บทที่ 71 มันมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง!
ทันทีที่ตระหนักได้ว่า ตนเผลอพูดมากเกินไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบเปลี่ยนคำพูด “ไม่ใช่แบบที่คุณหานคิดหรอกค่ะ ฉันก็แค่กลัวเด็กๆ คนอื่นจะอิจฉาฝูซิงที่มีคุณหานพาไปส่งทุกวันเฉยๆ ก็แค่นั้น แหะๆๆ ”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่คิดจะพูดความจริง หานซือฉีก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ถึงไม่พูดเขาก็พอจะรู้แล้วล่ะ ชายหนุ่มจึงทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มและเดินจากออกไป
รอยยิ้มที่เขาทิ้งไว้ให้นั้นช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน ผนวกกับเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกหวานฉ่ำขึ้นมาทั้งตัวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฝูเจิ้งเจิ้งนอนเหม่ออยู่แบบนั้นราวกับสาวแรกรุ่นที่เพิ่งตกหลุมรักครั้งแรก
ทางด้านหานซือฉีที่นั่งอยู่ในรถ เขามองไปยังสภาพแวดล้อมของที่อยู่อาศัยที่เงียบสงบพลางขบคิดกับตัวเอง
หากฉันปกป้องแม้คนที่ฉันรักไม่ได้ ฉันจะยังถูกเรียกว่าผู้ชายได้อยู่หรือเปล่า?
ขณะนั้นเอง เขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างที่ต้องรีบไปทำ
พลันเมื่อเขาตระหนักได้เช่นนั้น รถคันหรูก็ถูกสตาร์ทเครื่องและขับออกไปจากเจี่ยเย่ฮัวหยวนอย่างรวดเร็ว
—————————————–
ดวงอาทิตย์ลอยสูงโด่ง ช่วงสายวันนี้นั้นไร้ลมโชยให้ใบไม้ได้พริ้วไหวดูสบายตา
ภายในห้องจัดเลี้ยงของรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยาง ผู้คนมากมายต่างกำลังวุ่นกับการจัดพื้นที่ภายในโถงขนาดใหญ่นั้นอยู่ ฝูเจิ้งเจิ้งและสวี่เหยียนเองก็เช่นกัน เพียงแต่ของพวกเธอเป็นจัดจานผลไม้ลงไปบนโต๊ะแต่ละตัวเท่านั้น
เพื่อให้ได้เข้าใกล้บ้านเก่าหลังนั้นเร็วๆ ฝูเจิ้งเจิ้งรีบจัดการเตรียมผลไม้ส่วนของเธอให้เสร็จอย่างรวดเร็ว
“เจิ้งเจิ้ง นี่เป็นครั้งแรกเลยหรือเปล่าที่เธอได้เข้ามารีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางแบบนี้?” สวี่เหยียนที่เดินเข้ามาจัดจานของฝูเจิ้งเจิ้งใหม่เพราะมันไม่สวย เอ่ยถามราวกับเตือนสติให้สาวเจ้ารู้ว่าตนทำงานพลาดอีกแล้ว
“อ๊ะ…อื้อ…ก-ก็แบบสถานที่มันสวย…” ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกอายนิดหน่อยที่รู้ได้ดังนั้น เพราะงั้นเธอจึงค่อยๆ ลดความเร็วลง
สวี่เหยียนหยิบจานของฝูเจิ้งเจิ้งมาถือไว้ ก่อนจะพูดเชิงหยอกล้อ “ดูเหมือนเจ้าลิงจากต่างจังหวัดตัวนี้คงจะต้องไปสำรวจป่าใหญ่ในเมืองกรุงเสียหน่อยแล้วมั้ง ฮ่าๆ! เพราะงั้นก็ไปซะ เดี๋ยวฉันจัดการที่นี่เอง”
“เอ๊ะ…อ่ะ” เมื่อตระหนักได้ว่าสิ่งที่สวี่เหยียนหมายถึงคืออะไร ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบเช็ดมือด้วยรอยยิ้มทันที
