บทที่ 48 ร่างกายจะอบอุ่นขึ้นถ้าออกมาเดินด้วยกันนะ
หิมะที่ตกหนักนั้นหยุดตกไปในชั่วข้ามคืน ถึงจะแค่คืนเดียวแต่มันก็ทำให้ทั้งเมือง B ขาวโพลนไปด้วยหิมะ
เป็นภาพที่ดูสวยงามไม่น้อย เช้านี้สายลมไม่กรรโชก แต่ความหนาวเย็นก็ยังคงอยู่
ภายในสวนของบ้านหลังใหญ่นี้ เด็กชายกำลังมองไปยังตุ๊กตาหิมะที่เขาเพิ่งจะปั้นขึ้นเมื่อวานด้วยความภูมิใจ “ว้าว หม่ามี๊ดูสิ ตุ๊กตาหิมะที่ฝูซิงปั้นตัวใหญ่กว่าของป๊ะป๋าอีก!”
ประตูบ้านถูกปิดลงอย่างรีบเร่งพร้อมกับฝูเจิ้งเจิ้งที่สวมเสื้อกันหนาวตัวหนาเดินออกมาด้วยความเร่งรีบ “ฝูซิง ไปได้แล้วลูก เดี๋ยวป้าเฉินกลับมาจากซื้อของ แล้วเราจะออกไปไม่ได้กัน”
ฝูซิงรีบกระโดดด้วยขาเล็กตามเธอไป ท่าทางราวกับเหมือนผีดิบจีนที่เคยดูในหนัง ฝูเจิ้งเจิ้งมองแล้วก็รู้สึกตลกไม่น้อย ทั้งสองก็รีบวิ่งไปยังถนนหลักอย่างรวดเร็วเพื่อไปพบกับสวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิงที่มารออยู่ก่อนแล้ว
“ซิงซิง เจ้าตัวเล็กของน้า! วันนี้อ้วนกลมเชียวนะ!” สวี่เหยียนยื่นมือไปกอดฝูซิงที่กำลังหอบหายใจอยู่
“สวัสดีครับลุงเสี่ยว น้าสวี่ ดูนี่ ฝูซิงสามารถพ่นลมหายใจเวทมนต์ได้!” เด็กน้อยพ่นลมหายใจใส่หน้าสวี่เหยียนด้วยอุณหภูมิที่เย็นจัดควันขาวๆ ก็ลอยพุ่งออกมาจากปากน้อย ทุกๆ คนที่เห็นต่างพากันหัวเราะชอบใจในความไร้เดียงสาของเจ้าตัวเล็ก
“มานี่เร็ว ขึ้นมาบนลากเลื่อนนี่” เสี่ยวอี้เฉิงวางลากเลื่อนไม้ต่อหน้าและสวี่เหยียนก็อุ้มฝูซิงมานั่งด้านในด้วย เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว เสี่ยวอี้เฉิงก็เริ่มออกแรงดึงลากเลื่อนนั้นให้ขยับไปบนผิวหิมะที่ทับหนาอย่างง่ายดาย ด้วยความที่ถนนมีหิมะหนาปกคลุมพวกเขาจึงต้องเดินเท้ากันไป
ทั้งสี่เลี้ยวตัดเข้าทางลัดเพราะสวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิงเจอเส้นทางนี้ก่อนหน้า เนื่องจากพวกเขานั้นออกมากันเช้ามากๆ มันจึงทำให้บนถนนแทบไม่มีรอยเท้าอื่นๆ ปรากฏอยู่เลย ดังนั้นก้าวเดินแต่ละก้าวของพวกเขาจึงถือเป็นการสร้างรอยเท้าใหม่พร้อมเสียง “ผลุบ” ที่ทำให้ฝูซิงสนุกสนานไปตลอดทาง “ไปเลย! ไปเลย!”
