ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪] – บทที่ 35 เขาไม่ใช่ป๊ะป๋าของลูกนะ!

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

บทที่ 35 เขาไม่ใช่ป๊ะป๋าของลูกนะ!

ฝูเจิ้งเจิ้งรีบพาลูกชายของตนกลับเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ค่อย ๆ ย่องเบาออกมาเพื่อแอบฟังบทสนทนาเบื้องล่างอย่างใจจดใจจ่อ

“แกปิดโทรศัพท์ทำไม?” เสียงของหานซือเซียนเอ่ยถามถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

“มันรบกวนผมนี่”

“รบกวนงั้นเหรอ? เพราะแกสัญญากับฉันแล้ว ไม่งั้นฉันคงจะไม่โทรมารบกวนแกด้วยซ้ำ” ในตอนนี้หานซือเซียนดูเดือดดาลสุด ๆ

“ก็บอกแล้วว่าไม่ว่างพรุ่งนี้”

“แกต้องไปกับฉันพรุ่งนี้!”

“ไว้เดี๋ยวเสร็จงานแล้วค่อยไปเจอก็ได้”หานซือฉียังคงดื้อดึง

“ซือฉี…” ขณะที่หานซือเซียนเตรียมที่จะพูดอะไรบางอย่าง จู่ ๆ โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมา

“หา? ได้ เข้าใจแล้ว ฉันจะรีบไป” น้ำเสียงของหานซือเซียนนั้นเปลี่ยนไปในทันทีและหลังจากวางโทรศัพท์เขาก็รีบออกจากที่นี่ไปทันที

“เกิดอะไรขึ้นน่ะพี่?” หานซือฉีเองก็ตามพี่ชายของตนออกมาด้วย

“พี่สะใภ้ของแกโทรมาแล้วบอกว่า…” เสียงนั้นค่อย ๆ ไกลห่างออกไปเรื่อย ๆ จนท้ายสุดมันก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงปิดประตู

หญิงสาวที่เห็นว่าทั้งสองออกนอกบ้านไปแล้วก็รีบวิ่งตามออกไปดูที่ระเบียงด้านนอกทันที แล้วเธอก็พบว่าหานซือฉีนั้นขึ้นรถของหานซือเซียนและออกไปด้วยกันเรียบร้อยแล้ว

ทำไมถึงรีบออกไปกันขนาดนั้นน่ะ? เกิดอะไรขึ้นกัน?

เธอรู้สึกงุนงงเล็กน้อย

หลังจากที่ทำความสะอาดโต๊ะอาหารเสร็จรวมไปถึงทำความสะอาดห้องครัวหมดแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่าหานซือฉีนั้นลืมโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะอาหาร เธอได้โอกาสจึงคว้ามันขึ้นมาหมายจะเช็คดู

ขอส่องหน่อยน๊า~

ทว่าแม้จะเปิดโทรศัพท์แล้ว แต่หน้าจอนั้นก็ถูกล็อกด้วยรหัสอีกชั้นหนึ่งที่ไม่ว่าจะเดาอย่างไรก็เดาไม่ออก และถ้าขืนเดามากกว่านี้ เธออาจจะทำให้เครื่องของหานซือฉีล็อกตัวเองไปเลยก็ได้ ในท้ายที่สุดหญิงสาวก็ถอดใจและนำมันไปวางที่หัวเตียงของเขาแทน

เมื่อ​กลับมายังห้องของตน ร่างบางทิ้งตัวลงไปบนเตียงในขณะที่ภายในหัวก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาในวันนี้ด้วย ว่าแต่…ทำไมหานซือเซียนถึงยังไม่ไปจากเมือง B อีกนะ

ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ ฝูเจิ้งเจิ้งลุกขึ้นมาอีกครั้ง เธอหายเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับโทรศัพท์เครื่องเล็ก จากนั้นก็ใช้มันส่งข้อความหาหยางเต๋าเพื่อรายงานว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างวันนี้

เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็กลับไปทิ้งตัวลงบนเตียงอยู่อีกพักใหญ่ ๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด

“หม่ามี๊! หม่ามี๊ สายแล้ว!” ฝูซิงกำลังร้องโวยวายขณะที่นั่งทับอยู่บนตัวของฝูเจิ้งเจิ้งพร้อมกับเขย่าหน้าเธอไปด้วย

ฝูเจิ้งเจิ้งค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาด้วยความงัวเงียเธอหาวก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเกียจคร้าน

เจ้าตัวเล็กกลับมาอีกครั้งพร้อมดึงเสื้อของเธอไปมาสลับกับพูดด้วยความตื่นตระหนก “หม่ามี๊ ฝูซิงหาป๊ะป๋าไม่เจอตั้งแต่เช้าแล้ว!”

คำพูดนี้ทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งตื่นในทันที นี่เขายังไม่กลับมาตั้งแต่เมื่อคืนงั้นเหรอ?

“ลูกไปหาในห้องของเขาหรือยัง?”

“หาแล้ว ฝูซิงหาทุกที่เลย แถมยังถามลุงยามแล้วด้วย แต่เขาก็ไม่เห็นเหมือนกัน” ฝูซิงเป็นกังวลขึ้นมาอีกนิดหน่อย “ป๊ะป๋าสัญญากับฝูซิงแล้วว่าจะไปร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนแท้ ๆ!”

“ไม่เอาน่า ลูกก็ยังเหลือหม่ามี๊ไง ใช่ว่าจะไม่เหลือใครแล้วสักหน่อย” หลังจากปลุกตัวเองให้ตื่นและจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ฝูเจิ้งเจิ้งก็เดินนำฝูซิงลงบันไดไปด้วยของต่าง ๆ มากมายในมือ

แต่ก่อนจะตามลงไป ฝูซิงก็วิ่งไปดูในห้องของหานซือฉีอีกครั้งพร้อมกับทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ

“นี่ ป๊ะป๋าของลูกอาจจะตามพวกเราไปทีหลังก่อนเริ่มงานก็ได้นะ” หญิงสาวพยายามปลอบเด็กน้อยที่กำลังทุกข์ใจ เพราะยังไงเธอเองก็ทนเห็นลูกรักของตนแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมาไม่ได้ จริง ๆ ตัวเธอเองก็ไม่มั่นใจหรอกว่าสุดท้าย​แล้วหานซือฉีจะมาหรือไม่ แต่อย่างน้อย เธอก็ไม่อยากจะให้ฝูซิงต้องทุกข์ใจไปเรื่อย ๆ แบบนี้

หลังจากที่ทานข้าวเช้ากันเสร็จแล้ว ทั้งสองก็พากันไปโรงเรียนอนุบาลตามปกติ

โรงเรียนอนุบาลในวันนี้เต็มไปด้วยลูกบอลหลากสีมากมาย รวมไปถึงป้ายแขวนขนาดใหญ่ที่แสดงข้อความยินดีต้อนรับ ถนนที่หน้าโรงเรียนเองก็เต็มไปด้วยรถยนต์​ เหล่าผู้ปกครองต่างพากันมาพร้อมกับลูก ๆ ของพวกเขาเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมอย่างคึกคัก

เด็กคนอื่น ๆ ต่างยิ้มแย้มแจ่มใสเปี่ยมไปด้วยความสุข กลับกัน ฝูซิงที่กำลังวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กน้อยไม่มีรอยยิ้มใด ๆ ผุดให้เห็นทั้งสิ้น

“หม่ามี๊ ป๊ะป๋าจะมาใช่ไหม?” ไม่รู้ว่านี่เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วที่เขาถามคำถามเช่นนี้ แต่ทุกครั้งที่ถาม น้ำเสียงของเด็กน้อยก็จะค่อย ๆ หมดหวังไปเรื่อย ๆ

“หม่ามี๊ก็คิดว่านะ” ลึก ๆ แล้วฝูเจิ้งเจิ้งเองก็ยังแอบหวังเช่นกัน เธอหันมองไปยังประตูทางเข้าเป็นระยะ ๆ แต่เธอก็ได้แต่ความผิดหวังกลับมา

