บ่ายวันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบสอง เถียนต้าเป่าก็ย่ำหิมะที่ยังไม่ละลายทั้งหมดมาถึงบ้าน
“อาจารย์ อาจารย์หญิง ท่านแม่ข้าบอกว่าวันนี้บ้านข้ามีเซ่นไหว้บรรพชน ให้พวกท่านตามข้าไปกินข้าวกลางวัน พวกท่านไม่ต้องทำอาหารแล้ว หากไม่ไป หัวข้าคงโดนเขกแน่” รายงานคำสั่งกำชับกำชาของมารดาเขาเสร็จ เถียนต้าเป่าก็ยิ้มร่าลูบหัวเสี่ยวฉุน วิ่งไล่เล่นกับมันไปทั่วลานหน้าบ้านทางเหนือ
ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นดังนี้ก็ได้แต่ส่ายหน้า ยังบอกว่านิสัยเด็กน้อยสงบเสงี่ยมดีขึ้นไม่น้อยอีกหรือนี่ นางมองไม่ออกสักนิด ผู้ใดบ้างอายุจะสิบสามแล้วยังเล่นหัวเราะคิกคักไม่คิดอะไรอยู่เช่นนี้บ้าง
นางฮัมทำนองเพลงพื้นบ้านเมืองซูโจวขึ้นมาเบาๆ เช็ดห้องหนังสือไป เช็ดกระถางกล้วยไม้ซู่ซินหลัน เช็ดใบ จากนั้นยังรดน้ำชาที่ทิ้งค้างคืนลงไปอีกหลายช้อน พอมาถึงห้องครัวก็พบกับหลินซือเย่าที่เก็บผักจากลานทางใต้กลับมาพอดี
“อาเย่า ป้าเถียนให้ต้าเป่ามาตามพวกเราไปกินข้าวกลางวันที่บ้านพวกเขา บอกว่าตอนเที่ยงเซ่นไหว้บรรพชน” ซูสุ่ยเลี่ยนพูดไปก็ยื่นมือรับกะละมังไม้ที่เต็มไปด้วยผักกาดขาวขนาดต่างๆ จากมือเขา เอาไปวางไว้ในมุมหนึ่งในห้องครัว ผักกาดขาวกะละมังใหญ่ขนาดนี้กินได้สองวันทีเดียว
“เจ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป” เขาอย่างไรก็ได้ หลินซือเย่าเดินมาหน้าที่ตั้งกะละมังล้างหน้า ตักน้ำที่ต้มสุกแล้วยังเหลืออยู่บนเตามาล้างสองมือก่อนจะลูบหน้าไปด้วย
“ทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน!” พอซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็หันไปถลึงตาใส่เขา “หรือว่าเที่ยงพรุ่งนี้ก็เชิญพวกเขามากินข้าวกับเราสักมื้อ? อย่างไรกินของพวกเขาอย่างเดียวคงไม่ดี” เพียงแต่พอหันไปดูโต๊ะสี่เหลี่ยมที่บ้านแล้ว อย่างมากนั่งเบียดกันก็ได้แค่หกคน เก้าอี้ก็มีแค่หกตัวด้วยเช่นกัน
“รอฤดูใบไม้ผลิ พวกเราเชิญพวกเขาไปกินที่ร้านอาหารสักมื้อ” เขาคิดเรียบร้อยแล้ว กะว่าวันเกิดนางวันนั้นตอนเที่ยงไปร้านอู่ชิ่นไจจองห้องชั้นบน เชิญบ้านเหลากับบ้านเถียนและเพื่อนๆ นางมาร่วมกันอวยพรวันเกิดให้นาง ส่วนค่ำนั้นนางก็ย่อมเป็นของเขาคนเดียว ผู้ใดก็ห้ามมาแย่งไป
“ได้” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า ไม่มีความเห็น