ด้วยความกลัวว่าลากเลื่อนนั้นอาจจะเสียศูนย์และล้มได้ สวี่เหยียนจึงคอยเตือนฝูซิงพร้อมกับช่วยประคองลากเลื่อนนั้นไปด้วย “ซิงซิง อย่าขยับนะ ไม่งั้นเดี๋ยวหนูจะตกลงมาได้ถ้าลากเลื่อนเกิดตะแคงข้าง”
ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็เดินไปช่วยประคองอีกข้างไว้พร้อมกับพูดแซะเจ้าตัวเล็ก “ถ้าไม่ตกสักครั้ง เจ้าแรคคูนนี่ก็ไม่หยุดขยับหรอก เตือนไปก็เท่านั้น”
“แหะๆ อี้เฉิง ฝากหน่อยน้า~”
“เข้าใจแล้ว!” เสี่ยวอี้เฉิงหันไปตอบพร้อมยิ้มกว้าง “ขนาดฝูซิงยังไม่กลัวที่จะตกเลย เพราะงั้นเธอไม่ต้องกังวลหรอก”
ได้ฟังบทสนทนาที่ฟังดูราบรื่นเหล่านั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็จงใจเดินช้าลงแล้วเข้าไปคอยประคองฝูซิงไว้จากด้านหลังพลางขยิบตาให้สวี่เหยียนไปด้วย
สวี่เหยียนเข้าใจท่าทีนี้ของอีกฝ่ายดี เธอเงยหน้าขึ้นไปหาฝูเจิ้งเจิ้งและกระซิบด้วยความเขินอาย “อะไรยะ! ทำอย่างกับไม่เคยเห็นคนเดตกันไปได้!”
ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนจะกระซิบตอบกลับ “เฮ้ๆ ตอนแรกไม่ได้บอกจะมาเดตกันนี่ แล้วว่าแต่ถึงขั้นไหนกันแล้วนะ? ถึงช่วงสำคัญแล้วหรือเปล่า?”
ทว่าสวี่เหยียนกลับไม่ปล่อยให้ความอยากรู้อยากเห็นของฝูเจิ้งเจิ้งได้รับการเติมเต็ม เธออมยิ้มและพูดเพียง “ความลับจ้ะ”
“ฮึ่ม!” ฝูเจิ้งเจิ้งหรี่ตาแล้วมองตั้งแต่หัวจรดเท้า “ถ้าเขาจะเทเธอก็อาจจะเป็นเพราะเธอหุ่นไม่บึบบับหรือเปล่าจ้ะ?”
ฟังคำหมิ่นประมาทเช่นนั้นแล้วสวี่เหยียนก็รีบยืดอกอย่างสง่าผ่าเผย “ฉันใส่บราคัพ D ย่ะ!”
สิ่งนั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งหัวเราะเสียงดังออกมาจนเสี่ยวอี้เฉิงต้องหันกลับมามองด้วยความสงสัย
เมื่อสวี่เหยียนเผลอสบตากับเสี่ยวอี้เฉิงไปเพียงครู่เดียว ใบหน้าที่มั่นอกมั่นใจก่อนหน้าก็กลายเป็นเหนียมอายและรีบหันมาหยิกแขนฝูเจิ้งเจิ้งทันที
“อั่ก—เบาหน่อยสิ ฮ่าๆๆๆ” ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แทรกเข้ามาตามผิวหนัง กระนั้นเธอก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้
บทสนทนาที่เคล้าคลอไปด้วยเสียงหัวเราะนั้นถูกขับกล่อมออกมาเรื่อยๆ ตลอดทางที่เดินด้วยกันมา ภายใน 1 ชั่วโมงพวกเขาก็เดินทางมาจนถึงถนนหลิวอวิ๋นที่อยู่ทางตอนเหนือกันเรียบร้อยแล้ว
ถนนหลิวอวิ๋นนี้เป็นถนนที่ทอดยาวตลอดแนวเขตเมืองทางตอนเหนือ ด้านหนึ่งเป็นแหล่งรวมร้านค้าต่างๆ นาๆ ส่วนอีกด้านหนึ่งจะจรดกับแม่น้ำอวิ๋นชุนซึ่งล้อมรอบเมือง B ไว้ อย่างสวยงาม นอกจากนั้นทัศนียภาพรอบๆ แม่น้ำที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่เองก็ถือเป็นวิวราคาแพงที่เปลี่ยนแปลงความงดงามไปตามฤดูด้วยเช่นกัน
