สิ่งที่สืออีเหนียงกังวลนั้นไม่ได้ไร้เหตุผล
ตอนที่สวีลิ่งอี๋เสนอให้สวีซื่อจิ่นไปเป็นหัวหน้าทหารกองร้อยสื่อหยาง สวีซื่อจิ่นก็ดูท่าทางไม่ได้ใส่ใจ
ระหว่างที่เตรียมพร้อมสำหรับทำเหมืองส่วนตัว ไม่รู้ว่าเขาเจอปัญหามากมายแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็แก้ปัญหาไปทีละอย่างได้ไม่ใช่หรือ ที่ท่านพ่อของเขาให้เขาไปอยู่ที่กองทัพก็เพื่อให้เขาได้ฝึกฝนการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น เขาทำเช่นนี้ยังไม่ถือว่าเป็นการฝึกฝนการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกหรือ
เขาเขียนจดหมายกลับมาหาบิดาของตัวเอง บอกว่าเรื่องเหมืองเงินพึ่งจะคล่องตัว เพียงแต่ว่ายังไม่ได้เริ่มคำนวณแบ่งเงินอย่างละเอียด ในส่วนของเขานั้นไม่มีปัญหา แต่ส่วนแบ่งของยงอ๋องนั้นไม่สามารถละเลยได้ รอให้เขาจัดการเรื่องกองพันผิงอี๋ องครักษ์ผู่อาน กงตงหนิงและยงอ๋องให้เหมาะสมก่อนแล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย
สวีลิ่งอี๋หยิบกระดาษขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย เขายิ้มพลางตอบจดหมายกลับไป ‘…กองร้อยนี้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของกองทัพซื่อชวน ติงจื้อผู้บัญชาการซื่อชวนไม่ลงรอยกับข้า เขาอายุมากกว่าหกสิบปี เป็นคนที่สามารถออกจากตำแหน่งได้ตลอดเวลา ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ไม่เพียงแต่หยิ่งผยอง ซ้ำยังทะนงตน เจ้าไม่ไปก็ดี จะได้ไม่ต้องไปจับโดนไต๋ของเขา ข้าไม่สามารถควบคุมได้ ยงอ๋องกับองค์หญิงเจียงตูเป็นพี่น้องร่วมพระครรภ์กับฮ่องเต้ ฮ่องเต้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เป็นเพราะองค์หญิงเจียงตู ฮ่องเต้จึงไม่สนใจสถานการณ์ในราชสำนัก คิดอยากจะให้เจ้าไปเป็นที่ปรึกษาผู้บัญชาการหนานจิง เจ้าต้องตั้งใจทำงานให้ยงอ๋องกับองค์หญิงเจียงตูให้ดี เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว เส้นทางอนาคตก็จะรออยู่ข้างหน้า!’
หลังจากอ่านจดหมาย สวีซื่อจิ่นก็โกรธอยู่นานจนพูดอะไรไม่ออกครู่ใหญ่ “หากข้าแค่ทำเพื่ออนาคต เช่นนั้นข้าจะมาที่กองทัพทำไม ไม่สู้ไปทำงานในกรมราชกิจภายในให้ซุ่นอ๋องจะดีกว่า ด้วยความสามารถของข้า เกรงว่าจะสามารถเลื่อนตำแหน่งได้เร็วขึ้นหน่อย ก็แค่กองร้อยสื่อหยางไม่ใช่หรือ ก็แค่ติงจี้อที่ไม่ไว้หน้าท่านพ่อไม่ใช่หรือ ก็แค่เหลือเพียงความสัมพันธ์ซับซ้อนที่ยังไม่ได้จัดการให้เหมาะสมไม่ใช่หรือ รอดูข้าได้เลย!”
เขาเขียนจดหมายกลับไปหาสวีลิ่งอี๋ในคืนนั้น ‘ข้าจะไปสื่อหยางประเดี๋ยวนี้!”
สวีลิ่งอี๋ถือจดหมายพลางยิ้มเล็กน้อย ไม่ได้บอกรายละเอียดกับสืออีเหนียง บอกเพียงผลลัพธ์ว่า “ข้าให้เขาไปกองร้อยสื่อหยาง ไม่ได้ทำให้ผู้บัญชาการซื่อชวนรู้ตัว เพียงให้หัวหน้ากองพันผู้หนึ่งเป็นคนช่วยจัดการ หัวหน้ากองพันผู้นั้นก็ไม่ได้รู้สถานะของจิ่นเกอโดยแน่ชัด ครั้งนี้ต้องรอดูความสามารถของตัวเขาเองแล้ว!”