หากต้องทนรอต่อไปโดยไม่รู้อะไรเลยเช่นนี้ มันคงจะไม่ดีต่อสุขภาพจิตของพวกเธอแม่ลูกแน่ ๆ เธอจึงรีบโทรไปหาหมินจงจู่เพื่อขอลางานก่อน แล้วตั้งใจจะถามถึงหานซือฉีด้วย

“ผู้จัดการหมินคะ ฉันจะโทรมาขอลาครึ่งวันน่ะค่ะ ฉันพยายามติดต่อไปทางคุณหานแล้วแต่ติดต่อไม่ได้เลย”

ทุกคนในบริษัทเว่ยหานนั้นรู้ดีว่าฝูเจิ้งเจิ้งถือว่าอยู่ในการว่าจ้างจากหานซือฉีโดยตรง ดังนั้นหากเป็นตามปกติ เธอจะต้องขอหานซือฉีหากจะลางาน

ทว่าคำตอบของทางหมินจงจู่นั้นก็ดูจะสิ้นหวังไม่แพ้กัน “หนูเจิ้ง ฉันเองก็กำลังตามหาตัวซือฉีอยู่เหมือนกัน นี่แสดงว่าพวกเราติดต่อเขากันไม่ได้ทั้งคู่เลยนะ”

หลังจากวางโทรศัพท์ไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เหลือบมาเห็นแววตาที่ดูคาดหวังของฝูซิงที่มองมายังตนเองอีกครั้ง และเมื่อฝูซิงเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งส่ายหน้าแทนคำตอบ แววตาของเขาก็หม่นหมองลงด้วยความผิดหวังหนักขึ้นกว่าเดิม เด็กน้อยนั่งเงียบ ๆ บนหินข้างประตูเหล็ก มือสองข้างก็เท้าคางอยู่ในท่าเหงาหงอยไปด้วย

“ฝูซิง อย่าเพิ่งเศร้าไปเลย บอกแล้วไงว่าลูกยังมีหม่ามี๊นะ” ถึงนี่มันจะไม่ใช่ความผิดของฝูเจิ้งเจิ้ง แต่การที่ไม่สามารถช่วยลูกชายของตนได้นั้นก็เหมือนเป็นตราบาปในใจเธออยู่เช่นกัน ในระหว่างที่รอ เธอจึงพยายามช่วยปลอบใจเขาไปเรื่อย ๆ ด้วย

“ซิงซิง การแข่งขันกำลังจะเริ่มแล้วนะคะ ทำไมถึงยังไม่เข้ามาล่ะ? แล้วป๊ะป๋า…” หลี่เสี่ยวเมิ่งเข้ามาหาทั้งสองเพื่อจะเชิญเข้าไปยังงานแข่งขัน เธอประหลาดใจเมื่อในวันนี้หานซือฉีไม่ได้มากับพวกเขาด้วย

ฝูเจิ้งเจิ้งได้แต่ยิ้มแล้วพยายายามพูดเพื่อช่วยให้ฝูซิงไม่ต้องกดดัน “ฝูซิงบอกว่าปวดหัวนิดหน่อยน่ะค่ะ เลยว่าจะให้เขาพักสักเดี๋ยว หากยังไงถ้าดีขึ้นแล้วจะรีบตามเข้าไปนะคะ”

ได้ยินเช่นนั้นหลี่เสี่ยวเมิ่งก็รีบวิ่งเข้ามาและสัมผัสหน้าผากของฝูซิงอย่างอ่อนโยนทันที “คุณแม่ของฝูซิงคะ เขาเป็นหวัดหรือเปล่า? ถ้ายังไงไปพบแพทย์สักหน่อยดีกว่าไหม?”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ต้องกังวล” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบยกมือห้ามแล้วส่ายหน้า

“อาจารย์หลี่ครับ มาช่วยผมทางนี้หน่อย” เหล่าครูที่กำลังง่วนอยู่กับงานต่าง ๆ ตะโกนเรียก ซึ่งหลี่เสี่ยวเมิ่งเองก็ได้แต่มองสองแม่ลูกด้วยความกังวลแล้วรีบวิ่งไปยังจุดที่มีคนเรียกเธออย่างรวดเร็ว