ตั้งแต่มาถึงเมืองฝานฮัว ไม่ว่าวันย้ายบ้านหรือวันแต่งงาน ชาวบ้านในเมืองฝานฮัวเกินครึ่งได้ให้ความช่วยเหลือและอวยพรพวกเขาอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านเหลาและบ้านเถียนสองบ้านนี้ ปกติยังมาที่บ้านคอยแนะนำดูแลนางและเขาไม่น้อย บ้านหลังน้อยของพวกเขารุ่งเรืองสมบูรณ์ดีอย่างตอนนี้ได้ย่อมไม่อาจไม่กล่าวถึงการดูแลจากเพื่อนบ้านเหล่านี้
นี่คือชาวบ้านธรรมดาและมีน้ำใจ ซูสุ่ยเลี่ยนคิดถึงตรงนี้ก็อดยิ้มไม่ได้
แน่นอน ในเรื่องเหล่านี้ย่อมขาดตัวละครอย่างนางตระกูลฮัวไปไม่ได้ ขี้งกขี้เหนียว มีแต่เข้าไม่มีออก
โชคดีบ้านพวกเขาตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้สุดของเมืองฝานฮัว ใกล้กับบ้านป้าเหลาและบ้านตระกูลเหวินราวหนึ่งลี้ได้ นับประสาอันใดกับยังต้องผ่านบรรดาหญิงที่ยากรับมือพวกนั้นอีก แม้พวกนางมีใจคิดมาหาเรื่องถึงที่ ก็ต้องใช้เวลาครึ่งชั่วยามกว่าจะเดินทางไปกลับกระมัง
ดังนั้นซูสุ่ยเลี่ยนแอบลอบยิ้มไม่ได้ นางกับอาเย่าตัดสินใจเลือกบ้านเก่าของผู้ใหญ่บ้านหลังนี้ถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด อย่างน้อยก็ห่างจากหญิงร้ายกาจที่ทำให้นางไม่สบายใจ
……
“โอย บอกให้พวกเจ้าไม่ต้องติดเตา ตามต้าเป่ามากินอาหารสักมื้อก็พอ ทำไมต้องนำของพวกนี้มาด้วย!” นางเถียนรับห่อกุ้งแห้งที่เพิ่งทำเสร็จจากมือซูสุ่ยเลี่ยน ส่งเสียงร้องโวยวาย
“ทุกครั้งก็มารบกวนพวกท่าน ก็รู้สึกเกรงใจมากแล้ว หากยังมามือเปล่าอีก ใช่ว่ายิ่งเกรงใจเข้าไปใหญ่หรือ?!” ซูสุ่ยเลี่ยนเริ่มเรียนรู้การพูดจากแบบนางเหลาที่แต่ไรมาพูดไปก็ยิ้มรับคำไป
“นังหนูนี่ถูกอาเย่าเจ้าเอาใจจนพูดจาเป็นแล้วนะเนี่ย เอาละ พูดสู้เจ้าไม่ได้ ข้าก็รับไว้ละ เดี๋ยวขากลับ เอาเหล้าเกาเหลียงที่บ้านแม่ข้าหมักมาไปด้วย นั่นน่ะเหมาะสำหรับไว้ดื่มปีใหม่ที่สุด” นางเถียนหัวเราะคิกคักเอาห่อกุ้งแห้งไปเก็บในตู้ที่ห้องครัว หันกลับมากวักมือเรียกหลินซือเย่ากับซูสุ่ยเลี่ยนไปนั่งที่โต๊ะ
ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าเข้าไปนั่งพลางทักทายสองปู่ย่าตระกูลเถียนที่นั่งอยู่ก่อนอย่างนอบน้อมเกรงใจ นั่งลงบนเก้าอี้ที่นางเถียนจงใจเหลือไว้ให้พวกเขาสองตัว
“มา มา มา ไม่ต้องเกรงใจ ในเมื่อพวกเจ้าเป็นอาจารย์และอาจารย์หญิงต้าเป่า ก็ไม่ใช่คนนอก ข้าเองไม่รู้ว่าพวกเจ้าชอบกินอะไร คีบเอาเองละกันนะ ได้ไหม?”
“ได้ ป้าเถียนนั่งเถอะ พวกเราดูแลตัวเอง ใช่แล้ว ทำไมไม่เห็นต้านิว?” ซูสุ่ยเลี่ยนมองไปรอบๆ กลับไม่เห็นเถียนนิว จึงถามอย่างแปลกใจ
“ต้านิว เจ้าอยู่ในห้องทำไมอีก พี่สุ่ยเลี่ยนเจ้ามาแล้วนะ” นางเถียนตะโกนไปทางห้องของเถียนนิว หันกลับมาอธิบายกับพวกซูสุ่ยเลี่ยนว่า “นังหนูข้าเมื่อวานมาพูดเอาแต่ใจ อยู่ๆ บอกว่าจะถอนหมั้น เจ้าว่าเด็กนี่ควรตำหนิไหม หมั้นหมายก็หมั้นแล้ว ของหมั้นเราก็รับแล้ว ปีหน้าเตรียมแต่งแล้ว จะบอกว่าจะถอนก็ถอนได้หรือ หากแพร่ออกไป มันใช้ได้หรือ?!” นางเถียนเดิมกำลังอัดอั้นกับการกระทำโง่เขลาของเถียนนิว พอซูสุ่ยเลี่ยนถามถึง นางก็พูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาหมด
“อ๋า? คือ…” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็อึ้งไป หันไปสบตากับหลินซือเย่า ไม่รู้ควรพูดต่ออย่างไรจึงจะเหมาะสม
“ทำไมถอนไม่ได้! ทำไมถอนไม่ได้กัน!” ไม่คาดคิดว่าในยามนั้นเอง เถียนนิวก็โดดออกมาจากห้องนอนทันที ขยี้ขอบตาแดงก่ำ เหมือนบ่นไม่พอใจเบาๆ ว่า “เสี่ยวฟางบอกว่า เจ้าไหลโหย่วหมิงนั่นมีอะไรกับแม่หม้ายในหมู่บ้านเดียวกัน ข้าไม่เอาเขาหรอก ไม่เอาๆ” โมโหตวาดลั่นจบก็ผลุบกลับเข้าห้องนอนอีกพร้อมกับปิดประตูดังปัง ทิ้งให้คนที่เหลือได้แต่สบตากัน
“อย่างนั้นก็ยกเลิกละกัน จะมีอะไรนักหนา” เถียนต้าเป่ากล่าวขึ้นอย่างไม่ยี่หระทำลายความเงียบบนโต๊ะอาหาร
“เจ้าเด็กบ้าว่าอะไรน่ะ!” นางเถียนได้ยินก็โมโหยกตะเกียบเขกกะโหลกเขาทีหนึ่ง “อย่าพูดจาเหลวไหล พี่สาวเจ้าจะถอนหมั้น ครั้งหน้าเจ้าจะไปสู่ขอจะง่ายหรือ? โอย?!” นางโมโหจริงๆ แล้ว
“คือว่า…ป้าเถียน…” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นดังนี้ก็แอบตบแขนปลอบนางเถียน เอ่ยปลอบใจว่า “ขออภัยที่ข้ากล่าวตามตรง ข้าคิดว่าคำพูดของต้านิวก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผล ทำไมไม่ลองไตร่ตรองดูก่อน หากเป็นดังที่นางว่ามาจริงจะทำเช่นไร เช่นนั้นต้านิวแต่งไปใช่ว่าลำบากนางหรือ”
นางเถียนได้ฟังก็รู้สึกว่ามีเหตุผล! เมื่อคืนวานถูกเถียนนิวพูดใส่ว่า ไม่แต่ง ทำเอาโมโหจนมึนไปหมด จึงไม่ได้ไตร่ตรองให้มาก รู้แต่ตนเองรับสินสอดเขามาสิบห้าตำลึงแล้ว หากถอนหมั้น ไม่เพียงคืนแค่สิบห้าตำลึง ยังต้องแถมชื่อเสียงของต้านิวไปด้วย และยังกระทบกับการแต่งงานวันหน้าของต้าเป่าอีกด้วย แต่ว่าหากเจ้าหนุ่มนั่นมีอะไรกับแม่หม้ายในหมู่บ้านจริง ลูกสาวตนเองแต่งไป ช้าเร็วก็ย่อมเกิดเรื่อง ถึงตอนนั้นลำบากลูกสาวตนไม่ว่า แม้แต่ชื่อเสียงตระกูลตนเองก็คงเสื่อมเสียไม่แพ้กัน
“นังหนูสุ่ยพูดได้ถูกต้อง พรุ่งนี้เช้าข้าไปเมืองชิงเทียนสอบถามดู กลับมาค่อยว่ากัน” ตอนนางเถียนกำลังเหม่อคิด เถียนต้าฟู่ที่เอาแต่เงียบก็พูดขึ้น เรื่องแต่งงานบุตรสาวเป็นกำหนดหมั้นหมายที่ตอนเขาเองทำงานช่างไม้อยู่ที่เมืองชิงเทียนตอนนั้น หากมีเรื่องนี้จริง ก็ควรสืบให้กระจ่างดีกว่า จะได้ยืดอกผ่าเผยไปถอนหมั้นให้เป็นเรื่องเป็นราวที่ตระกูลนั้นไปเลย
สองปู่ย่าตระกูลเถียนพยักหน้ายอมรับ พวกเขารู้ว่าสะใภ้ตนเองซึ่งก็คือนางเถียนผู้นี้มีความสามารถก็จริง แต่นิสัยตรงไปตรงมาเกินไป ไม่รู้จักพลิกแพลง แต่สองปู่ย่าตระกูลเถียนรู้นิสัยสะใภ้ดี แต่ไรมามากสุดก็พยักหน้า ไม่ก็ส่ายหน้า จะได้ไม่ทำให้เป้าหมายเบนมาที่พวกเขาแทน
“แต่ว่าพรุ่งนี้…เอ่อ อย่างนั้นเจ้าก็รอบคอบหน่อย อย่าให้คนรู้จักเรารู้เรื่องนี้ก็พอ” นางเถียนเดิมคิดจะบอกว่าเลยปีใหม่ค่อยไป แต่เกิดหากว่าจริง เรื่องนี้ก็รอช้าไม่ได้ ดังนั้นได้แต่กำชับเถียนต้าฟู่ไปอย่างไม่ค่อยวางใจ ก่อนจะหันไปต้อนรับพวกซูสุ่ยเลี่ยนต่อ
“ขายหน้าพวกเจ้าสองคนแล้ว เถียนนิวปกติเป็นคนซื่อ ไหนเลยจะเคยดื้อดึงเช่นนี้ ทำเอาข้าเองก็จนใจ” นางเถียนคีบน่องไก่ย่างวางใส่จานแบ่งตรงหน้าซูสุ่ยเลี่ยน ยังคีบปีกอีกชิ้นให้หลินซือเย่า “รีบกิน เย็นแล้วไม่อร่อย วันนี้อย่างไรก็เหมือนฉลองปีใหม่เล็ก[1] พวกเราสองครอบครัวก็ถือว่าฉลองวันสิ้นปีล่วงหน้าละกัน”
“ป้าเถียน ข้าไปตามต้านิวดู ให้นางออกมากินข้าวกัน” ซูสุ่ยเลี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยเสนอกับนางเถียน ในเมื่อถือเป็นฉลองปีใหม่เล็ก ไม่มีเหตุผลที่จะไม่พร้อมหน้ากัน นับประสาอันใดกับการที่พอคิดว่าในใจเด็กสาวต้องทุกข์ใจเป็นแน่
“อย่างนั้น…เจ้าไปลองดู…กลัวแต่นางจะระบายอารมณ์ใส่เจ้า…” นางเถียนเองก็คิดถึงจิตใจลูกสาวอยู่ เพียงแต่เห็นท่าทางดื้อดึงของนางเมื่อครู่แล้วก็โมโหไม่หาย และก็ไม่อาจทำใจเข้าไปตามนางในห้องได้ ดังนั้นพอได้ยินซูสุ่ยเลี่ยนเสนอเช่นนี้ก็ย่อมดีใจมาก
“ไม่หรอก” ซูสุ่ยเลี่ยนส่ายหน้าลุกขึ้นเดินไปที่ห้องเถียนนิว
“พี่สุ่ยเลี่ยน พี่ไม่รู้ ตอนข้าได้ยินเสี่ยวฟางเล่าเรื่องนี้ ในใจไม่รู้เสียใจมากมายเท่าไร” เถียนนิวนอนคว่ำอยู่บนผ้าห่ม น้ำเสียงไม่พอใจกล่าวอธิบายกับซูสุ่ยเลี่ยน
“ข้าพอเข้าใจได้” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า นั่งลงบนขอบเตียงนาง ตบบ่าปลอบใจนางกล่าวว่า “ผู้หญิงทุกคนล้วนหวังว่าตนจะได้รับความรักเพียงหนึ่งเดียว”
“ใช่ แต่ว่าเจ้าไหลโหย่วหมิงนั่นเห็นดูซื่อๆ มีความสามารถดี ไปข้องเกี่ยวกับแม่หม้ายได้อย่างไร” เถียนนิวสูดจมูกเงยหน้าขึ้นเหลือบมองซูสุ่ยเลี่ยนอย่างอับอาย แต่เห็นนางไม่ได้มีวี่แววว่าจะหัวเราะตน ก็เปิดเผยความในใจออกมา เริ่มพูดคุยกับซูสุ่ยเลี่ยนถึงเจ้าหมอนั่นแห่งเมืองชิงเทียน
ไหลโหย่วหมิงนั่น นางเคยพบมาสองครั้ง แน่นอนล้วนหลังจากหมั้นหมาย ครั้งแรกก็ต้นปีตอนเทศกาลบัวลอย เมืองชิงเทียนเชิญคณะงิ้วมาแสดง นางพาต้าเป่าไปดูงิ้ว เขามาต้อนรับนางและน้องชาย อีกครั้งก็คือวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด สองคนกับคู่รักอีกสามคู่ในเมืองเที่ยวด้วยกัน ได้รับเชิญเข้าไปดูขบวนแห่เซียนในเมืองตอนกลางคืนกัน แม้ว่าตลอดทางสองคนแทบจะไม่มีโอกาสได้คุยกันเท่าไร แต่ในใจนั้นหวานล้ำเพิ่มขึ้นทวีคูณ
แต่เมื่อวานเพื่อนเล่นวัยเด็กที่แถวบ้านยายชื่อว่าหลิวเสี่ยวฟางกลับได้ยินเรื่องน่าอับอายเช่นนี้แล้วเอามาเล่าใส่หน้านาง นางได้แต่ทนระงับความอับอายกลับบ้าน จึงได้ฮึดใจกล้ามาเอ่ยถอนหมั้นกับมารดานาง
“ทุกอย่างยังไม่ได้กระจ่างชัด ผู้ใดก็ตัดสินอะไรไม่ได้ บิดาเจ้าบอกแล้วว่าพรุ่งนี้จะไปเมืองชิงเทียนลองสอบถามดู หากเป็นจริง คิดว่าก็คงทำตามใจเจ้านั่นแหละ” ซูสุ่ยเลี่ยนปลอบนางไปดึงนางลุกขึ้นไปพลาง ลากนางออกไปห้องโถงด้านนอก
“นั่งลงกินข้าวกันก่อน คิดว่าอาหารเย็นเมื่อวานกับอาหารเช้าก็คงไม่ได้กินล่ะสินะ” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มมองเถียนนิว “เด็กโง่ มีเรื่องอะไรก็คุยพ่อแม่เจ้าดีๆ ครอบครัวเดียวกัน ทำไมต้องใส่อารมณ์กันด้วย”
“พี่สุ่ยเลี่ยน…” เถียนนิวแอบนึกอายก้มหน้าลง ในใจคิดว่าซูสุ่ยเลี่ยนโตกว่าตนแค่ปีเดียว แต่กลับไม่วู่วามเหมือนตน ดังนั้นพอคิดถึงก่อนหน้าที่ตะโกนอย่างไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ก็รู้สึกละอายใจขึ้นมายิ่งขึ้น ก้มหน้าลงปล่อยให้ซูสุ่ยเลี่ยนลากนางออกไปที่โถง นั่งลงระหว่างนางเถียนกับซูสุ่ยเลี่ยน
“เอาละ กินข้าวก่อนเถอะ ดูสิอาหารเย็นหมดแล้ว” นางเถียนไม่ได้พูดมากต่อ คีบปลานึ่งชิ้นหนึ่งที่บุตรสาวชอบกินส่งใส่ชามนาง
อาหารมื้อหนึ่งจบลงอย่างราบรื่น
—————————–
[1] ในช่วงราววันที่ 23-24 ตามปฏิทินจันทรคติของจีน เป็นช่วงวันส่งเทพแห่งเตาขึ้นสวรรค์ไปรายงานความดีของมนุษย์ ก่อนจะไหว้รับกลับหลังปีใหม่