บทที่ 2 ฉันก็แค่อยากจะเช็คต้นขานายก็เท่านั้นเอง!
“เด็กน้อย เธอควรจะรีบกลับไปเข้าเรียนได้แล้วนะ” หลังจากที่โดนยื้อยุดฉุดกระชากอยู่พักใหญ่ ชายหนุ่มก็ตัดสินใจที่จะพูดกับเจ้าเด็กแสบคนนี้อย่างจริงจัง
“ฝูซิงไม่ไป! ฝูซิงจะไม่ไปไหนทั้งนั้นจนกว่าลุงหานจะยอมตกลง!” หัวทุยเล็กของเด็กน้อยส่ายอย่างรวดเร็วแทนคำปฏิเสธที่จะไม่ไปไหน
ในตอนนั้นเอง ขณะที่ทั้งสองคนกำลังฉุดยื้อกันไปมา หญิงสาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น ทว่าสิ่งแรกที่เธอทำนั้นไม่ใช่การเข้าไปห้ามปราม แต่เป็นหมัดตรงจากร่างบางที่ซัดเข้าไปที่ร่างของชายหนุ่ม พร้อมทั้งแข้งขาที่ประเคนเข้าใส่ประดุจสรรพพาวุธ “ไอ้บ้าเอ๊ย! กล้าดียังไงมาลักพาตัวลูกชายของฉัน! ไอ้พวกค้ามนุษย์!!”
ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เธอคือฝูเจิ้งเจิ้งที่รีบลงมาจากอาคารด้านบนเพื่อจะไปตามหาลูกชายที่ทางโรงเรียนอนุบาลแจ้งว่าไม่ได้เข้าเรียนนั่นเอง แม้ตอนแรกเธอจะมืดแปดด้านเพราะไม่รู้ว่าจะตามหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนจากที่ไหน
แต่เหมือนฟ้าจะไม่ได้ส่งแต่ปัญหามาให้เธอเพียงอย่างเดียว เพราะเพียงแค่ลงจากลิฟต์มา ฝูเจิ้งเจิ้งก็ได้พบกับลูกชายของตนเองกำลังอยู่กับชายหนุ่มอีกคนทันที
“หม่ามี๊! หยุดก่อน! ลุงคนนี้ไม่ใช่คนไม่ดีนะครับ! เขาเป็นป๊ะป๋า!” เด็กชายรีบห้ามคุณแม่ของเขาทันที
“หา?”
เพราะก่อนหน้านี้หญิงสาวประเคนทั้งหมัดและลูกเตะเข้าใส่ผู้ที่เธอคิดว่าเป็นพวกค้ามนุษย์อย่างเต็มที่ เลยกลายเป็นว่าสิ่งที่ฝูซิงพูดนั้นทำเอาเธอชะงักค้างไปกลางอากาศ ครั้นเมื่อคิดจะชักขากลับมาก็ดูท่าจะสายไปแล้ว
ร่างบางของหญิงสาวเอนเข้าใส่หานซือฉีอันเนื่องมาจากส้นสูงเจ้ากรรมเกิดการเสียศูนย์ขึ้นมาจนยากที่จะยั้งตัวหลบไปทางอื่น
หานซือฉีที่ต้องรับร่างของหญิงสาวเข้ามาเองก็ไม่สามารถยืนตัวตรงได้ดังเดิมเช่นกัน เขาล้มตามแรงปะทะลงไปบนฝากระโปรงรถ พร้อมกันนั้นริมฝีปากบางนุ่มนวลก็ประกบเข้ากับปากของเขาโดยไม่ได้ตั้งตัว
น-นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?
สีหน้าของหญิงสาวแสดงออกชัดเจนว่าตกตะลึงขนาดไหน
ในขณะที่ทั้งสองกำลังตกอยู่ในภวังค์ ต่างคนต่างก็ตกใจ อีกหนึ่งร่างเล็กเองก็ตกตะลึงไม่ได้ต่างจากทั้งคู่เท่าไหร่
ฝูซิงตะโกนออกมาเสียงดัง “ลุงหานจูบหม่ามี๊! ลุงหานต้องรับผิดชอบหม่ามี๊กับฝูซิง!”
คำพูดของฝูซิงทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มได้สติ ใบหน้าของเธอก็แดงซ่านขึ้นมาทันที เธอรีบผละตัวออกจากร่างหนาของชายหนุ่มที่อยู่เบื้องล่างพร้อม ๆ กับเช็ดริมฝีปากของตนเองที่เพิ่งประกบกับคนตรงหน้าไปเมื่อครู่ด้วยแขนเสื้อของเธอ
ทางฝ่ายหานซือฉีก็พูดแย้งขึ้น “เฮ้ย ๆ เจ้าหนู คนที่โดนจูบน่ะมันฉัน เพราะงั้นคนที่ต้องรับผิดชอบน่ะแม่เธอต่างหาก ไม่ใช่ฉัน”
“รับผิดชอบงั้นเหรอ นายมั—” ก่อนที่คำว่า ‘ไอ้เวร’ จะหลุดออกมาในท้ายประโยค ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกถึงความทรงจำเก่า ๆ บางอย่างขึ้นมาได้ เป็นภาพของชายหนุ่มตรงหน้าเธอกำลังซ้อนทับกับชายที่อยู่ในความทรงจำของเธอมาตลอด มันค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาทีละนิดจนกระทั่งกลายเป็นคนเดียวกันในที่สุด
“นายคือ เหนียนซี่ งั้นเหรอ?” สองมือที่สั่นเทาของฝูเจิ้งเจิ้งเอื้อมเข้าสัมผัสแก้มของหานซือฉีอย่างตกตะลึง น้ำเสียงของเธอสั่นเครือไม่ต่างจากมือของเธอเช่นกัน
ฝูซิงที่ได้ยินดังนั้นก็รีบกระตุกแขนเสื้อถามผู้เป็นแม่ทันที “หม่ามี๊รู้จักคุณลุงหานด้วยเหรอ?”
ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากเธอ เพราะตอนนี้ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังพยายามยืนยันว่าเธอจำเขาได้ เธอจำคนไม่ผิดอย่างแน่นอน “เหนียนซี่ จำฉันได้หรือเปล่า? ที่ห้องวันนั้นน่ะนายยังจำได้ไหม?”
“…” หานซือฉีเองก็ไม่ได้ตอบอะไร เขาเองก็เหมือนจะกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ในขณะที่เหลือบมองไปทางหญิงสาวที่พูดเป็นเรื่องเป็นราว
ไม่ต่างอะไรกับฝูซิงที่ยังคงพยายามถามแม่ของเขาด้วยความร้อนใจ “หม่ามี๊ ที่ห้องอะไรกันน่ะ?”
ในเมื่อโอกาสไม่ได้มาบ่อย ๆ เหมือนบิลค่าไฟ ฝูเจิ้งเจิ้งจึงตัดสินใจจัดการกับลูกชายตัวป่วนของเธอก่อน ปลายนิ้วเรียวชี้ไปยังมุมหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากสายตานักพร้อมกับเอ่ยเป็นเชิงคำสั่งกับฝูซิง “ฝูซิง ลูกไปเล่นตรงนั้นก่อนนะ”
“ง่ะ …ฮึ่ม!” เด็กน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นก็แสดงสีหน้าผิดหวังขึ้นมา แต่เพราะตัวเขานั้นเป็นเพียงเด็กน้อย แล้วยิ่งคนที่สั่งก็คือผู้เป็นแม่อีก คำสั่งที่เหมือนประกาศิต จะขัดก็ไม่ได้ ร่างเล็กจึงเดินแก้มป่องต้อย ๆ ไปยังมุมดังกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากแน่ใจว่าลูกชายของตนเดินไปยังจุดที่บอกแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็หันกลับมาหาเป้าหมายเดิมของเธอเพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวที่ได้บอกเขาก่อนหน้านี้ “นายจำอะไรได้บ้างหรือเปล่า?”