ฝูเจิ้งเจิ้งค่อย ๆ ย่อตัวลงไปตรงหน้าลูกชายของตน เธอจับแก้มของเขาไว้และฝืนยิ้มออกมา “ซิงซิง งานวันนี้น่ะ เด็ก ๆ หลายคนก็มากับผู้ปกครองคนเดียวนะ เพราะงั้นเราไปทำหน้าที่ของพวกเรากันดีกว่าเนอะ”

ทันใดนั้นเอง ฝูซิงก็พลันลุกขึ้นมาแล้วตะโกนโหวกเหวกเสียงดัง “ไม่! ฝูซิงอยากให้ป๊ะป๋ามาด้วย! ป๊ะป๋าบอกแล้วว่าป๊ะป๋าจะมากับฝูซิง!”

“ทำไมลูกกลายเป็นเด็กไม่มีเหตุผลแบบนี้ล่ะ? หม่ามี๊ก็สอนอยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่เหรอว่าให้ทำตัวยังไง?” หลังจากที่อดทนอดกลั้นปลอบใจเขามานาน ในที่สุดฝูเจิ้งเจิ้งก็เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว

“เพื่อนคนอื่นยังมากับป๊ะป๋าได้ แต่ทำไมฝูซิงถึงทำไมได้ล่ะ!” หยาดน้ำตาบนใบหน้าของเขาเอ่อคลอต้องแสงแดดจนเป็นประกาย เด็กน้อยแหงนหน้าขึ้นเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลออกมา

“ฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งทั้งโกรธแล้วก็ใจสลาย สุดท้าย​เธอก็ทำได้แค่โอบกอดลูกชายของตนไว้ในอ้อมแขน

จริง ๆ แล้วใช่ว่าโรงเรียนอนุบาลที่ฝูซิงเคยเรียนในเมือง A นั้นจะไม่มีอะไรแบบนี้ เพียงแค่ทุก ๆ ครั้ง ฝูเจิ้งเจิ้งจะพาพี่ชายของตนไปด้วยเพื่อไม่ให้ฝูซิงรู้สึกขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไป ซึ่งผลลัพธ์มันก็ออกมาดีทุกครั้ง

แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ พวกเธอได้แต่ตั้งความหวังโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ยิ่งหวังก็ยิ่งรู้สึกผิดหวัง ยิ่งคิดแล้วก็ได้แต่ยิ่งถอนหายใจ

เมื่อความผิดหวังเริ่มก่อตัวขึ้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง นั่นคือ หานซือฉีกำลังเข้ามามีผลกับวิถีชีวิตของพวกเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ไม่ได้การ เธอต้องรีบจัดการความสัมพันธ์แบบนี้ออกไปให้เร็วที่สุด ยังไงซะเดี๋ยวตนเองและฝูซิงก็ต้องจากเมือง B และหานซือฉีไปในอนาคตอันใกล้นี้ ต่อจากนี้พวกเธอจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เสียที

กริ๊ง…กริ๊ง…

“หม่ามี๊ โทรศัพท์หม่ามี๊ดัง” เสียงของฝูซิงที่เปี่ยมด้วยความหวังอันแรงกล้าดังแทรกเข้ามาในหัวของฝูเจิ้งเจิ้ง จากนั้นเธอถึงจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตนเอง

ฝูเจิ้งเจิ้งรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพบว่าเบอร์ที่โทรมานั้นไม่มีชื่อบันทึกไว้ และในทันทีที่เธอรับสายนั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากปลายสาย มันคือเสียงของหานซือฉี

“ฝูเจิ้งเจิ้ง วันนี้ฉันไม่สามารถไปร่วมกิจกรรมที่โรงเรียนกับฝูซิงได้จริง ๆ พอดีติดงานด่วนนิดหน่อย ช่วยอธิบายให้เขาฟังทีนะ ฉันเกรงว่าจะทำให้งานกร่อยเพราะฉันดันไปสัญญากับเขาไว้”

“ขอบคุณในความเป็นห่วงนะคะ พวกเรากำลังมีความสุขกันดี” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามใจเย็นให้ได้มากที่สุดก่อนจะวางสายไป