“หม่ามี๊ ถึงแล้วเหรอ?” ฝูซิงลงมาจากลากเลื่อนแล้วก้มลงมองแม่น้ำที่ถูกห้อมล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ราวกับเขื่อนธรรมชาติด้วยแววตาเป็นประกาย
ฝูเจิ้งเจิ้งยื่นหน้ายื่นตาไปมองทางลาดเพื่อจะลงไปในแม่น้ำนั้น แล้วเธอก็พบว่า นอกจากกองใบพรีเว็ตที่เป็นตัวกันกระแทกแล้ว มันก็ไม่มีอะไรอีกเลย ดังนั้นเธอจึงรีบคว้าแขนของฝูซิงไว้และกล่าวเตือนเขา “ฝูซิง อย่าก้มเยอะ ทางตรงนี้มันลื่น ถ้าลูกเกิดลื่นลงไปในแม่น้ำ หม่ามี๊จะตามไปช่วยลูกไม่ทันนะ”
“ฝูซิงไม่ตกหรอก! โอ๊ะ หม่ามี๊ดูสิ คนเต็มไปหมดเลย!” ฝูซิงเริ่มหันมองซ้ายทีขวาที ยิ่งเห็นคนเยอะ เขาก็ยิ่งตื่นเต้น
“นี่เป็นหิมะแรกของปีน่ะจ้ะ คนก็เลยเยอะเป็นพิเศษ” สวี่เหยียนพูด “ถ้าหากบริษัทเว่ยหานที่พวกเราทำงานอยู่ไม่ได้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมของที่นี่เมื่อตอนดำเนินการสร้างรีสอร์นฉืออิ๋งลี่หยางแล้วล่ะก็ ป่านนี้ละแวกนี้คงกลายเป็นเพียงแม่น้ำโทรมๆ ที่มีแต่น้ำเน่าเสียไปแล้วล่ะมั้ง คงไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นธารน้ำแข็งในฤดูหนาวแบบนี้”
“อ่า ใช่เลย” เสี่ยวอี้เฉิงพูดเสริมพร้อมผลิยิ้ม “แบบนี้ที่เขาเรียกกันว่า ‘ไม่มีหมู่บ้านให้เห็นยามเที่ยงวัน ไม่มีแสงเทียมตะวันให้เห็นยามเที่ยงคืน’ ”
หมู่บ้าน? ที่นี่มันก็ไม่มีหมู่บ้านมาตั้งแต่ตอนโดนซื้อที่ไปทำรีสอร์ทนั่นแหละ!
คิดๆ ตามแล้วฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกโกรธขึ้นมา เพราะถ้าไม่ใช่การซื้อที่เพื่อสร้างรีสอร์ทของบริษัทเว่ยหานแล้ว เหนียนซี่ก็คงไม่ต้องย้ายออกไปจากที่นี่เร็วขนาดนั้น!
หันกลับไปมองยังถนนที่ไร้ซึ่งหิมะอยู่จนสัญจรสะดวก สวี่เหยียนก็เอ่ยอย่างชื่นชมอีกครั้ง “ปีนี้เทศบาลของพวกเราทำงานดีแฮะ ปีที่แล้วที่ฉันมาเพื่อดูธารน้ำแข็งนั้น ถนนแทบจะเดินไม่ได้เลย หิมะกองสุมกันจนหนาไปหมด”
ฝูเจิ้งเจิ้งแซวขึ้นมาทันที “บางทีเจ้าหน้าที่เทศบาลอาจจะรู้ก็ได้ว่าปีนี้จะมีใครบางคนพาหวานใจมาดูธารน้ำแข็งวันนี้ ก็เลยยอมเหนื่อยกันสักหน่อยเพื่อให้คนคนนั้นได้เดินทางสะดวกน่ะ โฮ่ะๆๆๆ”
“นี่หล่อน! แซวฉันอีกแล้วเหรอ!” สวี่เหยียนตั้งท่าจะหยิกฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้ง และคราวนี้ฝูเจิ้งเจิ้งก็เอี้ยวตัวหลบพร้อมรอยยิ้ม
ในขณะนั้นฝูซิงก็ชี้ไปยังร่างที่อยู่ในระยะสายตา และตะโกนขึ้นมา “หม่ามี๊! นั่นคุณตำรวจ!”