“แต่ถ้าเธออยากจะอยู่ที่นี่แล้วช่วยทำงานนี้ต่อฉันก็ไม่ขัดข้องหรอกนะ”
“สวี่เหยียน~ เธอใจดีที่สุดเล้ย~” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ปฏิเสธที่จะไปอยู่แล้ว เธอทิ้งสัมภาระงานทุกอย่างลงแล้วเตรียมจะพุ่งเข้ากอดอีกฝ่ายทันที
คนที่รู้จักฝูเจิ้งเจิ้งดีอย่างสวี่เหยียนนั้นสามารถรับรู้ได้ว่าเจ้าลิงแสบนี่จะทำอะไรต่อ ดังนั้นเธอจึงเอี้ยวตัวหลบอย่างรวดเร็วแล้วพูดยิ้มๆ “อย่าไปไกลล่ะ เธอยังไม่ได้ฝังชิป ถ้าหลงมาจะยุ่งเอา”
หลังจากที่แยกตัวออกมาแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไปยืนอยู่ที่หน้าประตูโถงงานเลี้ยงและมองไปรอบๆ เธอเดินตรงไปตามทางเดินมุ่งสู่ทิศตะวันตกด้วยความหยั่งรู้ เพียงไม่นานนักเธอก็เห็นบ้านเก่าๆ ที่เป็นเป้าหมายของตนนั้นตั้งอยู่ตรงหน้าไม่ไกลนัก มันก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนจากเดินกลายเป็นวิ่งเข้าไปด้วยสีหน้ามีความสุข
สวนรอบๆ บ้านที่ยังคงเดิมรวมถึงหน้าต่างเองก็ด้วย ยิ่งฝูเจิ้งเจิ้งได้เยี่ยมชมบ้านหลังนี้เท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่ามันคือบ้านหลังเดียวกันกับบ้านที่อยู่ภายในความทรงจำของเธอ
ยามที่เธอลองผลักบานประตูรั้วเข้าไปดู เธอก็พบว่าประตูนั้นไม่ได้ล็อก ความดีใจภายในมันเอ่อล้นออกมา หญิงสาวหันมองรอบตัว ถึงแม้ว่าบริเวณนั้นจะมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่เรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นเธอเลย ดังนั้น ในเมื่อได้โอกาสประจวบเหมาะเช่นนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบผลักประตูให้เปิดออกแล้วเข้าไปด้านในทันที
ทั้งประตูและหน้าต่างของตัวบ้านนั้นปิดสนิท ดูท่าว่าที่แห่งนี้จะไม่มีคนอยู่มานานแล้ว แต่แปลกที่สนามหญ้าด้านหน้านี้กลับดูได้รับการดูแลอย่างดี แถมยังไม่มีวัชพืชขึ้นเลยอีกต่างหาก ชัดเจนเลยว่าบ้านหลังนี้จะต้องมีคนมาคอยดูแลมันอยู่เรื่อยๆ แน่ๆ
ไม่ถูกทำลายเหมือนบ้านหลังอื่น แต่ก็ไม่มีใครอยู่ ทว่ากลับมีการทำความสะอาด…แสดงว่าบางสิ่งบางอย่างถูกเก็บไว้อยู่ด้านในนี้สินะ!
เธอเดินต่อไปจนกระทั่งถึงหน้าประตูบ้าน
มันเป็นอย่างที่เห็นจากด้านนอก ทั้งประตูและหน้าต่างของบ้านนั้นถูกปิดสนิท ถ้าจะเข้าคงต้องงัดเข้าไป และการจะงัดเข้าไปนั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรทำตอนกลางวันเสียเท่าไหร่… มากลางคืนน่าจะสะดวกกว่า
“เธอดูจะสนใจบ้านหลังนี้เป็นพิเศษเลยนะ” ทันใดนั้นเอง เสียงของชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างหนักแน่นก็เอ่ยทักขึ้นมาจากด้านหลัง
ฝูเจิ้งเจิ้งหันหลังกลับไปมองต้นเสียงด้วยความหวาดกลัวทันที แล้วเธอก็พบว่า เจ้าของเสียงนั้นคือจีหมู่เซี่ยน!
