“กล่าวเช่นนี้ ในเมืองย่อมไม่มีบ้านที่เหมาะกับพวกเรา?” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินหลินซือเย่ารายงานคร่าวๆ แล้วก็อุทานเสียงแผ่ว ไม่คิดเลยว่าบ้านในเมืองฝานลั่วนี้จะแพงเช่นนี้
ก็จริง ที่นี่แม้ว่าห่างไกลความเจริญ แต่จากคำพูดหลินซือเย่าฟังออกได้ว่าเมืองฝานลั่วเป็นเมืองสำคัญติดต่อกับประเทศทางตะวันตก พ่อค้าไปมาตะวันออกตะวันตกมากมาย ในเมืองก็ย่อมเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน คนที่อพยพมาอยู่ที่นี่ก็ย่อมมีมากขึ้น ทำให้ราคาบ้านทั้งเมืองฝานลั่วถีบตัวสูงขึ้น
“ข้าจำได้ ทางที่เราผ่านมา ผ่านเมืองเล็กๆ มาเมืองหนึ่งใช่หรือไม่” ซูสุ่ยเลี่ยนจำภาพงดงามระหว่างทางที่นั่งรถม้ามาได้ แม้ว่าตอนนั้นจะใกล้ค่ำมืด มองดูก็ไม่ชัดเท่าไร แต่ว่าเป็นภาพเมืองเล็กๆ ที่มีบ้านชาวนาราวสิบหลังคาเรือนอยู่ร่วมกันได้ เช่นนั้นย่อมไม่เลว
ตั้งรกรากในเมืองใหญ่แม้ว่าสะดวก แต่ทว่ามีเงินทองเพียงพอซื้อบ้านได้เพียงหลังหนึ่ง และจากนี้หากไม่มีหนทางทำมาหาเลี้ยงชีพก็ย่อมดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่นาน ซูสุ่ยเลี่ยนไม่กล้ารับประกันว่าอาศัยแค่งานปักของตนเองจะมีชีวิตสบายในเมืองฝานลั่วได้ ส่วนหลินซือเย่านั้น นางเองไม่เคยลืมคำพูดที่ชายชุดดำถือดาบพวกนั้นพูด หลินซือเย่าเป็นนักฆ่า และนางคงไม่คาดหวังว่าจะอาศัยนักฆ่าหาเลี้ยงชีพหรอกใช่ไหม หากว่าเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีท้องนา ซื้อบ้านสักหลัง ซื้อที่สักผืน แม้ไม่ได้มีทางทำมาหากินอื่น ก็ไม่ถึงขั้นเหน็บหนาวหิวตายกระมัง นับประสาอันใดกับลูกหมาป่าสองตัว เลี้ยงในเมืองเล็กๆ ก็คงไม่เป็นที่สะดุดตากระมัง
พอคิดได้เช่นนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนก็ยิ่งมั่นใจในความคิดว่าไปหาเมืองเล็กๆ ละแวกเมืองฝานลั่วตั้งรกรากดีกว่า
หลินซือเย่าได้ยินก็พยักหน้า “เมืองฝานฮัว ห่างจากที่นี่สิบลี้”
“สิบลี้?” ลองตัดไปว่าตนเองมีแรงพอจะไปไหวไหมก่อน ดูแค่กำลังเท้าตน เกรงว่าคงจต้องเดินราวครึ่งค่อนวันแล้วมั้ง
“ข้าจะพาเจ้าไปเอง” หลินซือเย่าราวกับอ่านใจซูสุ่ยเลี่ยนที่กำลังวุ่นวายอยู่ได้ จึงเอ่ยเพิ่มอีกประโยค ทำให้ซูสุ่ยเลี่ยนแทบอยากจะร้องไห้ ตนเองไม่ได้พิการเสียหน่อย ต้องให้เอะอะก็พาตนเองทะยานไปมาหรือ
……
วันต่อมา ฟ้าเพิ่งเริ่มรำไร ซูสุ่ยเลี่ยนก็ลงมาจากชั้นบนพร้อมกับเขา สั่งอาหารจำพวกซาลาเปาไส้เนื้อและซาลาเปาม้วนกับเสี่ยวเอ้อร์สองสามอย่าง เตรียมเอาไว้กินระหว่างทาง ในเมื่อพิจารณาดีแล้วว่าต้องซื้อบ้านพักอาศัยให้เป็นหลักแหล่ง อย่างไรก็ต้องอาศัยจังหวะที่จะไปเมืองฝานฮัวนี้ลองดูว่ามีบ้านว่างจะขายบ้างหรือไม่
