“โอ! โยนดอกไม้แล้วๆ!” พริบตา ฝูงชนก็แตกตื่น
ซูสุ่ยเลี่ยนอดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ชะงักหันหลังกลับไปมอง จริงด้วย เทพธิดานางหนึ่งที่อยู่ใกล้กับนางที่สุดโยนพวงดอกไม้ออกมา กำลังมองมาทางนางอย่างเขินอาย
เอ๋? ซูสุ่ยเลี่ยนสงสัยมองซ้ายมองขวา ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้โชคดีกัน ถึงกับเป็นที่ต้องตาของเทพธิดาในงานท่องราตรีนี้ได้ เหอๆ นางแย้มยกมุมปาก รอจะชมการโยนบุปผานี้ให้จบ
ไม่ทันคาดคิด หลินซือเย่าที่ปกป้องนางอยู่ด้านหลังก็โอบเอวนางไว้แน่น เบี่ยงตัวหลบออกห่างจากกลุ่มคนที่เบียดเสียงกันส่งเสียงโหวกเหวกออกมาได้ ก่อนจะโอบกอดซูสุ่ยเลี่ยนกระโดดสองทีลอยหนีไปไกลหลายจั้ง
“โอ๊ะ!” ซูสุ่ยเลี่ยนได้สติรับรู้ได้ถึงสองมือเขาที่โอบเอวนางไว้ ก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่เข้าใจ กำลังคิดจะถาม ก็ได้ยินเสียงด้านหลังตะโกนดังมาอย่างร้อนใจหลายคน “คุณชาย! คุณชาย!” ซูสุ่ยเลี่ยนหันกลับไปมอง เห็นเทพธิดาที่กำลังจะโยนพวงบุปผานางนั้น โอ นางจึงได้รู้ทันทีว่า ที่แท้คนที่นางต้องตาก็คือ…เขาที่อยู่ข้างๆ!
ซูสุ่ยเลี่ยนแอบกวาดตามองหลินซือเย่าที่มีท่าทีแสนเย็นชา แปลกจริง คนเขาเข้ามาหาอย่างวาดหวัง แต่เขากลับตัวดี ถึงกับโดดหนีห่างไปตั้งไกล ถึงกับเปล่งประกายกลิ่นอายแบบที่ว่าคนแปลกหน้าอย่ามาเข้าใกล้ ราวกับล่วงล้ำพื้นที่เขาเสียอย่างนั้น
รอจนหลินซือเย่าวางนางลง ก็เป็นพื้นที่ว่างสงบไกลจากเทพท่องราตรีหลายช่วงถนน เสียงกลองฆ้องตีดังค่อยๆ ห่างไกลออกไปราวกับแทบไม่ได้ยินแล้ว
“นี่คือที่ไหน” ซูสุ่ยเลี่ยนมองไปรอบๆ เห็นร้านข้างทางกระจัดกระจาย จึงถามขึ้นอย่างนึกสงสัย
“ร้านค้า” หลินซือเย่าตอบง่ายๆ
“ขายอะไร” ซูสุ่ยเลี่ยนชินกับวิธีการตอบที่ราวกับพูดมากไปทองจะร่วงจากปากของเขานานแล้ว จึงถามต่ออย่างไม่นึกถือสา
หลินซือเย่าไม่ตอบ ดึงนางเดินไปยังหน้าร้านริมทางที่ไม่มีแขกมาซื้อของ เลือกปิ่นปักผม ต่างหู เครื่องประดับเอว กำไลรูปแบบใหม่ๆ แลดูประณีตทำจากหยกหลายชิ้นยัดใส่มือซูสุ่ยเลี่ยน ขณะเดียวกันยังควักเอาแหวนหยกมรกตวงหนึ่งของตนออกจากอกเสื้อ โยนให้เจ้าของร้านที่กำลังสัปหงก