เสี่ยวอี้เฉิงรีบอธิบายก่อนด้วยความใจเย็น “ทุกๆ ปีเมื่อมีคนมาเยี่ยมชมธารน้ำแข็งเป็นจำนวนมาก มันมักจะมีอุบัติเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เรื่อยๆ น่ะ อย่างเช่นมีคนไถลลงไปในแม่น้ำบ้าง หรือบางทีก็ลื่นตามพื้นที่ถูกทับถมด้วยหิมะบ้าง เพราะงั้นเทศมนตรีก็เลยสั่งการให้คุณตำรวจมาคอยดูแลพวกเราอีกทีหนึ่งยังไงล่ะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งหันมองไปตามทิศทางที่ฝูซิงชี้ไป และเธอก็พบเข้ากับร่างที่อยู่ไม่ไกลมากนัก และถ้าหากมองดีๆ ก็จะพบว่าร่างนั้นไม่ได้มีแค่หนึ่ง แต่มีกันเป็นหมู่คณะเลย ดูท่าอุบัติเหตุคงจะเยอะล่ะสิ ถึงต้องส่งตำรวจมากคอยดูแลเยอะแยะแบบนี้
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ตำรวจ’ สวี่เหยียนก็เหมือนจะนึกอะไรได้แล้วรีบพูดขึ้นมา “เจิ้งเจิ้ง เธอเองก็ต้องขอบคุณคุณตำรวจด้วยนะ
หญิงสาวหันกลับมามองเจ้าของเสียงด้วยความสงสัย “ทำไมน่ะ?”
“อย่าบอกนะว่าเธอยังไม่รู้ว่าทำไมโพสต์บนอินเตอร์เน็ตถึงได้ถูกลบไปจนหมดน่ะ!?”
“ไม่รู้ ถ้าไม่บอกฉันก็ไม่สนใจด้วย” มันไม่ใช่…ฝีมือหานซือฉีเหรอ?
“ก็ตำรวจที่ชื่อว่า จีหมู่เซี่ยน เขาใช้ชื่อของตัวเองในการอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในซูเปอร์มาร์เก็ตวันนั้นบนอินเตอร์เน็ตให้! ฉันคิดว่าเธอรู้แล้วซะอีก กลับกลายเป็นว่าเธอไม่รู้แม้กระทั่งคนที่ช่วยเธอไว้ด้วยซ้ำ!”
จีหมู่เซี่ยน? ออกมาชี้แจงเรื่องในครั้งนั้นด้วยชื่อจริงของเขาเหรอ?
พระเจ้า! ฉันคิดมาตลอดว่าเป็นฝีมือของหานซือฉี!
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลายวันมานี้เรื่องมันดูเงียบไปมากๆ ขนาดคุณครูหลี่ยังโทรมาตั้ง 2 ครั้งเพื่อบอกให้ฉันพาฝูซิงไปส่งโรงเรียน!
ฝูเจิ้งเจิ้งน่ะคิดว่าหลี่เสี่ยวเมิ่งใส่ใจแค่ฝูซิงคนเดียวมาตลอดเลย
มันค่อนข้างเชื่อได้ยากอยู่ว่าคนที่มักจะเย็นชาตลอดอย่างจีหมู่เซี่ยนนั้นจะมีด้านนี้อยู่ด้วย!
ไม่สิ ยังไงซะความรักในความถูกต้องน่ะ มันก็ต้องเป็นปัจจัยพื้นฐานของตำรวจอยู่แล้ว!
ใช่แล้ว มันควรเป็นอย่างงั้น อย่างน้อยๆ ฉันก็คนนึงล่ะที่คิดแบบนี้
เสี่ยวอี้เฉิงที่ฟังสาวๆ พูดก็ได้จังหวะเสริมขึ้นมา “ผมเองก็เคยได้ยินชื่อของเขามาบ้างเหมือนกัน เห็นว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี คดีไหนก็ตามที่เขาดูแลจะประสบผลสำเร็จหมดเลย เรียกได้ว่าค่อนข้างเป็นคนที่มีชื่อเสียงกันภายในหมู่ตำรวจเมือง B เลยก็ได้ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ปัจจุบันถึงได้กลายเป็นเพียงตำรวจธรรมดาๆ แบบนี้”
ฝูเจิ้งเจิ้งพูดอะไรไม่ออกเลย
มันต้องไม่ใช่เพราะเรื่องที่เธอไปต่อว่าเขาผ่านผู้บังคับบัญชาแน่ๆ ที่ทำให้เขาต้องตกอับเช่นนี้
เขาต้องไปทำเรื่องผิดพลาดอันใหญ่หลวงมาอย่างแน่นอน!