ลูกหมาป่าสองตัวยังคงตามมาด้านหลัง แบกตะกร้าผลไม้ที่เหลือครึ่งตะกร้า แหเถาวัลย์และหนังเสือมาอย่างแสนเชื่อง
พูดถึงตะกร้าผลไม้ป่านั่น ให้พี่เสี่ยวเอ้อร์ที่ช่วยเลี้ยงลูกหมาป่าสองตัว เขาสบตาลูกหมาป่าสองตัวทีหนึ่งก็ไม่ตกใจจนไม่กล้าหยิบพลการ พอรู้ว่าพวกซูสุ่ยเลี่ยนจะไปแล้วก็ทำหน้ายิ้มเขินๆ ขอชิมสักสองลูก ยุคสมัยนี้คนขายผลไม้ตามท้องถนนราคาไม่ถูกเท่าไร เมืองฝานลั่วห่างจากป่าไกล แทบจะไม่มีผลไม้ป่าให้เก็บกินง่ายๆ ดังนั้นจึงยากที่จะพบเห็นผลไม้สดๆ เช่นนี้ พี่เสี่ยวเอ้อร์อายุน้อยก็รู้สึกน้ำลายสอมาก
ซูสุ่ยเลี่ยนไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เทให้เขาไปครึ่งตะกร้า ก่อนจะทิ้งไว้ให้สาวใช้มือดีที่ช่วยนางเกล้าผมเมื่อวันก่อนนั้นด้วยอีกส่วนหนึ่ง
พี่เสี่ยวเอ้อร์มองตามร่างบอบบางของซูสุ่ยเลี่ยนไปอย่างตกในภวังค์ โอ ในยุคสมัยนี้มีสตรีงามไม่น้อย แต่ท่าทางมีมารยาทสุภาพเช่นนางนี้หาได้ไม่ง่าย นึกถึงว่าไม่มีสตรีงามในเมืองฝานลั่วตระกูลใดที่ไม่แอบเย่อหยิ่งภูมิใจความงามตนเอง หากได้แม่นางสุภาพนุ่มนวลดังสายน้ำนี้เป็นภรรยา ท่านแม่เขาไม่ยิ้มกว้างสิแปลก
แต่ว่าพี่เสี่ยวเอ้อร์หันไปคิดถึงชายหน้าราวภูเขาน้ำแข็งที่ไม่ห่างกายซูสุ่ยเลี่ยนผู้นั้นแล้วก็อดตัวสั่นไม่ได้ เอ้อ ช่างเป็นบุปผาปักลงบน…เอิ่ม…ขี้มังกรเสียจริง ชายหน้าตาหล่อเหลากว่าตนเองมากอยู่ก็จริง แต่ว่าแล้วอย่างไรล่ะ อย่างไรก็ไล่ตามแม่นางผู้นั้นเหมือนกันแหละ พอเห็นแม่นางหวีผมเกล้ามวยเสร็จก็รู้แล้ว พี่เสี่ยวเอ้อร์แอบเบ้ปาก หันกายเดินกลับเข้าไปกินผลไม้
……
ซูสุ่ยเลี่ยนได้สัมผัสกับกำลังภายในวิชาตัวเบาของหลินซือเย่าแสนร้ายกาจอีกครั้ง อดแอบอิจฉาไม่ได้ ไม่รู้ว่าตนเองจะมีโอกาสได้เรียนไหม นางเองก็คิดจะเรียนให้เป็นเหมือนเขา พอปลายเท้าแตะพื้นก็ลอยขึ้นท้องฟ้า พริบตาก็ลอยออกไปไกลหลายจั้ง พวกกิ่งไม้ใบหญ้าล้วนเป็นเครื่องส่งแรงให้เขาไปหมด
แต่ว่าคิดก็ส่วนคิด ซูสุ่ยเลี่ยนรู้ว่าความเป็นไปได้นี้แทบไม่มี ได้ยินว่าวิชาตัวเบาพวกนี้ก็ดี วิทยายุทธ์ก็ดี ล้วนต้องเรียนตั้งแต่เด็กๆ หากเลยวัยมาแล้ว ทรงกระดูกเข้าที่แล้ว ก็ย่อมฝึกไม่สำเร็จ อืม วันหน้าหากตนเองมีลูกน้อย ก็จะให้เขาเรียนรู้เป็นชาวยุทธ์ดีกว่า
โอ! นางคิดอะไรเนี่ย! ซูสุ่ยเลี่ยนแอบถอนหายใจ ยกมือขึ้นประคองสองแก้มร้อนผ่าวของนาง ส่ายหน้าเต็มแรง เพื่อกลบความคิดประหลาดที่เพิ่งผุดขึ้นมานั่นลงไป บ้าบอเกินไปแล้วจริงๆ!
