอู่ต่างอยากให้เขาแต่งงานกับลูกสาวของตระกูลทหาร ซย่าอี่มั่ว
ตระกูลซย่าเป็นตระกูลทหารที่มีอำนาจในเมืองหลง นายท่านใหญ่ตระกูลซย่าและมู่กั๋วจงเป็นเพื่อนที่ร่วมทำสงครามด้วยกัน การให้ลูกหลานแต่งงานกันเป็นสิ่งที่นายท่านใหญ่ของทั้งสองตระกูลต้องการ ถึงแม้นายท่านใหญ่ตระกูลซย่าจะตายไปนานแล้ว แต่มู่กั๋วจงยังคงยืนหยัด นอกจากนี้ แม่ของมู่เฉิงซีและแม่ของซย่าอี่มั่วเป็นเพื่อนสนิทกัน ตอนนั้นพวกเธอทั้งสองตั้งท้องพร้อมกัน เคยหมั้นกันตั้งแต่อยู่ในท้อง ถ้าคนหนึ่งเป็นเด็กผู้ชายอีกคนเป็นเด็กผู้หญิง ก็จะแต่งงานกัน
ดังนั้น การแต่งงานระหว่างมู่เฉิงซีและซย่าอี่มั่ว เป็นสิ่งที่ตระกูลมู่และตระกูลซย่าปรารถนา
ทว่ามู่เฉิงซีไม่ได้รู้สึกอะไรกับซย่าอี่มั่ว อีกทั้งการคลุมถุงชนของผู้ใหญ่ เขามองเป็นเรื่องตลก ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ในตอนหลัง เขาเปิดเผยความสัมพันธ์ของตนกับเวินอี๋ ทำให้นายท่านใหญ่มู่กั๋วจงและสองสามีภรรยามู่เฉิงอู่โมโหเป็นอย่างมาก พวกเขาบีบบังคังให้มู่เฉิงซีเลิกกับเวินอี๋ มู่กั๋วจงและมู่เฉิงอู่เป็นพวกรุนแรง ใช้ไม้แข็ง ถึงขั้นทำร้ายจนมู่เฉิงซีบาดเจ็บ ทางด้านแม่ของมู่เฉิงซีก็เอาความตายมาบีบบังคับ ลั่นวาจาว่าถ้าเขากล้าแต่งงานกับเวินอี๋ตนก็จะกระโดดตึกตาย
การที่อดทนถึงทุกวันนี้โดยไม่ยินยอม มู่เฉิงซีได้รับแรงกดดันมหาศาล
เวลานี้ นายท่านใหญ่มู่กั๋วจง นั่งอยู่บนโซฟาห้องรับแขก มือจับไม้เท้าเอาไว้ สายตาที่มองมู่เฉิงซีราวกับคบเพลิง ถึงแม้อายุจะมากกว่าร้อยปีแล้ว แต่ยังคงเปี่ยมด้วยพลัง ชุดลายพรางทหารทำให้เขาดูเคร่งขรึม ในตระกูลมู่ เขายังคงมีอำนาจและสิทธิ์ขาดเหมือนในสมัยที่รับราชการทหาร
มู่เฉิงอู่ยืนอยู่ข้างมู่กั๋วจงด้วยความเคารพ เขาเองก็สวมชุดลายพราง รอบตัวเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต
แม่ของมู่เฉิงซีถือเป็นทายาทของครอบครัวทหาร ถึงแม้จะไม่ได้เป็นทหาร แต่เธอก็เติบโตในค่ายทหาร ดังนั้นจึงมีท่าทีเคร่งขรึมของทหารอยู่บ้าง น่าเสียดายที่เธอสุขภาพไม่ดี ตอนที่ยืนอยู่ข้างมู่เฉิงอู่ ทำให้เธอดูอ่อนโยนไปมาก
แววตาเหยี่ยวของมู่กั๋วจงราวกับคบเพลิง น้ำเสียงหนักแน่น “เฉิงซี วันนี้ไม่ว่าแกจะตกลงหรือไม่ตกลง แกก็ต้องตัดขาดกับผู้หญิงคนนั้น และแต่งงานกับอี่มั่ว”
มู่เฉิงซียืนอยู่ตรงกลางห้องรับแขก ยืนตัวตรงด้วยความเคารพ เงยหน้าขึ้นสบตามู่กั๋วจง “คุณปู่ครับ ตอนนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่ยุคสมัยของปู่ การแต่งงานของผม ผมควรเป็นคนตัดสินใจเอง ผมไม่ได้รักซย่าอี่มั่ว ผมจะแต่งงานกับเวินอี๋”