“ให้ข้าหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนถือเครื่องประดับไว้พลางยิ้มถามขึ้น
หลินซือเย่าเบือนหน้าหนีสายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของนาง สีหน้าเริ่มแดงที่หากไม่สังเกตอาจไม่ทันได้เห็น
“ความจริงข้าก็มีเครื่องประดับนะ เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาแหวนหยกของเจ้ามาแลกของพวกนี้หรอก” ซูสุ่ยเลี่ยนก้มหน้าอธิบายเบาๆ เพียงแต่เครื่องประดับในห่อผ้านั้นแลดูสะดุดตาเกินไป ดังนั้นนางจึงไม่คิดเอาออกมาใช้
หลินซือเย่าไม่ตอบ หันกายเดินผ่านนางไป ทิ้งไว้ประโยคหนึ่งว่า “กลับกันเถอะ” แล้วก็เดินนำไปยัง ‘โรงเตี๊ยมสิงไหล’
ซูสุ่ยเลี่ยนเม้มปากอย่างเหนื่อยใจ เขาหมายความว่าอย่างไรเนี่ย หรือว่าไม่รู้ว่าเครื่องประดับพวกนี้ไม่อาจมอบให้คนอื่นอย่างไม่คิดอะไรได้ โดยเฉพาะอีกฝ่ายไม่ใช่สตรีที่ยังไม่แต่งงาน ก่อนนางจะรีบวิ่งตามเขาไป คนหนึ่งเดินหน้า คนหนึ่งตามหลัง เดินไปท่ามกลางค่ำคืนใต้แสงจันทร์ เดินไปตามท้องถนนที่ผู้คนเริ่มบางตา
พอกลับถึงหน้าโรงเตี๊ยม ซูสุ่ยเลี่ยนก็นึกถึงลูกหมาป่าสองตัวแสนซนขึ้นมาได้ “แย่แล้ว เสี่ยวฉุน เสี่ยวเสวี่ยหลงไปไหนแล้ว” นางรีบหันกลับคิดวิ่งออกไปตาม
“พวกมันกลับมาแล้ว” หลินซือเย่าดึงแขนนางไว้ บุ้ยใบ้ไปด้านหลัง ซูสุ่ยเลี่ยนหันกลับไปมอง ตามคาด หน้าประตูโรงเตี๊ยมมุมหนึ่ง มีลูกหมาป่าสองตัวหลับอุตุกันอยู่นานแล้ว
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูสุ่ยเลี่ยนเหมือนว่าถูกบางอย่างอุ่นนุ่มที่บอกไม่ได้ว่าคืออะไรปลุกตื่นขึ้นมา พอลืมตามองก็เห็นลูกหมาป่าสองตัวหมอบอยู่ข้างกายนางซ้ายตัวขวาตัว ส่งสายตาปริบๆ จ้องมองนาง
“เสี่ยวฉุน เสี่ยวเสวี่ย…” ซูสุ่ยเลี่ยนลูบขนลูกหมาป่าสองตัวอย่างอ่อนโยน พลางยิ้มเรียก
“ใช่แล้ว พวกเจ้าเข้ามาในห้องไม่ได้นี่ ทำไมเข้ามาได้ล่ะ” ซูสุ่ยเลี่ยนคิดได้ก็ถามอย่างสงสัย ลูกหมาป่าสองตัวเหมือนฟังภาษานางออก งับเสื้อนางไว้ ลากนางลงจากเตียงไปยังริมหน้าต่างที่เปิดกว้าง
“พวกเจ้า โดดเข้ามาจากทางนี้หรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ชี้ไปนอกหน้าต่าง ถามไปก็ชะโงกหน้าออกไปดูพร้อมกัน นอกหน้าต่างไม่มีต้นไม้อะไรที่จะช่วยให้เข้ามาได้ หรือว่าพวกมันโดดจากพื้นเข้ามาเลย?