หลินซือเย่ากวาดตามองนางอย่างงุนงงแวบหนึ่ง ในใจก็รู้ว่านางคงต้องคิดเหม่อลอยอะไรไปไกลแน่
ยังเช้าอยู่ ตามท้องถนนไม่ค่อยมีผู้คนมากนัก เร่งทะยานไปได้สักพัก หลินซือเย่าก็พาซูสุ่ยเลี่ยนมาถึงปากทางเข้าเมืองฝานฮัว ค่อยๆ วางนางลงบนหินก้อนใหญ่ใต้ร่มต้นท้ออายุราวหลายสิบปีตรงหน้าปากทางเข้าเมือง ไม่นานลูกหมาป่าสองตัวก็หอบ แฮ่ก แฮ่ก ตามมาถึง
หลินซือเย่าเลิกคิ้ว ความเร็วลูกหมาป่าสองตัวเพิ่มขึ้นไม่น้อย วันหน้าไว้ใช้เฝ้าบ้านอะไรพวกนี้ก็ไม่เลวนะ
ลูกหมาป่าสองตัวนอกจากรู้สึกได้ถึงกระแสเย็นเยียบพาดผ่านสันหลังก็ไม่รู้ว่าในใจหลินซือเย่าคิดอะไร พยายามหาทางวิ่งไปข้างกายซูสุ่ยเลี่ยนทันที กระดิกหางวนรอบนางขอซาลาเปาไส้เนื้อกิน
“เอ้า” ซูสุ่ยเลี่ยนส่งซาลาเปาไส้เนื้อให้หลินซือเย่า ก่อนที่ตนเองจะเลือกซาลาเปาม้วนค่อยๆ บิเข้าปาก
พอกลืนคำสุดท้ายลงไปก็เห็นหลินซือเย่าจัดการอาหารมื้อเช้าเขาเรียบร้อยแล้วอย่างรวดเร็ว ไปยืนไพล่มือมองอยู่ริมท้องนา เขามองออกไปไกล ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
“เจ้าคุ้นเคยกับที่นี่หรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนเดินมาข้างกายเขาเงียบๆ สูดลมหายใจลึก ยามเช้าในหน้าร้อนพร้อมกลิ่นต้นข้าวเต็มท้องนาเช่นนี้ทำเอาสดชื่นไม่น้อย
หลินซือเย่าได้ยินก็ค่อยๆ หันกายกลับมา ในใจมีความรู้สึกฝืดเฝื่อนผุดขึ้นมาสายหนึ่ง หลายสิบปีก่อนตัวคนเดียวโดดเดี่ยว สองปีก่อนได้เป็นนักฆ่าเหรียญทองอันดับหนึ่งแห่งหอเฟิงเหยา หลายสิบปีรับงานมาไม่รู้เท่าไร คนที่ตายในเงื้อมมือตนเองก็มากยิ่งกว่ามาก ไม่แค่ชาวเมืองฝานลั่วและละแวกใกล้ๆ นี้ แม้แต่พื้นที่คนน้อยอย่างทะเลทรายตอนเหนือ หรือทะเลทางใต้ที่ยากดำรงชีพ ตนเองก็ใช่ว่าเคยไปเยือนน้อยเสียเมื่อไร
“ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า ข้าแค่ถามดูเล่นๆ ไม่ได้คิดอะไร” ซูสุ่ยเลี่ยนใช่ว่าไม่ทันรู้สึกได้ถึงท่าทางตัวแข็งทื่อของหลินซือเย่า คิดถึงสถานะก่อนหน้าของเขา ก็รู้ว่าจิตใจเชาย่อมมีความลำบากใจที่ยากเอ่ยแน่นอน จึงได้แต่ยิ้มบางและจบคำถามตนเอง
หลินซือเย่าย่อมฟังออกถึงความใจกว้างในวาจานาง หันหน้าไปมองจ้องมองหน้าผากใสกระจ่างของนางตาไม่กะพริบ กล่าวเบาๆ ว่า “เจ้ารู้ไหมว่าเมื่อก่อนข้าทำงานอะไร”
ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งไป แม้ไม่เข้าใจว่าเขาถามทำไม แต่ก็ยังคงพยักหน้า ตอนนั้นน่าจะไม่ได้ฟังผิด
ยามนี้เปลี่ยนเป็นหลินซือเย่าอึ้งแทน แต่ไรมาเขาคิดเสมอว่านางไม่รู้สถานะของเขา อย่างไรอาชีพนักฆ่าก็ไม่มีคนไม่กลัวกระมัง แต่ว่านางกลับพยักหน้า หมายความว่าอย่างไร นางถึงกับยอมรับตนเองได้ ยมทูตแห่งนรกที่สองเปื้อนเต็มไปด้วยคาวเลือดเช่นเขานี้?