หากเป็นเมื่อก่อนสืออีเหนียงคงไม่วางใจ แต่เมื่อเห็นเขาสามารถเปิดเหมืองเงินได้ นางก็วางใจลงได้ครึ่งหนึ่ง มีความสามารถแล้ว ต่อให้มีเรื่องอันใดก็คาดว่าจะปกป้องตัวเองได้ ไม่เป็นปัญหา ตอนนี้ขาดเพียงแค่ประสบการณ์
นางเขียนจดหมายกำชับสวีซื่อจิ่นให้ระมัดระวังอย่าหยิ่งผยอง สงบจิตสงบใจ อย่าได้ประมาทจนทำให้เกิดภัยอันตราย
สวีซื่อจินรับปาก แต่ในใจกลับไม่คิดเช่นนั้น
ฉังอานอยู่ที่ผิงอี๋ต่อ เขาไปที่สื่อหยางคนเดียว ไม่ถ่อมตัวและไม่โอ้อวด ใจกว้างตรงไปตรงมา ไม่ช้าก็เข้ากับกองพันและทหารเฒ่าเหล่านั้น แม้ว่าจะไม่มีสมบัติตระกูล แต่ดูเป็นคนมีความสามารถ มีความเฉลียวฉลาดและมีไหวพริบ มีสตรีลอบมาสืบว่าเขาแต่งงานแล้วหรือยังจำนวนไม่น้อย คิดอยากจะรับมาเป็นบุตรเขย
สวีซื่อจิ่นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย คนเหล่านี้ไม่ได้ถูกใจเขาเพราะสถานะหรือตำแหน่งของเขา
แต่ก็เกรงว่าจะไปทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองด้วยเหตุนี้ จึงรีบบอกว่าตัวเองหมั้นหมายมาตั้งแต่เด็ก แต่เป็นเพราะว่าไม่มีเงินงานแต่งงานจึงถูกเลื่อนออกไป ถึงแม้เป็นเช่นนี้ก็ยังมีคนแอบส่งสัญญาณบอกให้เขาอยู่ที่สื่อหยางต่อ ไม่จำเป็นต้องกลับบ้านเกิด เช่นนี้เรื่องงานแต่งก็ย่อมจบลง
สวีซื่อจิ่นไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ความสนใจทั้งหมดอยู่ที่ผิงอี๋ ฉังอานก็มักจะเดินทางไปมาระหว่างผิงอี๋กับสื่อหยาง
และในขณะนี้มีบางอย่างเกิดขึ้นที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อสวีซื่อจิ่น
อาหารและค่าแรงของทหารกองร้อยสื่อหยางนั้นมาจากที่นาของกองทัพ ทหารฝึกฝนหกวัน เพาะปลูกหกวัน กองร้อยมีวัวไถนาทั้งหมดสี่ตัว เมื่อถึงคราวที่สวีซื่อจิ่นเป็นเวรเลี้ยงวัว เขานอนอาบแดดอยู่บนทางลาดชัน เมื่อเขางีบหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา วัวที่เล็มหญ้าอย่างสบายๆ ตรงเนินเขาก็หายไป…หากไม่ใช่เพราะคนพวกนั้นไม่กล้าลงมือฆ่าวัว เกรงว่าตอนที่เขาหาวัวเจอก็คงกลายเป็นซากศพไปแล้ว
หัวหน้ากองร้อยสื่อหยางโมโหอย่างมาก
แต่คนที่ขโมยวัวไปกลับเอาแต่บอกว่า “ข้าก็เพียงแค่ล้อเขาเล่นเท่านั้น!”
ล้อเล่น?
