นางได้รับบาดเจ็บแล้ว สิบแปดปีมานี้เป็นครั้งแรกที่บาดเจ็บอย่างมีเกียรติ บาดเจ็บได้คุ้มค่า ทีเดียว จัดการองค์กรนักฆ่าที่คิดเอาชีวิตหลินซีราบคาบไม่มีเหลือ
สำหรับนางก็แค่กระบี่ยาวฟันแผ่นหลัง แค่แผลเล็กๆ ไม่ถึงชีวิต แต่กลับถูกบีบให้นอนหมอบอยู่แต่บนเตียงในห้องที่หอเฟิงเหยารักษาอาการบาดเจ็บ นอนหมอบทีเดียวสามวันเต็ม พอทำท่าจะลุกก็จะได้ยินเสียงพร่ำบ่นดังขึ้น เสียงที่ทำเอานางยอมนอนหมอบลงดังเดิมดีกว่า
“เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าเป็นสตรี จะมาฝืนเข้มแข็งทำไม หลินซีมีภัย พี่น้องมากมายหรือว่าไร้น้ำยา ต้องการใช้ร่างเจ้าบังกระบี่?”
“ตอนไหนกันที่ประมุขหอเฟิงเหยาไปเป็นหัวหน้านักฆ่า?”
“อาเซียว พวกเขาหรือใครสักคนก็เข้าไปรับกระบี่ได้ไม่ใช่หรือ เจ้าถึงกับกล้าเอาแผ่นหลังตนเองไปรับไว้! เจ้าคิดว่าแผ่นหลังเจ้าเป็นเหล็กไหลหรืออย่างไร?!”
“นี่พักได้ไม่กี่วันก็คิดจะลุกแล้วหรือ หอเฟิงเหยาไม่เปิดทำการสักสองสามวันก็คงไม่เป็นไร นับประสาอันใดกับการที่เจ้ามีลูกน้องกลุ่มใหญ่คอยช่วยงานอยู่ นอนพักดีๆ สักสองสามวันจะตายหรืออย่างไร”
“ผู้หญิง อย่าฝืนทำแข็งแกร่ง! หมอบนอนรักษาอาการไปดีๆ ไม่อย่างนั้น ข้าไม่รับรองว่าจะใช้กำลังให้เจ้าทำตามหรือไม่”
……
เสียงบ่นมากมายเช่นนี้ทำให้หลินหลงได้แต่ยอมหมอบอยู่บนเตียงรักษาบาดแผลอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรได้
คนที่บ่นก็ไม่ใช่พี่น้องคนใดคนหนึ่งแต่เป็นมารร้ายที่คอยประกบตามนางไม่ห่างตั้งแต่นางอายุได้สิบปี…เซี่ยงเซิ่ง บุตรชายคนโตตระกูลเซี่ยง
เมื่อแปดปีก่อน ตระกูลเซี่ยงก็ย้ายมาจากเมืองหลวง เซี่ยงจื้ออวิ๋นนายใหญ่ตระกูลเซี่ยงมีความสัมพันธ์อันดีกับท่านน้า มีลูกชายหนึ่งลูกสาวหนึ่ง ลูกชายเซี่ยงเซิ่งอายุมากกว่าหลินหลงสี่ปี ลูกสาวเซี่ยงหนิงอายุน้อยกว่าหลินหลงหนึ่งปี หลังจากได้รู้จักกัน นางก็เริ่มถูกเซี่ยงเซิ่งสอนสั่งราวกับนางเป็นน้องสาว พริบตาเดียวก็ผ่านมาแปดปี
ในตอนแรกนางเป็นคนนิสัยเย็นชาไม่ชอบพูดมาก จึงไม่ได้ออกปากโต้วาจามากมายไม่หยุดราวป้าแก่ๆ ของเขา ทำให้นับวันเขายิ่งเคยชินกับการกระทำเช่นนี้กับนาง ต่อมาพอนางคิดจะโต้ตอบเขา ก็รู้สึกว่าชินกับวาจาพูดมากไม่หยุดราวป้าแก่ๆ ของเขาเสียแล้ว ไม่รู้จะปฏิเสธเจตนาดีกับความมีน้ำใจของเขาเช่นไร ที่ยิ่งคาดไม่ถึงก็คือ นางมีนิสัยชอบให้คนพูดดี ไม่ชอบการบังคับ นิสัยนี้ถูกเซี่ยงเซิ่งจับทางได้แล้ว