ฝูซิงที่ดูอยู่นานจู่ๆ ก็กระโดดออกจากอ้อมแขนของเสี่ยวอี้เฉิงพร้อมวิ่งเล่นอย่างกระฉับกระเฉง
“ช้าลงหน่อยสิ ซิงซิง!” ทั้งสวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิงที่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามไปในทันที โดยมีฝูเจิ้งเจิ้งวิ่งออกนำไปก่อนแล้ว
ถึงแม้ว่าหิมะบนถนนหลักนั้นจะโดนจัดการไปหมดแล้ว แต่บนทางเดินรอบๆ แม่น้ำนั้นก็ยังคงมีหิมะปกคลุมอยู่ แถมการที่มีฝนตกก่อนหน้านี้ครู่หนึ่ง มันก็ทำให้พื้นทางเดินดังกล่าวลื่นขึ้นอีกด้วย แล้วยิ่งบริเวณทางเดินนั้นไม่มีแผงกั้นข้างๆ มันเลยทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งต้องรีบจับตัวฝูซิงให้ได้ก่อนจะเกิดอันตราย
เจ้าตัวเล็กนั้นวิ่งตรงเข้าหาชายในชุดตำรวจ เขายืนตรงเท้าชิดก่อนจะยกมือขึ้นตะเบ๊ะให้กับอีกฝ่ายด้วย “สวัสดีตอนเช้าครับ คุณคำรวจ!”
เมื่อก้มลงมองตามเสียง จีหมู่เซี่ยนก็เห็นเด็กน้อยที่คุ้นตากำลังยืนตรงให้เขาอยู่ เขาอมยิ้มแล้วกล่าวทักทายกลับไป “สวัสดีตอนเช้า เจ้าตัวเล็ก!”
“ขอบคุณครับ คุณตำรวจ!”
“เพื่อเด็กๆ สบายอยู่แล้ว”
จากนั้นทั้งสองก็ต่างพากันหัวเราะในท่าทีของพวกเขาเอง
ฝูเจิ้งเจิ้งที่วิ่งตามมาจนทันและพบว่าคุณตำรวจที่ฝูซิงทักทายอยู่นั้นคือ จีหมู่เซี่ยน ความพึงพอใจมันก็พลันก่อตัวขึ้นมาทันที
คิดย้อนกลับไปถึงถ้อยคำแย่ๆ ที่เธอเคยพูดไว้กับเขาก่อนหน้าแล้วมันก็ทำให้เธอฝืนยิ้มแบบไม่กล้าออกมา “สวัสดีค่ะคุณตำรวจ ได้รับงานให้มาดูแลแถวนี้เหรอคะ?”
จีหมู่เซี่ยนสลัดรอยยิ้มอบอุ่นเมื่อครู่ทิ้งไปในทันที ใบหน้าของเขาดูนิ่งสงบขณะหันมามองฝูเจิ้งเจิ้งด้วยแววตาสุภาพพลางพยักหน้าช้าๆ ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ พร้อมจะก้าวเดินไปทำหน้าที่ตนเองต่อทันที
“อ๊ะ คุณเจ้าหน้าที่จี” เมื่อเห็นว่าสวี่เหยียนพาฝูซิงไปทางอื่นแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบเดินตามจีหมู่เซี่ยนไปและพูดด้วยรอยยิ้ม “เอ่อ…ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณผมทำไมน่ะครับ?”