ตอนที่กองร้อยต้องการจะเฆี่ยนตนต่อหน้าทหารทั้งหมดสามสิบที เหตุใดถึงไม่ลุกขึ้นมาสารภาพความจริง ตอนที่ตนยืดอกแล้วรับปากว่าหากไม่สามารถหาวัวได้ภายในสามวันก็จะไปจากสื่อหยาง เหตุใดถึงไม่ลุกขึ้นมาเล่า
เพราะว่าทุกคนต่างก็เป็นทหารด้วยกัน เมื่อหาวัวพบแล้ว คนที่ลักขโมยวัวเลยถูกเฆี่ยนเพียงสิบทีแล้วก็จบเรื่องไป
สวีซื่อจิ่นตกอยู่ในห้วงความคิด
คู่ต่อสู้ของตนก็เป็นเพียงแค่ทหารผู้หนึ่ง ถ้าหากเป็นกองร้อยหรือกองทัพเล่า คิดถึงตอนนั้นที่อยู่ผิงอี๋ เขาก็เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาแล้ว แต่กลับสามารถแก้ไขมันได้อย่างง่ายดาย แต่เหตุใดพอมาถึงสื่อหยางเรือถึงได้พลิกคว่ำในคูน้ำเล็กๆ ได้ จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะเขาไม่ได้เก็บเรื่องของสื่อหยางมาใส่ใจ
สวีซื่อจิ่นเดินอยู่บนทางลาดชัน มองดูพระอาทิตย์ตกดินหายเข้าไปในเส้นขอบฟ้า จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วเดินไปที่กระท่อมดินเผาหลังเล็กของเขา เขาเขียนจดหมายถึงบิดาอย่างใจเย็นเกี่ยวกับเรื่องการต่อสู้ของจวนซงปานที่เกิดขึ้นเมื่อสามสิบปีที่แล้ว
นี่คือจดหมายที่เกิดขึ้นอย่างล่าช้า
เพราะตั้งแต่ที่เหมืองเงินเริ่มผลิตเงิน สวีซื่อจิ่นก็ไม่ได้เอ่ยถึงการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อย่างจริงจังกับสวีลิ่งอี๋อีกแล้ว
เกิดเรื่องอันใดขึ้นถึงได้ทำให้บุตรชายเปลี่ยนไป
หลังจากที่สวีลิ่งอี๋รู้สึกปิติยินดี เขาก็ต้องการเรียกคนที่ส่งไปไว้ข้างกายสวีซื่อจิ่นกลับมาซักถามให้ชัดเจน แต่หลังจากที่ครุ่นคิดเป็นเวลานานเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป
หลังจากที่คอยประคับประคองเขามาเป็นเวลานาน ตอนนี้คงได้เวลาวางมือแล้วกระมัง องครักษ์เหล่านั้นจะออกหน้าก็ต่อเมื่อเขาตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตเท่านั้น บางสิ่งก็ให้สวีซื่อจิ่นไปเผชิญหน้าด้วยตัวเองเสียดีกว่า!
จดหมายของบุตรชายค่อยๆ เปลี่ยนไปจากคำพูดธรรมดาทั่วไปกลายเป็นมีเนื้อหาที่เป็นรายละเอียดมากขึ้น สืออีเหนียงก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสวีซื่อจิ่นเช่นกัน
นางถามสวีลิ่งอี๋อย่างอารมณ์ดีว่า “ใครเป็นคนดูแลเหมืองเงินในผิงอี๋เจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋มีสีหน้าตกตะลึง
สืออีเหนียงแสร้งทำเป็นไม่เห็น นางหันหน้าเข้าหากระจกแล้วดึงปิ่นปักผมออกอย่างใจเย็น “ฉังอานอายุไม่น้อยแล้ว หลายปีมานี้ติดตามจิ่นเกอไปทั่ว ทำให้การแต่งงานล่าช้า ข้าถามปินจวี๋ว่ามีใครที่ถูกใจหรือไม่ ทุกครั้งนางจะบอกให้ข้าตัดสินใจให้ฉังอาน ข้าว่าหากพูดถึงเรื่องรูปร่างหน้าตาและมารยาท อิงเถาที่อยู่เรือนจิ่นเกอก็นับว่าเป็นหนึ่งในนั้น ซ้ำนางยังเป็นคนสงบนิ่ง ใจเย็น ตอนที่ดูแลเรือนให้จิ่นเกอยังช่วยตัดแต่งดอกไม้ที่หน้าต่าง ทำงานเย็บปักถักร้อย ไม่เคยเดินวุ่นวายไปไหน ต่อไปเมื่อฉังอานติดตามจิ่นเกอออกไปนอกจวน ก็จะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องในเรือน ท่านคิดเห็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ภรรยาคงกำลังทักท้วงว่าเขามีบางอย่างที่กำลังปิดบังนางกระมัง