“โฮ่ จำได้สิ ฉันคือรักแรกของเธอ และเด็กคนนั้นก็คงเป็นลูกชายของฉันด้วยสินะ?” หานซือฉีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ เขายุ่งอยู่กับการปัดฝุ่นที่เลอะเสื้อผ้าจากเมื่อครั้งโดนชนล้มไปบนฝากระโปรงรถ พร้อมกับคิดว่าเขาจะต้องหาเวลาเข้าคาร์แคร์บ้างแล้ว
แววตาของชายหนุ่มเหลือบมองไปยังเด็กน้อยที่เล่นอยู่อีกมุมด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างหน่ายใจ “มุขเดิม ๆ แต่ขอชื่นชมในความกล้าที่จะงัดลูกเล่นแบบนี้มาใช้นะ”
หญิงสาวงุนงงกับคำพูดของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็ตัดสินใจเปิดประตูรถพร้อมผลักหานซือฉีเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ ๆๆ!” หานซือฉีถูกเปิดฉากรุกก่อนโดยไม่ได้ตั้งตัวอีกครั้ง เขาล้มลงไปนั่งบนเบาะภายในรถอย่างง่ายดายโดยไม่ทันได้ขัดขืน
เมื่อเห็นว่าเป้าหมายล้มเข้าไปในรถแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบกระโจนตามเข้าไปพร้อมปิดประตูล็อกไว้อย่างรวดเร็วหน้าตาเฉย หญิงสาวขึ้นคร่อมร่างของชายหนุ่มเอาไว้โดยไม่รอช้า เธอเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดของเขาด้วยความว่องไว
หานซือฉีไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งชีวิตเขาจะต้องมาโดนผู้หญิงเริ่มเกมรุกก่อนเช่นนี้ ตามสัญชาตญาณของความตกใจ เขารีบคว้ามือของเธอจับไว้แน่นเพื่อไม่ให้มันเลยเถิดไปมากกว่านี้
“เธอไปหิวโหยมาจากไหน?” เขารีบเอ่ยทัดทานหญิงสาวทันที สมองของหานซือฉีคิดหาเหตุผลของการกระทำของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว และก็เหมือนจะเข้าใจ
เมื่อคิดได้ดังนั้นเจ้าของมือหนาที่กอบกุมมือของคนตัวเล็กเอาไว้ก็รั้งร่างของเธอเข้ามาแนบชิดกันจนไม่ช่องว่าง เขาใช้จังหวะนี้พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างบางเพื่อให้หญิงสาวอยู่ใต้อานัติของเขาพร้อมกับโน้มตัวลงไป เจตนาตั้งใจจะสานต่อเกมรุกที่เธอเป็นคนเริ่มเอาไว้
“ด-เดี๋ยวก่อน ม-ไม่ใช่แบบนั้นนะนายเข้าใจผิดแล้ว!” ฝูเจิ้งเจิ้งหายใจติดขัด ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจากการกระทำของคนตรงหน้า เขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจนเธอไม่อาจควบคุมอารมณ์ตื่นตระหนกเพื่ออธิบายจุดประสงค์ของเธอได้อย่างชัดเจน
ทันทีที่ได้ยินสาวงามตรงหน้าบอกเช่นนั้น หานซือฉีก็หยุดการกระทำของตน แม้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเขาและเธอจะอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่กระชั้นของหญิงสาวเพราะความตื่นกลัว
เมื่อรู้ว่าเธอไม่ได้ต้องการแบบนั้น เขาจึงค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างคนขี้เล่นก่อนจะพูดต่อ “เป็นสาวเป็นนางอย่ามือไวให้มากนักสิ”
ใบหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งแดงแจ๋ทันที เธอหลับตาแน่นแล้วพยายามข่มใจให้นิ่งเพื่อจะได้อธิบายให้เขาเข้าใจ “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้จะทำอย่างที่นายคิด! ฉันก็แค่จะเช็คดูต้นขาของนายเท่านั้นเอง!”
แววตาคู่เดิมหรี่มองหญิงสาวตรงหน้าราวกับเสือร้ายที่จ้องมองเหยื่อตัวน้อย ยิ่งเธอปากแข็งมันก็ยิ่งทำให้เขาสนใจเธอมาก “โอ้? งั้นเหรอ แล้วอยากจะเช็คแบบไหนล่ะ?”