ที่น่าแปลกใจก็คือ ด้วยสถานะและทรัพย์สินของเซี่ยงเซิ่ง มีสตรีตระกูลใหญ่เพียบพร้อมมากมายอยากเกี่ยวดองกับตระกูลเซี่ยงเขา เซี่ยงเซิ่งตอนนี้อายุยี่สิบสองปีแล้ว ข้างกายก็ยังไม่มีสตรีคนใด หากว่าจะมีคนใดก็คงมีแค่เพียงนาง ‘หลินหลง’ คนเดียว
น่าจะกล่าวได้ว่าตลอดแปดปีมานี้ เขาไม่เคยถือสาที่ข้างกายเขามีแต่นางผู้เดียว
เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หลินหลงนอนหมอบอยู่บนเตียงขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด แท้จริงแล้วเขาไม่เคยปิดบังว่าเขาคิดจะแต่งงานกับนาง ไม่ได้ต้องการแต่งงานกับสตรีที่อ่อนโยนสงบเสงี่ยมกว่านางหลายเท่าพวกนั้น…
แต่ว่า หรือว่าเขาไม่รู้สึกว่านิสัยของนางอยู่ด้วยยาก? เย็นเยียบโดดเดี่ยว ไม่ค่อยชอบพูด ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือนางอายุสิบแปดแล้ว เลยวัยสตรีแรกแย้มออกเรือนมาแล้ว
เฮ้อ…นางแอบถอนหายใจเบาๆ แต่ไรมานางไม่เคยคิดว่าสตรีนิสัยเช่นนางจะมีคนต้องการ สตรีที่ผู้ชายปกติทั่วไปชื่นชอบไม่ควรจะเป็นแม่นางที่อ่อนโยนสงบเสงี่ยมเรียบร้อยพวกนั้นหรอกหรือ หรือไม่ก็ต้องเหมือนกับพวกจิ่งอวี้กับอี๋เยว่ที่เป็นดรุณีน้อยงดงามน่ารัก ไม่ใช่สตรีเช่นนางที่วันทั้งวันเอาแต่ทำงาน ขลุกอยู่แต่ในยุทธภพ นึกภาพไม่ออกเลยว่าหากวันหนึ่งนางจะต้องเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน วันทั้งวันเอาแต่ปักผ้าวาดภาพ ยอมลงให้กับสามี และอยู่บ้านสั่งสอนลูก…นางส่ายหน้ารุนแรง นั่นไม่ใช่ชีวิตที่นางต้องการ ในเมื่อนางรับตำแหน่งประมุขหอเฟิงเหยา ก็ต้องนำพาพี่น้องสู่โลกกว้าง…
“ถอนหายใจอะไร! หอเฟิงเหยาเจ้ายังอยู่ดี ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่ได้ล้มละลาย” เซี่ยงเซิ่งแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ
เขาเข้าไปช่วยนางเก็บชายผ้าห่มให้เรียบร้อยก่อนจะกวาดตามองไปยังอาหารบนโต๊ะเตี้ยข้างเตียง อดคำรามอย่างโมโหไม่ได้ “ข้าไปแค่ครึ่งวัน เจ้าก็ไม่กินอาหารกลางวันอีกแล้ว?!”