“เรื่องนี้เจ้าตัดสินใจเองเถิด!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางนั่งลงบนเก้าอี้ปักลายข้างโต๊ะกระจก โอบไหล่นางแล้วพูดเสียงเบาว่า “จะถามข้าทำไม ข้าไม่ได้รู้จักว่าอิงเถาเป็นใครเสียหน่อย” พูดพลางยกมือขึ้นลูบไล้เส้นผมอย่างแผ่วเบา แล้วเอามาพันรอบปลายนิ้ว
สืออีเหนียงหันกลับมาจ้องเขาตาเขม็ง
สวีลิ่งอี๋หัวเราะออกมาเสียงดัง
สืออีเหนียงเปลี่ยนไปถามถึงสวีซื่ออวี้ “ในเดือนเก้าฮ่องเต้จะเปิดการสอบ เขามีความมั่นใจมากแค่ไหน อย่าได้สอบได้บัญฑิตระดับสามเลย เช่นนั้นจะแย่เอาได้ พี่เขยห้าเป็นนายอำเภอเหวินเติงมานานกว่าสิบปีก็ยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง พี่ใหญ่ไปหูก่วงเพียงแค่ไม่กี่ปีก็ได้เป็นข้าหลวงแล้ว”
“แม้ว่าจื่อฉุนจะไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ผู้คนจากกระทรวงขุนนางต่างก็ชื่นชมเขาเมื่อพูดถึงเรื่องนี้” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าเขาทำงานที่นั่นได้ดี อย่ากังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย” จากนั้นก็ถามถึงงานแต่งงานของซินเกอ “กำหนดเป็นวันที่เท่าไรหรือ”
ภรรยาของซินเกอเป็นบุตรสาวสหายร่วมชั้นของเฉียนหมิง แซ่หวง บิดาของนางเป็นนายอำเภอหลินถง ทั้งสองสกุลได้กำหนดวันคร่าวๆ เมื่อปีที่แล้ว แต่เนื่องจากต้องไว้ทุกข์จึงถูกเลื่อนมาจนถึงปีนี้
“กำหนดเป็นวันที่สิบสี่เดือนสิบเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
สืออีเหนียงอธิบายว่า “พี่หญิงห้าต้องการจัดงานเลี้ยงที่เหวินเติง ดังนั้นจึงได้กำหนดวันเป็นครึ่งหลังของปี”
“นางไม่ได้คิดว่าเหวินเติงไม่ดีหรือ” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “จื่อฉุนเชิญตั้งหลายครั้งนางก็ไม่ยอมไป คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะเห็นแก่หน้าจื่อฉุนเช่นนี้”
สืออีเหนียงไม่อาจพูดอะไรมากได้
อู่เหนียงรู้สึกว่าอยู่ที่เหวินเติงไม่สะดวกสบายเลยอาศัยอยู่ที่เยี่ยนจิงมาหลายปี แต่ถึงแม้ว่าเยี่ยนจิงจะดีแต่กลับมีเพียงแค่ญาติอย่างพวกเขา แม้ว่าเหวินเติงจะอยู่ไกลแต่เฉียนหมิงเป็นข้าราชการอยู่ที่นั่น ไม่ว่าญาติจะอยู่ไกลแค่ไหนแต่อย่างไรก็ต้องทำตามธรรมเนียม แต่ข้าราชการนั้นต่างกัน หากพบหน้าย่อมต้องทำตามธรรมเนียม หากไม่ได้พบหน้าก็สามารถเพิกเฉยได้…มิเช่นนั้นอู่เหนียงก็คงไม่ไปเหวินเติง
“ช่วงนี้พี่หญิงห้าก็จะพาซินเกอกับเตี้ยนเจี่ยเอ๋อร์ไปเหวินเติงแล้ว” นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้า พี่หญิงสี่ และน้องหญิงสิบสองปรึกษากันแล้วว่าอยากจะส่งของขวัญแต่งงานไปให้เร็วหน่อย เช่นนี้พวกนางจะได้มีเงินในมือเยอะๆ เมื่อไปถึงเหวินเติงก็จะได้จัดการสิ่งของได้สะดวก” หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ปรึกษากันเรื่องของขวัญแต่งงาน วันรุ่งขึ้นสืออีเหนียง ซื่อเหนียง และสือเอ้อร์เหนียงก็ได้ไปที่ตรอกซื่อเซี่ยงด้วยกัน
อู่เหนียงกำลังเก็บข้าวของ
สิ่งของที่นางใช้บ่อยๆ ยังคงวางอยู่ที่เดิม มีเพียงห้าหกหีบเท่านั้นที่เอาไว้ใส่เสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนของนาง
เมื่อเห็นว่าพวกนางมา อู่เหนียงก็ยิ้มพลางต้อนรับพวกนางไปที่ห้องชั้นใน “เดิมทีปีหน้าซินเกอจะกลับไปที่อี้ชุนเมืองซื่อชวนเพื่อเข้าร่วมการสอบระดับราชสำนัก ไปๆ มาๆ ค่อนข้างยุ่งยาก ข้าจึงให้เขาเดินทางจากเหวินเติงไปที่ซื่อชวนเลย หลังจากตรุษจีนข้าค่อยพาลูกสะใภ้คนใหม่ไปเยี่ยมญาติ”
“เช่นนั้นพวกเราขอแสดงความยินดีกับซินเกอที่สอบผ่านเป็นบัณฑิตซิ่วไฉล่วงหน้า!” สือเอ้อร์เหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม
น้องสามีของนางสอบติดราชบัณฑิตเมื่อปีที่แล้ว และสอบติดราชบัญฑิตหลวง ตอนนี้เป็นอาจารย์อยู่ที่สำนักศึกษาฮั่นหลิน เป็นเพราะหวังเจ๋อมีการศึกษาแค่ครึ่งๆ กลางๆ ทั้งสองคนจึงค่อนข้างเข้มงวดกับการศึกษาของบุตร ปกติก็ชอบพูดถึงเรื่องที่ลูกหลานใครสอบติดซิ่วไฉบ้าง ลูกหลานใครสอบติดจู่เหรินบ้าง
อู่เหนียงกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
มีคนยกชาเข้ามา
ซื่อเหนียงส่งสายตาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
สือเอ้อร์เหนียงกลับตกตะลึง มองคนที่ยกชาเข้ามา “นี่…นี่คือจั๋วเถาไม่ใช่หรือ”
“ใช่แล้ว!” อู่เหนียงตอบอย่างไม่พอใจ “ซินเกอจะแต่งงานแล้ว มีเรื่องในเรือนมากมาย ข้าจึงให้จั๋วเถากลับมาช่วยข้า” พูดพลางโบกมือให้จั๋วเถาราวกับไล่แมลงวัน “เจ้าออกไปช่วยซินเกอเก็บของเถิด ที่นี่มีอวี้หลา นอยู่ปรนนิบัติก็พอแล้ว!”
จั๋วเถาพูดพึมพำว่า “ทุกคนต่างก็ยุ่งอยู่กับการช่วยนายหญิงเก็บหีบ ข้าเห็นว่าคนไม่พอ…”
อู่เหนียงขมวดคิ้ว
จั๋วเถารีบหยุดบทสนทนา ก่อนจะย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
สือเอ้อร์เหนียงมองไปที่สืออีเหนียง เห็นว่าสืออีเหนียงกำลังก้มหน้าดื่มชา ท่าทางดูผ่อนคลาย จึงก้มหน้าแล้วจิบชาตามนาง พูดคุยกับอู่เหนียงเรื่องการศึกษาของซินเกอ หลังจากออกจากเรือนก็ตามสืออีเหนียงไปที่จวนหย่งผิงโหว
“พี่หญิงสิบเอ็ด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เจ้าคะ” สือเอ้อร์เหนียงพูดว่า “อู่เหนียงไม่ไปเหวินเติง และตอนนี้ก็เรียกจั๋วเถากลับมา เช่นนั้นใครจะคอยปรนนิบัติข้างกายพี่เขยห้า หรือว่าส่งอีกคนไปแล้ว เหตุใดพี่หญิงห้าถึงได้เลอะเลือนเช่นนี้ มีคนมากขึ้น เรื่องก็จะมากขึ้น นี่เท่ากับสร้างปัญหาให้ตัวเองไม่ใช่หรือ”
“ข้าเองก็ไม่ค่อยรู้ชัดเจน” สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนๆ “รู้เพียงว่าพี่หญิงห้าให้จั๋วเถาอยู่ที่เหวินเติง ไม่รู้ว่าเหตุใดพี่เขยห้าจึงได้ให้พี่ชายร่วมท้องของจั๋วเถานามว่าจ้าวเซิ่งที่เดิมทีเคยเป็นฝ่ายบัญชีของสกุลเรามาไว้ข้างกาย โดยให้เป็นนายบัญชีภาษีเสบียง ได้ยินคนบอกว่าจ้าวเซิ่งนั้นเก่งมาก อยู่ที่เหวินเติงสามารถช่วยแบ่งเบาภาระพี่เขยห้าได้ถึงครึ่งหนึ่ง”
สือเอ้อร์เหนียงเริ่มกังวลขึ้นมา “เช่นนั้นนายบัญชีภาษีเสบียงก็ต้องดูแลไร่นา ทะเบียนบ้าน เอกสารแต่งงาน เป็นตำแหน่งที่มีรายได้เพิ่มเติมมากมาย เหตุใดพี่หญิงห้าถึงไม่ซักถาม เรื่องนี้พี่ใหญ่รู้หรือไม่”