“ไม่กลัวหรือ” หลินซือเย่าเหมือนว่ามีวาจาอัดอั้นที่เก็บแน่นในใจมานาน ส่งสายตากวาดมองใบหน้าน้อยๆ ขาวกระจ่างของนางแล้ว คิดว่าตนเองจะได้เห็นแววหวาดกลัวจากสายตานางบ้าง
ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็อึ้งไป กลัวไหม ใช่สิ ได้ยินว่านักฆ่าก็ควรจะโหดเหี้ยม สังหารคนโดยไม่กะพริบตา แต่ว่า นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเย็นเยียบไร้อารมณ์ความรู้สึกข้างกาย สองมือกำแน่นสั่นเทาของเขาแสดงให้เห็นถึงความตื่นตระหนกในใจ ใช่แล้ว ไม่ว่าเมื่อก่อนเป็นเช่นไร อย่างน้อยตอนที่อยู่ร่วมกันมา เขาก็ไม่เคยทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวหรืออึดอัดแม้แต่น้อย กลับกันหากมีเขาอยู่ นางถึงกับรับรู้ได้ถึงความสบายใจและสงบใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ด้วยเหตุนี้นางจึงลืมสถานะก่อนหน้าที่เป็นไปได้ของเขาไปเสียสนิท
ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนจึงพยักหน้าว่า “เจ้าไม่ได้ทำร้ายข้าไม่ใช่หรือ” นางเงยหน้าส่งสายตากลมดำวาวมองเขา ประเมินอยู่พักหนึ่งแล้ว ซูสุ่ยเลี่ยนก็ใจกล้าใช้น้ำเสียงแบบชาวเมืองซูโจวที่นุ่มนวลบอกหลินซือเย่าว่า “อย่างนั้น หลินซือเย่า หากพวกเราตั้งรกรากที่เมืองฝานฮัว เจ้า…เจ้าอาจไม่ได้ทำอาชีพเดิมแล้วนะ” นางไม่อยากให้ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้มองเขาด้วยแววตาหวาดกลัว นางหวังว่าจากนี้ไปเขาจะเป็นชายชาวนาธรรมดาที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
“ได้” หลินซือเย่าพยักหน้าตกลงอย่างไม่ลังเล เดิมก็ไม่ได้คิดจะกลับไปหอเฟิงเหยาอีกแล้ว เบื่อหน่ายที่ต้องร่อนเร่พเนจรไปทั่วทิศแล้ว ชีวิตที่มีแต่ภาพเลือดบนคมดาบ หากว่า…หากว่านางยินยอม เขาอยากจะให้ชีวิตเขาอีกครึ่งชีวิตนี้ได้อยู่ข้างกายนางเช่นนี้ ใช้ชีวิตสงบในเมืองแสนสงบเช่นนี้เป็นเพื่อนนางตลอดไป เพียงแต่ เขาหวังมากเกินไปหรือไม่
“อย่างนั้นพวกเราไปกันเถอะ” ซูสุ่ยเลี่ยนดึงแขนเสื้อเขา ชี้ไปทางแสงอาทิตย์ทอประกายงดงามทางตะวันออก “คิดว่าพวกคนในหมู่บ้านน่าจะตื่นแล้วไหม หวังว่าพวกเราจะโชคดี”
“อืม” หลินซือเย่าตามติดไปข้างกายนาง เดินตรงไปยังใจกลางเมืองฝานฮัว ลูกหมาป่าสองตัวก็เล่นกันพอแล้ว เดินตามซูสุ่ยเลี่ยนซ้ายขวากระดิกหางส่ายหัวมองไปยังเมืองเล็กๆ ที่นับจากนี้ เจ้านายและพวกมันจะได้ตั้งรกรากอยู่ร่วมกัน