“เมื่อกี้ป๊ะป๋าเหรอ?” ฝูซิงแหงนหน้าขึ้นมามอง

“ใช่จ้ะ ป๊ะป๋าบอกว่าเขามีสิ่งสำคัญที่ต้องไปจัดการ เพราะงั้นเขาไม่สามารถมาได้แล้วล่ะ” เธอรู้ดีว่าถ้าพูดแบบนี้ออกไปแล้วจะต้องพบเจอกับอะไร และมันก็เป็นดังที่เธอคิด สีหน้าของเจ้าตัวน้อยนั้นดูจะชอกช้ำใจสุด ๆ ราวกับว่าเขาโดนหลอกอีกครั้งแล้ว

ฝูซิงเดินกลับเข้าห้องเรียนไปนั่งอยู่หลังห้องด้วยความทุกข์ใจ ไม่ว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะพูดอะไร เขาก็ปฏิเสธที่จะร่วมกิจกรรมในวันนี้ลูกเดียว จนสุดท้าย

เธอก็รู้สึกหมดหวังที่จะโน้มน้าวเขา

ในเมื่อลูกชายของตนไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรม ฝูเจิ้งเจิ้งก็ปลอบใจเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะรีบรุดหน้าไปทำงานต่อ

เมื่อกลับมาถึงบริษัทแล้ว บางอย่างกลับทำให้เธอประหลาดใจ หานซือฉียังไม่มาทำงาน ฝูเจิ้งเจิ้งจึงไปหาหมินจงจู่และแอบถามเขาเกี่ยวกับหานซือฉี

ทว่าหมินจงจู่กลับเลือกที่จะตอบแบบเลี่ยง ๆ แต่ด้วยความคลุมเครือของคำตอบนั้น มันทำให้เธอมั่นใจว่าเขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ ๆ

เมื่อเวลาเลิกงานมาถึง ฝูเจิ้งเจิ้งเคลียร์ความคิดในหัวจนหมด เธอเตรียมเอาชุดที่สลับกันกับชายคนนั้นไปเปลี่ยนแล้วจะเตรียมตัวไปรับฝูซิงต่อ

ขณะที่เธอกำลังจะคว้ากระเป๋าออกจากล็อกเกอร์แล้ว สายโทรเข้าจากหลี่เสี่ยวเมิ่งก็ต้องทำให้ใจของเธอร่วงไปถึงตาตุ่ม “คุณแม่ของฝูซิงคะ ฝูซิงกำลังทะเลาะกับเด็กอีกคนอยู่น่ะค่ะ พวกเราไม่สามารถแยกพวกเขาได้เลย”

หญิงสาวช็อกไปอีกครั้ง ภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งหลินเจี่ยวมันค่อย ๆ ฉายขึ้นมาใหม่ คิดได้ดังนั้นเธอจึงรีบมุ่งตรงไปยังโรงเรียนอนุบาลทันที

เมื่อมาถึงสำนักงานของโรงเรียนอนุบาล ฝูเจิ้งเจิ้งก็เห็นว่าฝูซิงกำลังกระชากเสื้อของเด็กคนหนึ่งอยู่พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่เด็กคนนั้น ท่าทีของอีกฝ่ายดูจะหวาดกลัวฝูซิงมาก ๆ เขาทั้งร้องไห้และขอโทษขอโพยฝูซิง ซึ่งทั้งผู้อำนวยการและหลี่เสี่ยวเมิ่งต่างก็พยายามหยุดเด็กทั้งสองคนนี้เอาไว้

ฝูเจิ้งเจิ้งไม่รอช้า เธอรีบวิ่งเข้าไปจับฝูซิงแยกออกมาจากอีกฝ่ายได้ในที่สุด กระนั้นฝูซิงก็ยังมองเด็กคนนั้นด้วยสีหน้าที่โกรธเคือง

เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองแยกกันได้แล้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนก็ได้แต่พูดอย่างโล่งอก “คุณแม่ของฝูซิง ขอบคุณจริง ๆ ที่คุณแม่มาทัน ผมไม่เคยเจอเด็กที่ดื้อขนาดนี้มาก่อนเลย”

หลี่เสี่ยวเมิ่งที่กำลังพาเด็กอีกคนย้ายไปอยู่อีกมุมนั้นอดไม่ได้ที่จะหันมามองผู้อำนวยการที่พูดไม่ดูสถานการณ์ออกไป

โชคยังดีที่ฝูเจิ้งเจิ้งเพียงแค่พยักหน้าให้เขาและหันไปถามลูกของตนแทน “ทำไมลูกไปทะเลาะกับเด็กคนนั้นล่ะ?”