“ขอบคุณที่ช่วยคลี่คลายเรื่องต่างๆให้ฉันค่ะ”
“มันเป็นหน้าที่ของผมครับ” ตำรวจหนุ่มตอบรับด้วยท่าทีสุภาพ
“ถึงยังไงคุณก็ช่วยฉันไว้หลายเรื่องอยู่ดี…เพราะแบบนี้เลยรู้สึกว่าต้องขอบคุณให้ได้น่ะค่ะ”
เพราะมัวแต่กำลังกลั่นกรองคำพูดอยู่ ฝูเจิ้งเจิ้งเลยไม่ได้มองเลยว่าจีหมู่เซี่ยนนั้นหยุดเดินแล้ว กว่าจะรู้ตัวเธอก็เกือบจะชนเข้ากับอีกฝ่ายแบบไม่ระวัง ร่างบางรีบชักเท้าถอยทันที แต่เพราะพื้นมันมีหิมะปกคลุม มันเลยทำให้เธอเสียศูนย์จนเกือบจะล้ม โชคดีที่จีหมู่เซี่ยนคว้าแขนเธอไว้ได้ทัน
“ข-ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ” หลังจากที่ทรงตัวได้แล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบโค้งหัวและกล่าวขอบคุณไปอีก 1 ครั้งทันที
คนตรงหน้าของเธอนั้นเขาทั้งสูงและแข็งแกร่งเสียเหลือเกิน ถือเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งเลยก็ได้ ในยามที่ฝูเจิ้งเจิ้งละทิ้งซึ่งอคติและมองไปยังเขา มันก็ทำให้เธอรู้สึกว่า เขานั้นก็แอบมีมุมที่ดูดีอยู่เช่นกัน ไหนจะด้วยผิวสีเข้มสมชายชาตรีและชุดเครื่องแบบตำรวจที่เธอหลงใหลนักหนา มันยิ่งทำให้เขาดูดีน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก
เมื่อรู้สึกได้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งกำลังจ้องมายังเขา จีหมู่เซี่ยนก็ขมวดคิ้วและพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “จะขอบคุณหรือจะขอแต่งงานนะครับ?”
มุขที่ว่านี่ดึงสติของหญิงสาวกลับมาได้ดี ไม่ใช่เพราะมันทำให้เธอหวั่นไหว หากแต่มันฝืด กระนั้นเธอก็ยังตอบกลับเขาด้วยรอยยิ้ม “แหมๆ ไม่คาดคิดเลยนะคะเนี่ยว่าเจ้าหน้าที่จีจะมีอารมณ์ขันด้วย”
“กลับไปดูแลลูกของคุณได้แล้ว แล้วก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย” หลังจากพูดเช่นนั้น จีหมู่เซี่ยนก็เดินจากไปในทันที
ฝูเจิ้งเจิ้งยังคงยืนมองเขาเดินจากไปจนลับสายตา
ทำไมคนคนนี้ถึงได้เย่อหยิ่งมากกว่าหานซือฉีอีกนะ?
“เจิ้งเจิ้ง เขาเดินไปไกลแล้วนะ” สวี่เหยียนเข้ามากระซิบ และมันเรียกให้ฝูเจิ้งเจิ้งหลุดออกจากภวังค์อีกครั้ง รู้ตัวอีกทีสวี่เหยียนก็มายืนอยู่ข้างๆ เธอพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่แล้ว
เธอกรอกตาแล้วเดินหนีสวี่เหยียน
“เดี๋ยวก่อนสิ เมื่อกี้ตอนที่เธอลื่นแล้วเขาช่วยคว้าตัวไว้ ในตอนที่สายตาของคนสองคนสบกันครู่หนึ่ง เธอรู้สึกปลาบปลื้มเขาอยู่ใช่มะ? หัวใจเต้นแรงสุดๆ เลยใช่หรือเปล่า? เอ หรือจะมามุขเป็นไข้นะ?”
เสียงสวี่เหยียนที่ดังตามหลังเธอนั้นมันทำให้หญิงสาวรู้สึกเขินอยู่ไม่น้อย
“นี่พูดอะไรอยู่เนี่ย? เธอกำลังสาธยายความรู้สึกตอนได้เจอเสี่ยวอี้เฉิงหรือไง?” ฝูเจิ้งเจิ้งแกล้งแซะกลับ
“จิ๊ส์ อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องสิ! ตอนที่พวกเธอสองคนสบตากัน มองจากไกลๆ ฉันยังเห็นเลยว่าเธอแอบปลื้มเขา จะปฏิเสธทำไม?” สวี่เหยียนรีบเดินตามให้ทัน “เธอจะบอกว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขางั้นเหรอ?”
ยิ่งโดนตามฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบก้าวเดินไปหาเสี่ยวอี้เฉิงอย่างรวดเร็ว เธอบุ้ยปากให้เขาก่อนจะพูดขึ้น “คุณเสี่ยว สวี่เหยียนพูดมากเกินไปแล้ว คุณต้องรีบๆ หาอะไรมาอุดปากเธอแล้วนะ!”