หลินหลงเงยหน้าเหลือบมองเขา เขากำลังโมโหนาง นางไม่กินข้าวก็เพราะว่าตอนเช้ากินอิ่มมาก ตอนนี้ ไม่มีความรู้สึกหิวแม้แต่น้อย
ตั้งแต่นางเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บ อาหารสามมื้อก็ล้วนเป็นหลินเซียวลงครัวทำเองและให้สาวใช้นำมาส่ง แต่ละอย่างล้วนเป็นอาหารที่นางกินไม่เคยเบื่อ สองสามวันมานี้ร่างผอมบางของนางที่แต่ไรมาไม่มีเนื้อหนัง ตอนนี้เริ่มมีเนื้อหนังบ้างแล้ว ที่แท้การพักรักษาอาการบาดเจ็บก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการขุนสุกร
ไปลองถามใครก็ได้ ให้นอนหมอบอยู่บนเตียงทั้งวัน ไม่ได้ใช้พลังงานอะไรได้เลย จะกินอาหารมากมายลงไปได้มากเพียงนั้นหรือ หรือเขาคิดว่ากำลังขุนสุกร ไม่ใช่กำลังดูแลนางที่กำลังบาดเจ็บ
นางดึงความคิดกลับคืนมา กวาดตามองสีหน้าเซี่ยงเซิ่งที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด หลินหลงขยับตัวเล็กน้อยอธิบายอย่างอึกอักว่า “ข้ายังไม่หิว” ไม่ได้เอ่ยพูดมานาน ตอนนี้เสียงเริ่มแหบอยู่บ้าง
“ปล่อยให้หิวก็ไม่ทันแล้ว” เซี่ยงเซิ่งยู่ปากบ่น จากนั้นก็ประคองนางอย่างระมัดระวัง ให้นางลุกขึ้นนั่ง “อย่างไรก็ต้องกินอะไรรองท้องบ้าง วันนี้อากาศดี รออีกสักครู่ข้าพาเจ้าออกไปเดินเล่น แต่อย่าคิดไปทำงานที่หอนะ ข้าไม่อนุญาต” เขาหรี่ตามองนางปราดหนึ่ง อุดคำพูดนางที่กำลังจะกล่าวออกมา
“เซี่ยงเซิ่ง เจ้ามานี่…ที่บ้านไม่ว่าอะไรหรือ” หลินหลงกินตามไปสองสามคำ กิจการตระกูลเซี่ยงไม่น้อย หลายวันนี้เขาแทบมาขลุกอยู่ที่หอเฟิงเหยาทั้งวันเพื่อดูแลอาการบาดเจ็บนาง หรือว่าไม่เป็นที่นินทาของผู้คน
“ว่าอะไร” เซี่ยงเซิ่งมองนางอย่างแปลกใจ วันไหว้พระจันทร์เมื่อสามปีก่อน เขากับหลินหลงก็ได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายแล้ว ขอเพียงนางยอมตกลง ก็จะยกเกี้ยวแปดคนหามมารับนางแต่งเข้าเรือน
“เซี่ยงเซิ่ง ข้าไม่คู่ควร” นางกินคำสุดท้ายหมดก็เช็ดมุมปาก เอ่ยขึ้นน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“คู่ควรไม่คู่ควร ข้ารู้ดีแก่ใจ”เซี่ยงเซิ่งระงับความโกรธในใจ เขากำลังโกรธที่นางดูถูกตัวนางเอง เขาก้มลงเก็บกล่องอาหาร ก่อนจะประคองนางลุกขึ้น
หลินหลงถอนหายใจเบาๆ อย่างเสียไม่ได้ เกลี้ยกล่อมเขาล้มเหลวอีกแล้ว
เขามักจะมีวิธีมากมายร้อยพันมาทำให้นางไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อดี
บางทีในสัญชาตญาณความคิดนาง นางก็หวังว่าเขาจะอยู่เคียงข้างนางเช่นนี้ตลอดไป แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ไม่ใช่หรือ ช้าเร็วเขาก็ย่อมต้องแต่งงานมีภรรยาในสักวันหนึ่ง…และนาง ไม่เหมาะกับเขา…
……
ตั้งแต่วันนั้น นางก็ไม่ได้เอ่ยถึงประเด็นที่ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ผิดจารีตหรือไม่อีก เขายังคงมาดูแลนางรับประทานอาหารสามมื้อ นางก็ยินยอมพักรักษาบาดแผลที่หลังแต่โดยดี
ขอเพียงบาดแผลหายดี เขาก็จะไม่มีเหตุผลที่จะมาที่นี่บ่อยนัก นางคิดเช่นนี้
โชคดีที่ไม่ได้ให้ท่านพ่อท่านแม่รู้เรื่องนางบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้นหูนางก็คงยากที่จะเงียบสงบ เสียงบ่นของชายหนุ่มผู้นี้ก็ทำให้นางแทบจะทนรับไม่ไหวแล้ว นางคงไม่โง่ทำให้ทุกอย่างวุ่นวายจนผู้ใหญ่ของนางพากันมาพร่ำบ่นนางไม่หยุด นอกจากน้าเยว่แล้ว คนอื่นรวมทั้งท่านแม่นาง ต้องน้ำตาร่วงและสั่งกำชับไม่หยุดจนนางแทบอยากตายแน่
แต่ตอนนี้มันอะไรกัน
หลินหลงตาค้างมองตนเองถูกพวกท่านแม่ท่านน้าพามานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใช้ด้ายดึงขนบนใบหน้าให้หมดจด ประแป้ง แต่งหน้า เกล้าผม เปลี่ยนชุดใหม่…เดี๋ยวๆ…ชุดแต่งงาน?
นางบอกจะแต่งงานตอนไหนกัน
“ท่านแม่?” นางงุนงงมองไปทางท่านแม่ที่ลูบรอยยับชุดแต่งงานให้นางด้วยหน้าตายิ้มแย้มเบิกบาน “นี่เกิดอะไรขึ้น” นางก็เคยคิดเหมือนกันว่าจะฉลองบาดแผลที่หายดีของนาง แต่ไม่ได้คิดว่าจะฉลองด้วยวิธีนี้
“แน่นอน แต่งงานอย่างไร” ซูสุ่ยเลี่ยนยังไม่ทันได้ตอบ เจียงอิ้งอวิ๋นข้างๆ ก็ยิ้มตอบแทนด้วยเสียงดังฟังชัด “หลงเอ๋อร์ ไม่ต้องตื่นเต้น เจ้าหนุ่มเซี่ยงเซิ่งจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แม้แต่พวกเราก็ว่างจนต้องมาเป็นเพื่อนเจ้าอยู่นี่อย่างไร”
“เซี่ยงเซิ่ง?” กล่าวเช่นนี้ เป็นเขาที่คิดเอาเองว่าจะแต่งนางอย่างนั้นสิ นางควรพูดอะไร นางไม่แต่ง?
สุดท้ายนางก็ยังคงแต่ง แต่งกับชายหนุ่มที่เข้าใจนางยิ่งกว่าเข้าใจพี่น้องของเขาเองเสียอีก เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก นางเองก็ต้องการชายหนุ่มที่ไม่นึกเสียใจยามต้องมาดูแลนางยามบาดเจ็บ จริงๆ แม้ว่าเหตุผลนี้จะไม่ใช่เหตุผลที่สำคัญที่สุดในใจของนาง แต่มันจะเป็นอะไรไปเล่า ก็ถือเสียว่านางแค่มีแผนแทรกขึ้นมาในชีวิตจากที่เคยวางไว้ แม้ว่าเป็นแผนที่นางไม่เคยคาดคิด แต่ทิศทางก็ยังคงไปยังเป้าหมายที่นางวางไว้
ถูกต้อง นาง ‘หลินหลง’ ประมุขหอเฟิงเหยา คงไม่เอาเหตุผลที่ไม่ใช่เหตุผลมาอ้างไม่แต่งงาน หรือละทิ้งองค์กรที่นางต่อสู้มาถึงห้าปี เชื่อว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็จะไม่บีบบังคับนาง ไม่เช่นนั้นเขาย่อมไม่แต่งกับนาง
ดังนั้นวันไหว้พระจันทร์ปีนั้น นางที่อายุได้สิบแปดปี ก็ได้แต่งงานอย่างสมเกียรติยิ่งใหญ่เข้าตระกูลเซี่ยง
ค่ำคืนแห่งรักพัวพันชิดใกล้ ทำให้นางเริ่มคิดถึงชีวิตแต่งงานที่นางไม่เคยคิดถึงมาก่อน
“อรุณสวัสดิ์” เซี่ยงเซิ่งก้มลงกระซิบน้ำเสียงแหบพร่าข้างหูนาง พลิกตัวยกนางขึ้นทาบทับบนหน้าอกเปลือยเปล่าของเขา
“เมื่อวานยังดีอยู่ไหม” เขากวาดตามองนางที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยเช่นกัน ผิวขาวเนียนผ่องมีรอยแดงที่เขาตรากตรำเพาะกล้ามาทั้งคืน ตอนนี้เห็นเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกเบิกบานใจอย่างที่สุด
ใบหูหลินหลงร้อนผ่าวขึ้นมาทันที นางไม่ถือสาที่จะถูกเขาใช้สายตาแผดเผามองไปทั่วร่างนาง แต่ก็ไม่อาจเอ่ยวาจากล่าวถึงผลจากการเคี่ยวกรำค่ำคืนที่ผ่านมาได้
“พักหนึ่งวัน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางไปเมืองหลวงพบท่านลุงท่านป้า” เขาหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้นสวมชุดนอน ก่อนจะอุ้มนางที่กำลังบิดขี้เกียจขึ้นมา เดินไปยังห้องน้ำที่ติดกับห้องนอน
“เมืองหลวง?” นางขมวดคิ้ว ไปมาอย่างน้อยก็ต้องหกวัน “เรื่องในหอ…ไปไม่ได้” นางคิดออกว่าสีหน้าเขาจากนี้จะเป็นเช่นไร บางทีเขาอาจจะเริ่มเข้ามายุ่งเกี่ยวกับงานของนาง กล่อมให้นางทิ้งหอเฟิงเหยา มาอยู่กับเขาที่จวน ปักผ้าทำอาหารให้เขาคนเดียว…
“ข้ารู้ เจ้าวางใจ ตอนเจ้าไม่อยู่สองสามวันนี้ ฟั่งเฉินจะดูแลแทนเจ้าเอง รับรองว่าจะคืนหอเฟิงเหยาไม่เสียไม่หายให้เจ้า” เซี่ยงเซิ่งแย้มยิ้มบาง
แม้ว่ายากจะเข้าใจว่าทำไมซือทั่วไม่มอบหอเฟิงเหยาให้ซือฟั่งเฉินลูกชายคนโตของเขา แต่กลับมามอบให้สตรีเช่นหลินหลงสืบทอดต่อ แต่ทว่านี่คือการตัดสินใจของพวกบิดานาง และหลินหลงเองก็ทำได้ดี เขาย่อมไม่คิดเข้าแทรกแซง
หลินหลงเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ จ้องมองเซี่ยงเซิ่งนิ่ง เขาไม่ได้คิดกล่อมนางให้ละทิ้งหอเฟิงเหยา และไม่ได้ตำหนินางที่ไม่สนใจจารีตแห่งภรรยา แต่ได้คิดหาทางดูแลหอไว้ให้นางแล้ว…นี่คือเขาสนับสนุนให้นางดูแลหอเฟิงเหยาต่อหรือ
“เด็กโง่ มันคือหยาดเหงื่อแรงกายของเจ้า ข้าย่อมรู้ว่าอะไรควรไม่ควร จะว่าไปมีงานที่ดึงดูดความสนใจของเจ้าเอาไว้ได้ก็ดี ตอนที่ข้ากำลังยุ่งก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะทอดทิ้งเจ้าให้เหงาอยู่บ้าน” พอมาถึงห้องอาบน้ำ เซี่ยงเซิ่งก็วางนางลง เขี่ยปลายจมูกนางเล่นเบาๆ อธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตั้งแต่ห้าปีก่อนข้าก็รู้แล้วว่าหากต้องการแต่งกับเจ้าก็ต้องแต่งกับหอเฟิงเหยาด้วย ข้าเตรียมตัวมานานหลายปีเช่นนี้ก็เพื่อให้เจ้าได้แต่งกับข้าอย่างไม่ต้องกังวล เป็นภรรยาของข้า เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับข้า เจ้าอย่าได้ดูแคลนน้ำใจข้า”
“เซี่ยงเซิ่ง…” นางพึมพำเรียกชื่อเขา นางไม่คิดว่าเขาจะให้ความสำคัญกับนางเพียงนี้ แม้แต่กับงานที่นางรักก็ด้วย การได้รู้เช่นนี้ทำให้นางไม่รู้จะกล่าวเช่นไรดี
“บางทีวันนี้อาจไม่ได้ออกจากบ้าน ได้แต่อยู่บนเตียงกัน…” เขากอดนางไว้แน่น ไม่ให้นางมีโอกาสได้ปฏิเสธเขา
ฟ้าเท่านั้นที่รู้ เพื่อให้ในใจนางมีแต่เขา เพื่อให้นางไม่ปฏิเสธต่อต้านการแต่งงานเป็นภรรยาของเขา เขาต้องเตรียมตัวมานาน อดทนมาก็นาน…ถึงกับไม่ถือสายามนางถูกบรรดาพี่น้องของนางหัวเราะเยาะว่าเขาเป็นเจ้าทึ่มไม่เข้าใจอารมณ์อย่างว่า แม้ว่าไม่หวังว่านางจะรักเขา แต่ก็ไม่หวังว่าเพราะนางถูกเขากลืนกินแล้วจึงต้องรับผิดชอบแต่งงานกับเขา
ตอนนี้นางเป็นภรรยาของเขาแล้ว เขากลืนกินนางและขบนางได้อย่างเปิดเผย อย่าว่าแต่คืนหนึ่งเจ็ดรอบ แม้แต่ให้ขลุกพัวพันอยู่บนเตียงกับนางทั้งวัน เขาก็ไม่กลัวนางคิดไปไกลว่า…แท้จริงแล้วเขาก็เป็นชายหนุ่มที่มีความปรารถนาแรงกล้า…แน่นอนคู่ปรารถนาของเขาย่อมต้องเป็นนาง เป็นเจ้าสาวที่เขารักแรกพบตั้งแต่แปดปีก่อน…