“ก็เขามาว่าฝูซิง!”

“แล้วลูกจำเป็นต้องลงไม้ลงมือกับเขาเพียงเพราะคำพูดไม่ดีที่ลูกไม่ชอบเหรอ? ความรุนแรงมันแก้ไขปัญหาอะไรได้หรือไง?” เมื่อเห็นว่าฝูซิงยังยืนกรานว่าตนไม่ผิด ฝูเจิ้งเจิ้งก็เริ่มจะโกรธขึ้นมา เธอดึงให้ฝูซิงไปยืนต่อหน้าเด็กคนนั้น “ไป ไปขอโทษเขาซะ”

“แต่เจ้านั่นว่าฝูซิงก่อน!”

“ว่าก่อนแล้วฝูซิงต้องไปทำไม่ดีกับเขาไหม? หม่ามี๊สอนอะไรลูกบ่อย ๆ? ทำไมถึงทำตัวเป็นเด็กหัวรุนแรงแบบนี้ไปได้?”

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณแม่ฝูซิง จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียทีเดียว ฝูซิงน่ะยังเด็ก เพราะงั้นก็ช่วยกลับไปสอนเรื่องนี้ให้เขารู้ด้วยก็แล้วกันครับ”

ผู้อำนวยการจับมือฝูซิงวางลงไปบนมือฝูเจิ้งเจิ้ง ก่อนจะหันไปพูดกับฝูซิงด้วยน้ำเสียงใจเย็น “ฝูซิง กลับบ้านไปก่อน แล้วก็เรียนรู้จากสิ่งที่แม่เธอสอนนะ เด็กที่ใช้ความรุนแรงคือเด็กไม่ดี เธอต้องเป็นเด็กดี เข้าใจไหม?”

หลังจากที่ขอโทษที่ทำให้คนอื่น ๆ ต้องเสียเวลาแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบพาฝูซิงกลับบ้านทันที

ตลอดทางที่กำลังกลับบ้าน ไม่ว่าฝูเจิ้งเจิ้งจะพูดอะไร ฝูซิงก็ไม่ฟังทั้งนั้น เขาไม่ยอมที่จะไปขอโทษเด็กคนนั้นอย่างเด็ดขาดจนฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะโกรธมากขึ้น ในที่สุด ความอดทนของเธอก็มาถึงขีดจำกัด หญิงสาวดีดหน้าผากของเจ้าตัวเล็กไปทีหนึ่งและถามด้วยอารมณ์ที่กำลังร้อนดั่งไฟ “หม่ามี๊กำลังพูดกับลูกนะ ฟังอยู่หรือเปล่า?”

ฝูซิงหลบการดีดนั้นอย่างรวดเร็วและตะโกนกลับในทันที “คนพวกนั้นบอกว่าฝูซิงโกหก พวกเขาไม่เชื่อว่าฝูซิงมีป๊ะป๋า!”

ใจของฝูเจิ้งเจิ้งมันเจ็บแปลบไปทั้งอก แต่เธอก็ยังพยายามพูดอย่างเข้มแข็ง “ลูกไม่มีป๊ะป๋าอยู่แล้ว! หม่ามี๊ก็บอกลูกมาตั้งหลายครั้งว่าลูกไม่มีป๊ะป๋า!”