ซูสุ่ยเลี่ยนคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ ถอนหายใจเบาๆ ลูกหมาป่าสองตัวนี้วันหน้าจะเติบโตไปอย่างไร หากตัวใหญ่เท่าพ่อแม่มันจริงๆ นางจะปิดบังคนรอบข้างได้อย่างไร หากว่าคนอื่นรู้ว่าพวกมันเป็นหมาป่าไม่ใช่หมาธรรมดา ผลลัพธ์ย่อมไม่อาจคาดคิด อย่างน้อยพวกมันก็คงไม่อาจอยู่ต่อไปในเมืองที่แสนวุ่นวายตอนนี้ได้แน่
……
กินอาหารเช้าง่ายๆ ที่เต็มไปด้วยสารอาหาร ณ โถงโรงเตี๊ยมเสร็จ ก็คือโจ๊กกับซาลาเปาม้วนต้นหอม ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าก็พาลูกหมาป่าสองตัวออกไปเดินเล่นบนท้องถนนอีก สองคนสองหมาป่ามายังริมทะเลสาบอีกครั้ง
มองผืนทะเลสาบสีมรกตเงียบสงบแล้ว ในใจซูสุ่ยเลี่ยนก็คิดถึงสิ่งที่คิดมาตั้งแต่ตื่นเช้ามาอีกครั้ง เพียงแต่ นางเหลือบมองไปยังชายที่ยืนองอาจผึ่งผายข้างกาย ไม่รู้ว่าเขาจะยอมรับได้ไหม
“เจ้า…วันหน้าคิดจะทำอะไร” นางผินหน้าไปมองเขา ลอบดูสีหน้าเขาว่ามีคำตอบหรือไม่ น่าเสียดาย ยังคงเป็นใบหน้าเย็นเยียบไร้อารมณ์ราวน้ำแข็งเหมือนเดิม
หลินซือเย่าได้ยินก็สะดุ้ง ก้มหน้าหลุบตาลง ตอบเบาๆ ว่า “ไม่มี”
ซูสุ่ยเลี่ยนอยากพูดต่อแต่กลับเม้มปากอีก หันกลับไปจ้องมองทะเลสาบอย่างไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรดี แม้คำตอบเขาควรค่าที่ตนจะเสี่ยงสักครั้ง แต่ทว่าเขาจะเห็นด้วยไหมนะ
“ทำไม” หลินซือเย่าเห็นดังนี้ ก็ลากนางไปนั่งลงบนก้อนหินข้างๆ ส่งสายตาไปยังลูกหมาป่าสองตัว ลูกหมาป่าสองตัวได้แต่หมอบอยู่ข้างกายซ้ายขวาเขาสองคนอย่างเป็นเด็กดี เป็นดังสุนัขทำหน้าที่ปกป้องนาย
ซูสุ่ยเลี่ยนลองคิดไตร่ตรองไปมาในใจแล้วก็เงยหน้าขึ้น มองหลินซือเย่าท่าทางเอาจริง พูดทีละคำชัดๆ ว่า “วาจาข้าจากนี้อาจทำเจ้าตกใจ แต่ก็ผ่านการคิดอย่างรอบคอบดีแล้ว เจ้าอยากฟังไหม”
คิ้วหนารูปดาบของหลินซือเย่ากระตุก มองท่าทางเคร่งขรึมของนางอย่างแปลกใจ ตั้งแต่เจอนางครั้งแรกจนถึงตอนนี้ เหมือนว่ามีแต่ท่าทางอ่อนโยนนุ่มนวล แต่ไรมาไม่เคยเห็นแววเคร่งขรึมเช่นนี้บนใบหน้านางมาก่อน
แท้จริงเรื่องใดกันที่ทำให้นางยากเอ่ยปาก หรือว่าคิดแยกทางกับตน ในใจหลินซือเย่าแอบนึกเยาะตนเอง ใช่สิ สตรีโสดนางไหนจะยอมเกี่ยวข้องกับนักฆ่าเช่นตน
“พวกเรา…ข้าหมายถึงข้ากับเจ้า อยู่ด้วยกันดีไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนตัดใจทุ่มเทความกล้าทั้งหมดพูดออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองรองเท้าปักลายดอกไม้ของตน ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกเลย
หลินซือเย่าได้ยินก็นิ่งอึ้งตกตะลึง แทบไม่อยากจะเชื่อ ที่นางเพิ่งพูดออกมานั้นจริงหรือ นางยอมอยู่ร่วมกับตนเองหรือ น่าจะหมายความเช่นนี้ใช่ไหม
ก้มหน้าลงมองสตรีตัวน้อยที่พูดจบก็เงียบกริบราวกับนกกระจอกเทศ แววตาหลินซือเย่าเปล่งประกายแห่งรอยยิ้มที่ยากสังเกตเห็นแวบหนึ่ง ลำบากนางแล้วจริงๆ ให้สตรีตัวน้อยงามพร้อมอย่างนางเอ่ยวาจาน่าตกใจเช่นนี้ออกมา
“ได้” หลินซือเย่าตอบอย่างง่ายๆ หากไม่ฟังให้ดี คงฟังไม่ออกว่าเป็นน้ำเสียงแสนจะยินดีปรีดาเพียงใด
“…” ซูสุ่ยเลี่ยนได้คำตอบที่ต้องการ ก็ดีใจเงยหน้าขึ้นมองทันที “เจ้า…เจ้ารับปากแล้ว?” นางเน้นย้ำคำตอบอีกทีด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
หลินซือเย่าพยักหน้า กระแสเย็นเยียบรอบกายหายไปสิ้น ใบหน้าเย็นชาเริ่มมีรอยยิ้มบางปรากฎ
“เจ้า ไม่ถามสาเหตุข้า?” ซูสุ่ยเลี่ยนมองเขาที่ตอบรับข้อเสนอของนางจริงๆ ในใจก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย วาจาก็เริ่มผ่อนคลายลง
“ไม่จำเป็น” หลินซือเย่าส่ายหน้า ได้อยู่ร่วมกับนาง ผลลัพธ์เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องเหตุใดนั้น ไม่สำคัญจริงๆ
ซูสุ่ยเลี่ยนเผยรอยยิ้มบาง “ขอบคุณเจ้ามาก” นางตัวคนเดียวจะใช้ชีวิตโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้ได้อย่างไร จะยากเย็นเพียงใดกันนะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องซื้อบ้าน ซื้อที่นาที่ต้องการผู้ชายออกหน้าไปเจรจา เพียงแต่หลังได้บ้านได้ที่นามาแล้วอยู่คนเดียวไปนานวันเข้า ก็คงเป็นที่สะดุดตาของคนอื่น
ซูสุ่ยเลี่ยนย่อมรู้ว่าแต่โบราณมามีวาจาว่า ‘หญิงไร้สามีเรื่องราวมากมี’ นับประสาอันใดกับตนเองเป็นแม่นางที่ยังไม่ออกเรือน แม้ว่าข้างกายมีลูกหมาป่าสองตัวคอยเฝ้าระวังอย่างภักดี แต่อย่างไรก็ไม่อาจป้องกันได้ จะว่าไปหากเสี่ยวฉุนและเสี่ยวเสวี่ยโตกว่านี้อีกหน่อย ก็ยากจะไม่ถูกคนรู้เข้า และอ้างเหตุว่าห้ามเลี้ยงหมาป่าในเมือง และขับไล่พวกมันไปก็ได้ จากนั้นตนเองก็ย่อมตกในภาวะไม่ปลอดภัย ดังนั้นหากว่าหลินซือเย่าไม่มีแผนการชีวิตอื่นใด การอยู่ร่วมกันกับเขาก็ย่อมเป็นวิธีการที่ดีไม่ใช่หรือ
……
“นี่ก็คือสมบัติพวกเรา เจ้าดูว่าพอซื้อบ้านของพวกเราไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนประคองห่อผ้าที่มีเหรียญเงินค่าราวห้าสิบตำลึงออกมามองหลินซือเย่าตาปริบๆ
หลินซือเย่ากวาดตามองนางแวบหนึ่ง แอบถอนหายใจอย่างหมดแรง ทำไมนางไม่รู้จักเก็บงำบ้างนะ กลั่นหยกเซียนนั่นก็ทีแล้ว เงินตอนนี้ก็เหมือนกัน หากตนเองมีใจคิดไม่ซื่อ ไม่แน่อาจแย่งชิงเงินนางแล้วหนีไปเลยก็ได้ นางย่อมทำอะไรไม่ได้
แต่ทว่าหลินซือเย่าเหมือนกับแย้มยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางว่า ‘พวกเรา’ ‘สมบัติพวกเรา’ ‘บ้านของพวกเรา’ นางมองว่าตนเป็นคนครอบครัวเดียวกับนางแล้ว เช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องที่นางไม่รู้จักเก็บงำและอาจนำอันตรายมาถึงตัวได้นั้น ก็ยกให้เขาเป็นคนจัดการแล้วกัน
“ข้าไปลองหาดูก่อน” หลินซือเย่าให้ซูสุ่ยเลี่ยนเก็บเงินให้ดี ลุกขึ้นเดินออกจากประตูไป
“ไม่เอาเงินไปด้วยหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนถามอย่างไม่เข้าใจ แม้แค่ไปลองหาดู ก็ไม่แน่อาจต้องการใช้เงินทอง
“ไม่ต้อง” หลินซือเย่าหยุดฝีเท้า ก่อนจะอดไม่ได้เอ่ยออกมาว่า “อย่าควักเงินออกมาง่ายๆ”
“นี่ก็ให้แค่เจ้าดูไม่ใช่หรือ! ไม่รู้มีเท่าไรจะไปซื้อบ้านได้อย่างไร” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็เบ้ปากขมุบขมิบเบาๆ
หลินซือเย่าย่อมได้ยินเสียงบ่นของนาง ในตามีรอยยิ้มที่เบาบางแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไป ก่อนจะเคลื่อนกำลังภายในเร่งทะยานไปวนเดินอยู่ตามตรอกเล็กแถวโรงเตี๊ยมเพื่อมองดูว่ามีประกาศขายบ้านหรือไม่ กวาดตาดูรอบเดียวก็จำได้