แหม ยัยนี่ใช้เสี่ยวอี้เฉิงเป็นโล่อีกแล้ว! หนอยแน่!! หึยๆๆๆ อย่าให้ฉันรู้เชียวว่าเธอแอบมีใจให้ใคร!
เสี่ยวอี้เฉิงที่หันมารับฟังนั้นไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ยิ้มๆ ให้กับพวกเธอเท่านั้น
ทันใดนั้น สวี่เหยียนก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอใช้นิ้วจิ้มไปที่ขมับตนแล้วเอ่ยออกมา “จะว่าไป ธารน้ำแข็งปีนี้นี่สวยกว่าปีที่แล้วอีกนะ”
“แน่นอน ก็ปีนี้เธอมีหนุ่มหล่อมาด้วยนี่!” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ปล่อยโอกาสอันดีงามที่จะได้เสี้ยมเพื่อนสาวตัวแสบของเธอไปแม้แต่น้อย
“ฝูซิงก็เป็นหนุ่มหล่อด้วย! เป็นหนุ่มใหญ่หน้าตาหล่อเหลา!” พูดเช่นนั้นแล้วฝูซิงก็เก๊กท่าที่คิดว่าตัวเองดูเท่สุดๆ
“ฮ่าๆๆๆๆ” พวกเขาล้วนแต่พากันหัวเราะท่าทีเช่นนี้ของเจ้าตัวเล็ก
อารมณ์ของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นดีขึ้นมามากแล้ว ในขณะที่เธอกำลังยืนอยู่ที่ท่าน้ำและมองทอดไกลออกไปเพื่อรับชมความสวยงามของทัศนียภาพตรงหน้า ร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในระยะสายตาของเธอ คนนั้นทำเอาหญิงสาวเกือบจะหยุดหายใจ
นั่นมัน…หานซือฉี!?
ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่เห็นเขา แต่อีกฝ่ายก็กำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาดุดันราวกับกำลังออกคำสั่งให้กลับบ้านเสียตอนนี้!
จริงๆ แล้วนี่ไม่น่าจะเป็นคำสั่ง น่าจะเป็นคำขู่มากกว่า เพราะก่อนหน้านี้เขาก็บอกไว้แล้วว่า ห้ามให้เธอออกจากบ้านแม้แต่ครึ่งก้าว แต่นี่เขากลับเจอเธอมาอยู่ด้านนอก และไม่เพียงแค่เธอ หากแต่ยังมีฝูซิงด้วย!
แล้วทำไมจู่ๆ ถึงเป็นแบบนี้ไปได้น่ะ? ไม่ใช่ว่าเขาไม่ชอบสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนแบบนี้เหรอ? ทำไมถึงมาอยู่ที่ธารน้ำแข็งได้ล่ะ? เพราะอะไรกัน?
“…” เมื่อคิดได้แล้วว่าคงมีไม่กี่เหตุผลที่ทำให้คนที่ชอบเก็บตัวแบบเขายอมออกมาเจอโลกภายนอกได้ ฝูเจิ้งเจิ้งแอบเสียใจอยู่ลึกๆ
ขณะที่ทุกคนหัวเราะอย่างสนุกสนานมีแค่ฝูเจิ้งเจิ้งเท่านั้นดูจะนิ่งซึมลงไป สวี่เหยียนก็รีบมองไล่สายตาของเธอไปและจนพบเข้ากับหานซือฉี
“…” และมันก็ทำให้สวี่เหยียนนิ่งช็อกไปเหมือนกัน
“นั่นป๊ะป๋านี่!” ฝูซิงลืมเรื่องที่หันไปเจอด้วยเช่นกัน เด็กน้อยก็ตะโกนออกมาพร้อมวิ่งเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น
ทว่าอีกคนที่ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เขานั้นก็ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรีบคว้าตัวฝูซิงเอาไว้ นั่นเพราะคนคนนั้นคือ
เฉียวเค่อเหริน ที่กำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
——————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
เมือง B กับป่าร้อยเอเคอร์ของหมีพูห์นี่อะไรใหญ่กว่ากันนะ ทำไมเจอกันง่ายจริงๆ ?
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-