ดูท่าว่าเธอจะเอาแต่สนใจเจ้าบ้านตรงหน้านี่เกิดไปจนไม่รู้เลยว่าชายคนนี้มาอยู่ด้านหลังตนตั้งแต่เมื่อไหร่!
ในใจของฝูเจิ้งเจิ้งตอนนี้กำลังก่นด่าตัวเองอยู่ในใจ สงสัยการที่ไม่ได้แต่งชุดตำรวจนานๆ มันจะทำให้ทักษะในการระวังตัวของตนเสื่อมถอยเสียแล้วมั้ง
แววตาที่เก็บซ่อนความเลิ่กลั่กไว้ภายในชักออกจากร่างของอีกฝ่ายและเหลือบมองไปรอบๆตัวก่อนจะตอบเขากลับไปด้วยเหตุผลที่เพิ่งคิดขึ้นได้สดๆ “แน่นอนสิคะ คุณจีไม่คิดบ้างเหรอว่าบ้านหลังนี้มันดูพิเศษกว่าหลังอื่นๆ ในรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางแห่งนี้น่ะ?”
“แปลกงั้นเหรอ? ยังไงล่ะ?”
“ก็ในขณะที่บ้านหลังอื่นๆ ภายในนี้ล้วนแต่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมยุคใหม่กันหมดเลย มีเพียงบ้านหลังนี้เท่านั้นที่ดูเก่าแถมยังเรียบง่ายและไม่มีใครอยู่อีก น่าสงสัยสุดๆ ไปเลยนะคะ!”
“แล้วยังไงต่อ?”
“ก-ก็ไม่มีอะไรค่ะ ฉันก็เลยเข้ามาสังเกตที่นี่เพราะความสังสัยนั่นแหละ” ฝูเจิ้งเจิ้งยกมือและยกไหล่ขึ้นแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้ใส่ใจสิ่งนี้ขนาดนั้นพร้อมกับเตรียมที่จะเดินออกจากที่นี่
“เหตุผลแค่นั้นเองเหรอ?” จีหมู่เซี่ยนแสดงให้เห็นว่าไม่เชื่อ
“แล้วคุณจีจะคิดให้ซับซ้อนทำไมล่ะคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งยอกย้อน
เอาจริงๆ เลยนะ จีหมู่เซี่ยนนี่ก็เป็นอีกเป้าหมายที่ฝูเจิ้งเจิ้งอยากจะจับมาถามเรื่องบ้านเก่าหลังนี้มากๆ คนหนึ่งเลย นั่นเพราะเขาดูจะรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ แต่ก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะต้องรู้ถึงความลับที่เธอปิดบังไว้แน่ๆ หากถามคำถามเหล่านั้นออกไป
เมื่อเห็นว่าจีหมู่เซี่ยนมองผ่านเธอไปยังบ้านหลังเก่าๆ ด้านหลังนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบเปลี่ยนบทสนทนาโดยพลัน “ว่าแต่คุณจีเองก็เถอะ มาทำอะไรที่นี่กันคะ? ฉันรู้สึกว่าพวกเราเจอกันที่นี่บ่อยมากเลยนะ บ่ายวันพุธแบบนี้ ยังสามารถเลิกงานก่อน 4 โมงเย็นได้อีกเหรอ?”
“ฉันแค่ขี้เกียจ”
เธอคิดคำถามต่อครู่หนึ่งก่อนจะถามไปด้วยความจริงจัง “ขี้เกียจนั่นก็แค่ข้ออ้างหรือเปล่าน้า~? คุณจีคะ สรุปแล้วคุณทำงานเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ที่นี่เหรอคะ?”
ทำไมฝูเจิ้งเจิ้งจะไม่รู้ล่ะว่าเงินเดือนของตำรวจนั้นได้เท่าไหร่? ในเมื่อก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเพิ่งจะซื้อเสื้อผ้าสุดหรูให้แม่ของเขาเป็นของขวัญวันเกิดได้ แสดงว่าเขาต้องได้เงินเดือนมากกว่าตำรวจทั่วๆ ไป หรือได้เงินจากส่วนอื่นมาเสริมเป็นแน่!
จีหมู่เซี่ยนชะงักและไม่ได้พูดอะไรต่อ
รอยยิ้มน่าสงสัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยของฝูเจิ้งเจิ้ง เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ เขาก่อนจะกระซิบเบาๆ “คุณจีคะ ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ไว้ใจฉันได้เลย ไม่เอาความลับไปบอกใครหรอก ก่อนหน้านี้ถ้าฉันไม่ได้คุณช่วยไว้ฉันก็คงลำบากเช่นกัน”
“เจิ้ง~เจิ้ง~ เจิ้งเจิ้ง เธอหายไปไหนนน” เสียงของสวี่เหยียนดังมาจากไกลๆ ฝูเจิ้งเจิ้งรีบโบกมือให้จีหมู่เซี่ยนกับเรื่องเมื่อครู่ “คุณจีคะ เพื่อนฉันเรียกแล้ว ถ้ายังไงขอตัวก่อนนะคะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบวิ่งออกจากสนามหญ้านั้นโดยพลัน ปล่อยให้จีหมู่เซี่ยนยืนอยู่คนเดียวไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
“เธอเรียกฉันทำไมน่ะ?” เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากวิ่งมาถึงตัวอีกฝ่ายแล้ว
สวี่เหยียนไม่ตอบอะไรนอกจากทำท่าทำทางเหมือนเขย่งเท้ามองอะไรอยู่ไกลๆ
ด้วยความสงสัย ฝูเจิ้งเจิ้งเลยลองมองตามดู แล้วเธอก็พบว่าปลายทางที่สวี่เหยียนกำลังมองนั้นก็คือจีหมู่เซี่ยนที่กำลังเดินออกจากรั้วบ้านหลังเก่านั้นอยู่
เห็นดังนั้นแล้วเธอเลยเคาะไปที่หน้าผากของสวี่เหยียนเสียทีหนึ่ง “เธอก็มีเสี่ยวอี้เฉิงอยู่แล้ว ยังจะมองหนุ่มอื่นอีกเหรอ? ไหนเธอว่าเสี่ยวอี้เฉิงเป็นรักแท้ไง?”
สวี่เหยียนดูจะไม่สนใจ กลับกันเธอยังทำเหมือนไม่ได้ยินที่ฝูเจิ้งเจิ้งพูดด้วย “อั่ก— เจิ้งเจิ้ง เจ้าหน้าที่จีน่ะทั้งสูงแล้วก็หล่อมากเลยนะ ทั้งสง่งามและมีอำนาจ เธอชอบเขาขนาดไหนน่ะ?”
“อย่ามาพูดบ้าๆ น่า ฉันกับเขาก็แค่คนรู้จักกัน เธอคิดมากเกินไปแล้ว” ฝูเจิ้งเจิ้งลากสวี่เหยียนกลับไปในโถงงานเลี้ยงดังเดิม
คนที่ถูกลากปฏิเสธและพยายามยื้อแรงเอาไว้ก่อนจะถามออกมา “เดี๋ยวก่อนสิ! เพราะคุณหานหรือเปล่า เธอเลยไม่ชอบเจ้าหน้าที่จีน่ะ? ฉันบอกแล้วไงว่าคุณหาน…”
“โอเคๆ พอแล้วจ้ะแม่คุณ” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบขัดเธอไว้ก่อน “อย่าลืมสิว่าเรามาช่วยจัดงานสัมมนานะ ไม่ได้มาเดต!”
“แหม อย่าเพิ่งตัดบทสิ เจิ้งเจิ้ง ฉันคิดว่าเจ้าหน้าที่จีคนนั่นน่ะ..เดี๋ยว! เดี๊ยว! เจิ้งเจิ้ง รอก๊อนนนน ฟังฉันก่อนนน~~”
ฝูเจิ้งเจิ้งเมินอีกฝ่ายแล้วรีบสาวเท้าก้าวเดินเข้าไปในโถงนั้นและปล่อยให้สวี่เหยียนวิ่งตามเธอเอาเองเสียเลย
“ยอมแล้วๆ ฉันไม่พูดต่อก็ได้ โอเค? ทุกๆ ครั้งที่ฉันบอกให้เธอรีบๆ หาแฟนน่ะ เธอชอบทำเป็นไม่พอใจตลอดเลย…ฉันเป็นห่วงเธอรู้ไหม?” สวี่เหยียนที่วิ่งตามฝูเจิ้งเจิ้งทันค่อยๆ ผลิยิ้มให้ แม้จะต้องโดนเหลือบมองแต่เธอก็ยังไม่ได้รู้สึกหงอลงแต่อย่างใด เพียงแค่เปลี่ยนเป้าหมายเป็นไปชี้ที่กล่องสีแดงใกล้ๆ นั้นแทน “อ๋า นั่นกล่องสำหรับจับฉลากคืนนี้นี่ เดี๋ยวพวกเราต้องตัดชื่อของพนักงานที่มางานนี้แล้วพับใส่ลงไปในกล่องนะ ต้องรีบทำแล้วล่ะ เหมือนมันจะยังเหลืออีกเพียบเลย”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็หยิบกรรไกรขึ้นมาทำงานโดยไม่พูดไม่จา
แม้จะดูเหมือนโกรธ แต่แท้จริงแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็แค่อยากจะรีบจบงานไวๆ และเฝ้ารอให้ถึงกลางคืนเร็วๆ ก็เท่านั้น เธอจะได้ลงมือเสียที
เวลา 6 โมงเย็น ผู้คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ฝูเจิ้งเจิ้งและสวี่เหยียนจึงต้องวุ่นวายกับการนำทางพวกเขาเหล่านี้ไปยังโต๊ะที่ได้จัดเตรียมไว้ให้
ช่วงแรกของงานสัมมนานั้นจะเป็นการกล่าวโดยหานซือเซียน ประธานบอร์ดบริหารแห่งเว่ยหาน การได้ฟังหานซือเซียนพูดนั้นมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรับรู้ได้ว่าเขาคนนี้มีความสามารถในการพูดที่มีอิทธิพลโน้มน้าวผู้คนระดับไหน แม้แต่ตัวเธอเองยังต้องแอบยอมรับอยู่ในใจ สมแล้วที่คนคนนี้เป็นประธานบริษัทเว่ยหาน
ทว่าเมื่อเธอหันมองไปรอบๆ เพื่อหาตัวหานซือฉี ปรากฏว่าเขาดันไม่อยู่ที่นี่เสียอย่างนั้น ความผิดหวังก่อตัวขึ้นเล็กน้อยขณะพยายามเดาว่า ทำไมคนอย่างหานซือฉีถึงไม่อยู่ในโอกาสสำคัญเพียงนี้
แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาคิดมากนัก เมื่อผู้คนหันไปสนใจการพูดของหานซือเซียน เธอก็ค่อยๆ ปลีกตัวออกมาทางประตู
ยามที่เธอไปถึงประตู ร่างของหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่มาพร้อมแก้วไวน์ก็มายืนดักทางฝูเจิ้งเจิ้งเอาไว้
“สวัสดีค่ะ คุณฝู” สาวสวยตรงหน้านี้คือ เฉียวเค่อเหริน!
ฝูเจิ้งเจิ้งชะงักเพื่อระแวดระวังตัวเอง ขณะเดียวกันก็คิดไม่ตกว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ เพราะงั้นแล้วฝูเจิ้งเจิ้งเพียงแค่ยิ้มตอบไปก่อนและรอดูท่าทีของเธอต่อไป
“คุณฝูคะ ฉันคิดมาซักพักใหญ่ๆ แล้วตั้งแต่ที่กลับไป ฉันรู้แล้วว่าฉันทำไม่ดีต่อคุณฝูลงไปจริงๆ” ท่าทีของเฉียวเค่อเหรินนั้นดูจริงใจมากๆ “ฉันรู้สึกไม่ดีกับคุณเพราะว่าซือฉีนั้นใจดีกับคุณและลูกมากๆ…แต่คุณพูดถูกแล้ว… ต่อให้ฉันไล่เธอออกไป ยังไงก็จะมีผู้หญิงคนใหม่เข้ามาเกาะแกะซือฉีอยู่เรื่อยๆ”
เพราะเรื่องที่เพิ่งเกิดก่อนหน้านี้ไม่น่าจะเป็นอะไรที่คิดได้เร็วขนาดนี้ ยิ่งกับคนอย่างเฉียวเค่อเหริน ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งเลยยังแค่ยืนมองเงียบๆ ด้วยความสงสัย
เฉียวเค่อเหรินหันไปหยิบแก้วไวน์มาให้ฝูเจิ้งเจิ้ง “ซือฉีน่ะอยู่ตรงกลางระหว่างเราสองคน เพราะงั้นเราควรจะแข่งกันด้วยความยุติธรรม ถ้าพูดแบบนี้แล้วมันคงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหากฉันจะใช้ลูกไม้ในการเข้าหาเขาบ้างซักนิดซักหน่อย แต่ฉันรู้สึกผิดจริงๆ ที่ได้ทำไม่ดีถึงซิงซิงไปน่ะค่ะ เขาน่ะยังเด็กแล้วก็น่ารักมากๆ ด้วย แต่เพราะฉันแท้ๆ ฉันเกือบจะพลั้งมือฆ่าเขาไปแล้ว คุณฝูช่วยเตือนสติฉันได้ในวันนั้นจริงๆ ยิ่งพอฉันกลับไปทบทวน ฉันก็ยิ่งรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำลงไปมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ …. ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งรับไวน์ไว้แต่ไม่ได้ดื่มซะทีเดียว กลับกันเธอยังคงพยายามคิดตามตลอดว่าเฉียวเค่อเหรินต้องการจะทำอะไรกันแน่
แก้วไวน์ในมือเฉียวเค่อเหรินนั้นถูกกระดกไปจนหมดแล้วด้วยเจ้าตัวเอง ทว่าเมื่อเธอเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งยังไม่ดื่ม ใบหน้าสวยก็เศร้าลงด้วยความผิดหวัง “คุณกลัวที่จะดื่มไวน์ที่ฉันให้เหรอคะ? หรือว่าเพราะไม่อยากจะให้อภัยฉัน? ถ้าหากเป็นด้วยเหตุผลอย่างหลังล่ะก็ จะให้ฉันขอโทษอีกรอบก็ได้นะคะ แต่ถ้าเป็นด้วยเหตุผลข้อแรก ขอให้คุณฝูมั่นใจได้เลยค่ะ จะให้ฉันดื่มแก้วของคุณให้ดูด้วยก็ได้”
ตัวฝูเจิ้งเจิ้งนั้นไม่ได้อยากจะมีเรื่องอะไรกับเฉียวเค่อเหรินอยู่แล้ว และเมื่อคิดย้อนกลับไปว่าเฉียวเค่อเหรินเองก็เพิ่งจะหยิบไวน์มาจากจุดที่เตรียมไว้ให้หยิบดื่มต่อหน้าต่อตาเธอเมื่อครู่ เธอจึงตัดสินใจดื่มมันในที่สุดเพื่อตัดปัญหา
“ขอบคุณมากเลยค่ะ คุณฝู” เฉียวเค่อเหรินดูอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว “ไว้ใจได้เลยนะคะ ว่าฉันเองก็จะรักซิงซิง เหมือนกับที่ซือฉีรักเหมือนกัน แต่ฉันยังไม่เลิกหวังว่าจะให้คุณล้มเลิกความตั้งใจที่จะแข่งกับฉันเพื่อให้ได้ซือฉีมาครองหรอกนะคะ”
“ฉันไม่ได้สนใจอะไรในตัวคุณหานอยู่แล้วค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มให้เธอแล้วเดินจากไป เมื่อรู้ว่าเฉียวเค่อเหรินไม่ได้ตามมาแล้ว เธอก็รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก
เมื่อเธอกลับไปยังบ้านหลังเก่านั้นอีกครั้ง ในเวลานี้มันไม่มีใครอยู่บริเวณนั้นแล้ว การที่จะได้สำรวจเป้าหมายด้วยความสบายใจนี้มันก็ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งอดไม่ได้ที่จะยิ้มแก้มปริออกมา
เธอจะใช้เวลาที่มีมหาศาลนี้ในการเดินสำรวจไปรอบๆ บ้าน และสิ่งที่ทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งต้องตกใจสุดๆ นั่นก็คือ มีหน้าต่างบานหนึ่งที่ไม่ได้ปิดสนิท บางทีมันอาจจะถูกใช้เป็นช่องลม ดังนั้นแล้วเธอจึงค่อยๆ ดันมันออกและเตรียมที่จะปีนเข้าไปในนั้น ทว่าจู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้นกับร่างกายของเธอ
ด้วยสัญชาตญาณ ฝูเจิ้งเจิ้งรีบอิงตัวพิงไปกับกำแพง สองมือกุมหัวของตนไว้แน่นขณะที่เปลือกตาก็ปิดสนิทด้วยความปวดร้าวนั้น
อาการแปลกประหลาดนี้ไม่ได้หายไปแม้เธอจะจะนั่งนิ่งๆแล้วก็ตาม กลับกันมันกลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกร้อนรุ่มและกระหายมากขึ้น ความรู้สึกเหล่านี้มันชัดเจนจนตัวเธอเองไม่สามารถโฟกัสกับสิ่งที่ต้องทำได้
เธอเมาเพราะดื่มไวน์เพียงแก้วเดียวเนี่ยนะ?
จะว่าไปรอยยิ้มของเฉียวเค่อเหรินที่เห็นนั่นก็น่าสงสัยเหมือนกัน…
แต่มันจะเป็นไปได้เหรอ? ก็ในเมื่อเธอก็เห็นเองกับตาว่าเฉียวเค่อเหรินนั้นสุ่มหยิบเอาแก้วไวน์มาจากโต๊ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ไม่มีเวลามาคิดถึงสาเหตุแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ควรคิดคือจะทำยังไงต่อ เพราะอาการที่เป็นอยู่นั้น มันคล้ายกับ…อาการที่เคยเห็นในนิยายรักผู้ใหญ่เลย!
ไม่ปกติแล้ว!
เมื่อตระหนักได้ถึงหายนะที่กำลังคืบคลานเข้ามา ใจที่หนักแน่นก็เริ่มเป็นกังวล สิ่งแรกที่เธอพยายามทำก็คือโทรหาสวี่เหยียน ฝูเจิ้งเจิ้งทิ้งตัวลงนั่งแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดโทรออก ทว่าต่อสายอยู่นานแต่ก็ไม่มีใครรับ
เหงื่อเม็ดเล็กเม็ดน้อยเริ่มผุดพรายออกมาทั่วทั้งตัว หัวใจของเธอเต้นระส่ำและแรงขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าหากยังติดต่อสวี่เหยียนไม่ได้ เธอจะหมดสติแล้ว… หมดสติในสถานการณ์แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ !
“เป็นอะไรไปน่ะ!” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นในโสตประสาทที่กำลังเลือนราง
——————————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
เฉียวเค่อเหรินชัวร์ มาขนาดนี้แล้วยัยนี่ไม่ยอมง่ายๆ หรอก เริ่มมีการพัฒนาไม่ทำอะไรไม่ดีโต้งๆ แล้ว ร้ายจริงๆ
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-