“ฝูซิงมี! ป๊ะป๋าของฝูซิงน่ะหล่อมาก ๆ แถมยังขับรถเก่งด้วย!” ถ้อยคำที่ฝูซิงตะโกนออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจนี้นำพาซึ่งน้ำตาให้ไหลออกมาด้วย

ปมในใจของเด็กน้อยทำให้เกิดบาดแผลลึกยากที่จะรักษา มันยังคงติดอยู่ในใจตลอดเวลา เมื่อมีสิ่งใดมากระทบให้เจ็บปวด เขาก็จะจมลงไปในบ่อแห่งความเศร้าโศกเช่นนี้อย่างง่ายดาย

เรื่องทั้งหมดมันเป็นเพราะฝูซิงไปอวดเด็กคนอื่น ๆ ไว้ว่าป๊ะป๋าของเขานั้นทั้งหล่อและยอดเยี่ยม​มาก ๆ เมื่อหลายวันก่อน แต่เพราะเด็กเหล่านั้นไม่เชื่อในคำพูดของเขา เขาจึงอยากจะให้หานซือฉีไปร่วมงานกิจกรรมในวันนี้ให้ได้ ทว่าสุดท้าย​ หานซือฉีก็เป็นฝ่ายทำลายสัญญาด้วยตนเอง

ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้อยากจะยอมรับในตัวหานซือฉีให้มาเป็นพ่อฝูซิงตั้งแต่แรกแล้ว มันเจ็บช้ำมาตลอดที่คำว่า ป๊ะป๋า ที่หลุดออกมาจากปากฝูซิงนั้นไม่ได้หมายถึง เหนียนซี่ แต่เป็น หานซือฉี

ดังนั้นเมื่อเห็นว่าฝูซิงกำลังร้องไห้เพราะเขา เธอจึงรู้สึกโกรธขึ้นมาอีกจนตัดสินใจที่จะบอกกับเด็กน้อยอีกครั้ง “หานซือฉีไม่ใช่ป๊ะป๋าของลูก!”

เธอคอยย้ำเตือนลูกชายของตนอยู่เสมอว่าอย่ามองหานซือฉีเป็นป๊ะป๋า จนในที่สุดวันนี้ก็มาถึง วันที่ฝูซิงต้องมาเสียใจเพราะป๊ะป๋าที่เขาไว้วางใจ

“เขาเป็นป๊ะป๋าของฝูซิง!” เด็กชายยังคงก้มหน้าก้มตา​เถียง

“เดี๋ยวนี้ลูกกล้าต่อปากต่อคำกับหม่ามี๊เหรอ! เห็นทีจะต้องถูกตีบ้างซะแล้วล่ะ!” เมื่อทนความดื้อดึงของลูกชายคนนี้ไม่ไหว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ง้างมือขึ้นด้วยความโกรธ

———————————————————————————————————–

คุยกับผู้แปล

โห อุตส่าห์เตรียมมาดี เสียใจแทนฝูซิงเลย เข้าใจแหละว่าวัยเด็กเวลาโดนหลอกแล้วมันจะเจ็บจี๊ดขนาดไหน

-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

Status: Ongoing
เรื่องราวชีวิตของคุณแม่ยังสาว ฝูเจิ้งเจิ้ง และลูกชายตัวแสบของเธอ ฝูซิง เด็กน้อยที่เฝ้าแต่จะตามหาผู้เป็นพ่อให้ได้ วันดีคืนดีเจ้าตัวน้อยดันไปเจรจาซื้อผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นคุณพ่อของเขาเสียนี้ฝูเจิ้งเจิ้ง สาวสวยวัย 24 ปีผู้ที่วุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงลูกน้อยอย่าง ฝูซิง ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวของเธอนั้นแม้จะยุ่งยากไปบ้างแต่ชีวิตในแต่ละวันก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในบริษัทเว่ยฮั่น ใครจะไปคิดเล่าว่าจู่ๆ เจ้าลูกชายตัวแสบของเธอจะเก็บเงินแล้วไปหาซื้อป๊ะป๋ามาเติมเต็มให้ชีวิตแบบไม่บอกเธอเสียอย่างงั้น แถมป๊ะป๋าคนใหม่ของเขา ดันเป็นรองประธานบริษัทเว่ยฮั่นที่เธอเพิ่งจะสมัครเข้าทำงานอีก!? ตายละ แล้วแบบนี้ชีวิตฉันจะเป็นยังไงต่อไปเนี๊ย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท