เธอเจ็บราวกับกระดูกจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หญิงสาวพยายามสะบัดแขนออกจากมือหนาทว่ามันก็ไม่สำเร็จ คราวนี้ฝูเจิ้งเจิ้งตัดสินใจกัดเข้าไปที่แขนของเขาเต็มแรง
มือที่จับฝูเจิ้งเจิ้งไว้สั่นไหวเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยเธอไป หญิงสาวคิดว่าเขาคงไม่เจ็บแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงเพิ่มแรงกัดมากขึ้น และไม่ยอมหยุดกัดจนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูตามมาด้วยเสียงร้องของฝูซิง
“ป๊ะป๋า! หม่ามี๊! อย่าทะเลาะกัน! เปิดประตู! เปิดประตูให้ฝูซิงเข้าไป ฝูซิงกลัว! อย่าทะเลาะกัน!”
เธอเหลือบมองหานซือฉีด้วยแววตาแห่งความเกลียดชังและไม่ได้เดินไปเปิดประตูแต่อย่างใด
เพราะตัวเธอรู้ดีว่าถ้าหากปล่อยให้ฝูซิงเข้ามาเห็นภาพที่เธอกำลังอารมณ์เสียสุดๆ แบบนี้ มีหวังเขาได้กลัวไปมากกว่าเดิมแน่ๆ
ทว่าไม่คาดคิดเลย หานซือฉีกลับเป็นฝ่ายเดินไปที่ประตู ในจังหวะที่เขาเดินผ่านเธอไปนั้น เธอก็เห็นชัดเจนว่าเขาลดแขนเสื้อลงมาเพื่อปิดแขนที่มีเลือดไหลออกมานั่นแล้ว
ในทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เฉินเฉี่ยวหลานและฝูซิงก็ยืนอยู่หน้าประตูแล้ว เฉินเฉี่ยวหลานอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแต่ท้ายสุดเธอก็ไม่ได้พูดออกมา ทั้งสองมองเข้ามาในห้องด้วยความกังวล เมื่อฝูซิงเห็นหานซือฉี เขาก็ร้องออกมาเสียงดัง “ป๊ะป๋า! หม่ามี๊! อย่าทะเลาะกัน! ฝูซิงกลัว!”
“พวกเราไม่ได้ทะเลาะกันซักหน่อย ป๊ะป๋าก็แค่แหย่หม่ามี๊เล่น” หานซือฉีเข้าไปปลอบฝูซิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะที่ตัวเขาก็ย่อตัวลงไปอุ้มร่างเล็กนั้นมาเช็ดน้ำตาด้วย
ฝูซิงหันกลับไปมองยังแม่ของตนราวกับจะยืนยันว่าเป็นจริงหรือเปล่าด้วยใบหน้าที่ยังคงเปื้อนน้ำตาอยู่ ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกใจสลายที่ต้องเห็นภาพนี้ เธอไม่สามารถทำให้ลูกของเธอต้องเจ็บช้ำไปมากกว่านี้อีก จึงทำได้เพียงพยักหน้ารับเบาๆ
“ไม่ต้องร้องนะฝูซิง ถ้าลูกร้องไห้แบบนี้ ลูกจะไม่เป็นผู้ชายนะ”
เฉินเฉี่ยวหลานถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอมองไปยังพวกเขาก่อนจะปรบมือเรียกความสนใจจากฝูซิง “ซิงซิง ป๊ะป๋ากับหม่าม๊ายังมีเรื่องที่ต้องพูดกันอยู่ มามะ เดี๋ยวย่าจะพาหนูไปกินซุปไข่นะลูก”
หานซือฉีจุ๊บหน้าผากของฝูซิงไปทีหนึ่งก่อนจะวางเขาลงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “เด็กฉลาดสมควรจะได้ทานซุปไข่ เด็กดี เดี๋ยวป๊ะป๋ากับหม่ามี๊จะกลับมาอยู่ด้วยหลังคุยธุระเสร็จนะ”
แม้จะยังร้องไห้อยู่บ้าง แต่ฝูซิงก็พยักหน้า เขายอมปล่อยแขนออกจากคอของหานซือฉีและให้เฉินเฉี่ยวหลานอุ้มแทนก่อนจะปิดประตูห้องไว้ดังเดิม
เมื่อภายในห้องกลับมาเหลือแค่คนสองคนอีกครั้ง บางสิ่งบางอย่างมันกลับเปลี่ยนไป ไม่มีการทะเลาะต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ ฝูเจิ้งเจิ้งผู้ที่ยืนอยู่ห่างจากหานซือฉีนั้นกำลังหันหน้ามองไปทางอื่นเพื่อข่มอารมณ์โกรธที่เปรียบดั่งไฟที่ยังคงลุกไหม้อยู่ในทรวง
แม้จะรู้สึกแล้วว่าเขากำลังเดินเข้ามาใกล้ แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังไม่ยอมหันไปมองราวกับว่ากำลังเงียบเพื่อรอให้อีกฝ่ายเป็นผู้เปิดฉากรอบต่อไป
ชายหนุ่มยื่นแขนเข้ามาใกล้ตัวเธอ และฝูเจิ้งเจิ้งก็ออกตัวหลบแบบไม่ต้องคิด ทว่ามันกลับกลายเป็นว่าเธอหลุดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาแทน
หญิงสาวพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดออกจากอ้อมกอดของเขา แต่อีกฝ่ายกลับกอดเธอเอาไว้แน่นขึ้นเรื่อยๆ
“เธอเป็นผู้หญิงของฉัน! ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปไหนทั้งนั้น!” เสียงนี้ดังมาจากเหนือหัวของเธอ ด้วยตำแหน่งและความสูงของเขา
ถ้อยคำที่เหมือนจะเป็นการเอาแต่ใจนั้น มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งถึงกับหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง ความเอาแต่ใจของหานซือฉี มันดันไปคล้ายกับเสียงๆ หนึ่งที่วนอยู่ในหัวเมื่อนานมาแล้ว ‘ฝู เธอเป็นผู้หญิงของฉันแล้ว เธอจะไม่ทิ้งฉันไปใช่ไหม? ไม่สิ ฉันไม่ยอมให้เธอทิ้งฉันไปไหนทั้งนั้น!’
เธอยังจำได้ดีว่ามันเป็นคำพูดที่เธอได้ยินในเช้าวันที่ตื่นมาแล้วพบว่าตนเองและเหนียนซี่นั้นต่างนอนเปลือยเปล่าอยู่ข้างๆ กัน และบนผ้าปูเตียงเองก็มีคราบเลือดสีแดงเปื้อนเลอะอยู่ ซึ่งย้ำเตือนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย ในตอนนั้นเธอรู้สึกละอายใจตัวเองมากๆ จนทำอะไรไม่ถูก
ในขณะที่กำลังแต่งตัว เหนียนซี่ก็เข้ามากอดเธอแน่นจากด้านหลัง แล้วพูดประโยคนั้นออกมา
ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมเด็กไร้เดียงสาอย่างเขาถึงพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้ แต่คิดเหรอว่าเธอจะไม่เห็นถึงแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักของเขา เขารักเธอจนหมดหัวใจ?
เรื่องที่เหนียนซี่ต้องอยู่คนเดียวมาโดยตลอดนั้นเธอรู้อยู่แล้ว และเธอก็ไม่ได้อยากจะพรากจากเขาไปเลย แต่เพราะตัวเองในตอนนั้นเพียงแค่อยากจะหาทางออกจากวิกฤตโดยที่ไม่คิดไตร่ตรองให้ดีเท่านั้น
‘ฉันจะออกไปข้างนอก ดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วจะรีบกลับเข้ามานะ!’ นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่เธอได้พูดไว้พร้อมกับรอยยิ้มให้แก่เขา
‘ฝู ฉันจะรอเธอที่นี่นะ! ฉันจะรอให้เธอกลับมา!’ และนั่น…ก็เป็นประโยคและภาพสุดท้ายที่เธอได้เห็นเขา ภาพใบหน้าของเหนียนซี่ที่มั่นใจว่าเธอจะต้องกลับไป
เมื่อลูกน้องของหลี่หมิงตามจับตัวเธอจนได้ ในตอนนั้นเธอคิดว่าเธอคงจะต้องตายแน่ๆ ภาพใบหน้าของเหนียนซี่มันก็ลอยกลับเข้ามาให้เห็น ช่างน่าเสียใจจริงๆ ที่เธอเลือกทิ้งเขามาเช่นนี้
ถ้าหากว่าสามารถย้อนเวลากลับไปได้ล่ะก็…
ร่างของฝูเจิ้งเจิ้งที่อยู่ในอ้อมกอดของหานซือฉีกำลังสั่นเบาๆ เธอกำลังสะอื้น หัวใจของเขาเหมือนกำลังแตกสลายเมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอ “เจิ้งเจิ้ง…”
หญิงสาวกัดฟันแน่นและปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ฝูเจิ้งเจิ้งกอดหานซือฉีช้าๆ ทว่ามันก็แปรเปลี่ยนเป็นการทุบไปที่หลังของเขาแรงๆ ด้วยกำปั้น
เขาปล่อยให้เธอระบายความโกรธไปแบบนั้นอยู่นานจนกว่าจะปล่อยกอดออก แล้วถามด้วยเสียงต่ำ “ทำไมเธอถึงทิ้งฉันไปล่ะ? แล้วทำไมเธอถึงไม่ยอมตามหาตัวฉันหลังจากที่รู้ว่าตัวเองตั้งท้อง?”
ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยๆ เงยหน้ามองหานซือฉีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา เธอถามกลับด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือไปหมด “น-นายคือเหนียนซี่จริงๆ เหรอ? จำเรื่องพวกนั้นได้แล้ว…จริงๆ ใช่ไหม?”
หานซือฉีส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับกุมหัวของเขา หานซือฉีพูดอย่างเจ็บปวด “ความทรงจำหลายๆ อย่างภายในหัวของฉันมันดูเหมือนภาพจำที่ยังไม่ชัดเท่าไหร่ และทุกครั้งที่พยายามจะคิดถึงมัน ฉันจะปวดหัวอย่างหนัก ในท้ายที่สุดก็จะนึกไม่ออก เหมือนกับเงาที่เมื่อโดนความมืดก็จะหายไปในทันที ”
ฝูเจิ้งเจิ้งจับมือของเขาไว้อย่างรวดเร็ว เรื่องที่เขาปวดหัวบ่อยๆ นั้นเธอรู้อยู่แล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่ไปหาหลี่เสี่ยวเเมิ่งบ่อยๆ เพื่อให้ช่วยนวดให้หรอก
“ถ้ามันทำให้นายปวดหัวก็ไม่ต้องไปฝืนนึกถึงมันหรอก เดี๋ยวฉันจะเล่าให้นายฟังเอง” เธอปลอบเขาด้วยความอ่อนโยน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่หัวใจดวงน้อยมันก็เริ่มจะรู้สึกอุ่นขึ้นมาเสียแล้ว และมันดูจะเป็นช่วงเดียว ที่เธอจะยอมมองข้ามถ้อยคำร้ายๆ ที่เขาพูดไว้ก่อนหน้าด้วย
หลังจากที่พวกเขานั่งลงแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เริ่มเล่าเรื่องราวของวันเก่าๆ รวมไปถึงรายละเอียดเมื่อตอนที่เธอและเขาพบกันกับการเดินทางของเธอด้วย
“ทันทีที่ฉันออกมาจากสถานีตำรวจ ฉันเดินทางตามหานายหลายต่อหลายครั้งมากๆ แต่ก็หาไม่เจอซักที ตึกรามบ้านเมืองต่างๆ ที่เคยคุ้นหน้าคุ้นตาก็ถูกทุบทิ้งไปจนหมด ตอนนั้นน่ะฉันไม่สนอะไรทั้งนั้นแม้ตัวเองจะท้องได้ 4 เดือนแล้ว เมื่อครอบครัวของฉันรู้เรื่องนี้ เขาก็บังคับให้ฉันไปเอาเด็กออก แต่ทุกๆ ครั้งที่ฉันนึกถึงเรื่องเอาเด็กออก ฉันก็จะนึกถึงนายขึ้นมาด้วย มันกลายเป็นว่าฉันเอาแต่ลังเลจนเลยช่วงที่สามารถทำแท้งได้อย่างปลอดภัยมาแล้ว ด้วยเหตุนี้ฉันจึงลาออกจากโรงเรียน และด้วยความช่วยเหลือจากพี่ชาย ฉันก็ให้กำเนิดฝูซิงในที่สุด ฉันปฏิเสธที่จะให้คนอื่นมาเลี้ยงฝูซิง ครอบครัวของฉันจึงโกรธมากๆ พวกเขาเลยจึงไล่ฉันออกจากบ้าน โชคยังดีที่พี่ชายของฉันยังคงช่วยเหลือตลอดจนฉันสามารถใช้ชีวิตอยู่กับฝูซิงได้จนถึงทุกวันนี้”
ขณะที่พูดถึงเรื่องนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังยิ้มน้อยๆ ตลอด
ใช่แล้ว ไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาของเธอจะยากลำบากขนาดไหน แต่เมื่อใดที่ได้หันมามองฝูซิง เธอก็ไม่เคยคิดเสียใจเลยซักครั้ง
หานซือฉีค่อยๆ ยกมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำที่หางตาของเธออย่างอ่อนโยน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงนุ่ม “ทำไมเธอถึงไม่ยอมพาซิงซิงมาที่เมือง B ให้เร็วกว่านี้? บางทีหากเธอกลับมาเร็วกว่านี้ซักปีหนึ่ง พวกเราอาจจะได้พบกันเร็วกว่านี้ก็ได้”
ฝูเจิ้งเจิ้งหยุดไปชั่วขณะก่อนจะตอบ “หลังจากที่ฉันคลอดฝูซิงแล้ว ฉันก็กลับไปเรียนต่อน่ะ พี่ชายของฉันคอยช่วยเหลือจนกระทั่งฉันเรียนจบเมื่อปีที่แล้ว อีกอย่าง ฉันกลัวว่าจะโดนพวกลูกน้องของหลี่หมิงมาล้างแค้น เลยคิดว่าถ้าปล่อยให้เรื่องมันซาไปซักหลายๆ ปีหน่อย ก็น่าจะดีกับตัวเองซะมากกว่า เพราะงั้นถึงได้เพิ่งพาฝูซิงมาที่เมือง B เมื่อไม่นานมานี้ แต่ไม่คิดเลยว่าฝูซิงจะบังเอิญไปซื้อนายมาเป็นพ่อของเขาซะงั้น…”
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่น่าปลาบปลื้มใจ แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ลืมถึงตัวตนใหม่ที่ที่ทางสถานีตำรวจมอบให้ ดังนั้นเธอจึงไม่เล่าเรื่องอื่นที่ไม่จำเป็นออกไป
“บางทีหัวใจของพ่อและลูกอาจจะสื่อถึงกันก็ได้นะ” หานซือฉีหัวเราะออกมา ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนสีหน้าและหันไปจับไหล่ของเธอไว้พลางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังในทันที “เธอห้ามนอกใจไปกับชายคนอื่นอีก รวมไปถึงพี่รองของฉันด้วย!”
“ฉันก็บอกไปแล้วไงว่ากับพี่ชายของนายฉันไม่มีอะไรด้วยทั้งนั้น!” ฝูเจิ้งเจิ้งขมวดคิ้วอีกรอบ
“ฉันเชื่อใจเธอนะ” เขาพูดแล้วจึงกอดร่างของเธอไว้อีกครั้ง “แต่มันก็ยังรู้สึกหวงอยู่ดี”
“เข้าใจแล้ว…” ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยๆ กอดเขาช้าๆ และหลับตาลงด้วยความรู้สึกอิ่มเอมกับความอบอุ่นครั้งนี้ ความอบอุ่นที่เธอเฝ้าโหยหามาไม่รู้กี่ครั้งแล้วในความฝัน
แต่แล้วทันใดนั้นเธอก็ผลักเขาออก
“เกิดอะไรขึ้น?” หานซือฉีถามด้วยความงุนงง
หญิงสาวจับแขนข้างที่มีเลือดไหลอยู่ของเขามาแล้วรีบถกแขนเสื้อขึ้น เมื่อเห็นคราบเลือดสีแดงมันแห้งเกาะอยู่ที่ผิวนั้น เธอก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที
“เจ็บมากหรือเปล่า?” ฝูเจิ้งเจิ้งสัมผัสไปบริเวณใกล้ๆ จุดที่เธอกัดลงไปด้วยความเสียใจกับความรุนแรงที่เธอได้ก่อ
“เธอจะกัดเพิ่ม ให้ทั่วทั้งตัวฉันมีแต่รอยฟันของเธอ ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ”
“นายโรคจิตหรือยังไงน่ะ? ถ้าฉันกัดนายทั้งตัวจริงๆ ล่ะก็ นายได้เสียเลือดมากจนตายแ—-…!”
เมื่อตระหนักได้ว่าตนกำลังพูดอะไรไม่ดีออกไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็หยุดพูดไปในทันที
อย่างไรก็ตาม หานซือฉีไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นอยู่แล้ว เขาเอาเรื่องที่เธอพูดค้างไว้มาพูดต่อในเชิงหยอกเย้า “ถ้าจะตายเพราะเลือดหมดตัวจากรอยกัดของเธอ ฉันก็มีความสุขนะ”
“บ้า! ห้ามพูดอะไรไร้สาระนะ! ฉันยังสาวยังสวย แถมยังรู้สึกใช้ชีวิตไม่พอเลยด้วย!”
“เธอกำลังจะบอกว่า ถ้าฉันตาย เธอก็จะตายตามงั้นเหรอ?”
“ฉันยังไม่ได้พูดเลยว่าจะตายเพื่อนายน่ะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งหยิกแขนของเขาไปด้วยความโกรธเสียหนึ่งที
“โอ้ย!”
ได้ยินเสียงร้องโอดครวญของหานซือฉี เธอก็เหลือบไปเห็นว่าจุดที่เธอหยิกนั้นมันดันไปใกล้กับจุดที่เธอกัดไว้ก่อนหน้า เพราะงั้นด้วยความรู้สึกผิด เธอจึงรีบจับแขนของเขาไว้เบาๆ และก้มลงไปเป่าให้ด้วยสัมผัสที่อ่อนโยน
“เจิ้งเจิ้ง…”
“หือ?”
“เธอเล่าเรื่องมากมายให้ฉันฟังในวันนี้ และมันทำให้ฉันจำหลายๆ เรื่องได้อย่างคลุมเครือ แต่ยังไงมันก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ฉันจำไม่ได้”
“แค่จำคืนวันดีๆ ที่เราเคยแบ่งปันความสุขด้วยกันก็พอแล้วน่า ไว้เดี๋ยวฉันจะค่อยๆ เล่าเรื่องอื่นๆ ให้ฟังทีหลังก็แล้วกัน”
“แต่ฉันยังจำคืนนั้นไม่ได้เลย วันที่เราร่วมกันสร้างซิงซิงขึ้นมา ทำไมเธอไม่ลองช่วยทวนความจำฉันซักหน่อยล่ะ?”
เมื่อเห็นว่าบนใบหน้าของหานซือฉีนั้นเผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายออกมา เธอก็นึกถึงเหตุการณ์ในคืนวันที่ไปงานเลี้ยงบริษัททันที ความเขินอายแผ่ซ่านขึ้นมาผ่านแก้มนวลแปรปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ หญิงสาวบ่นออกมาด้วยความขวยเขิน “นายนี่มันน่ารำคาญจริงๆ!”
“น่ารำคาญงั้นเหรอ?” หานซือฉีใช้ขาของเขากดขาเรียวของเธอเอาไว้ก่อนจะขึ้นคร่อมและใช้แรงของเขากดร่างบางลงไปบนเตียง “ฉันได้ยินมาว่า ถ้าผู้หญิงบอกว่าใครน่ารำคาญ แสดงว่าเธอชอบคนคนนั้นจริงๆ”
“น่ารำ—-” ฝูเจิ้งเจิ้งหยุดพูดในทันทีเมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาพูดมาก่อนหน้า
“เธออยากได้อะไรจากฉันล่ะ? มาสิ เดี๋ยวฉันจะทำให้เธอพอใจเอง” เขางับลงไปที่ใบหูของเธอเบาๆ ราวกับกำลังอ้อนวอนให้เธอตอบรับ
ใบหูที่โดนกัดนั้นร้อนรุ่มดั่งโดนไฟเผา เธอดิ้นไปมาและดุเขากลับไปด้วยเสียงเบา “เลิกแกล้งฉันได้แล้วน่า”
“ไม่ได้แกล้งซักหน่อย”
หานซือฉียิ้มร้ายอีกครั้งก่อนจะก้มลงไปจูบริมฝีปากบางของเธอ ทั้งสองส่งผ่านความรู้สึกดีให้กันและกันอย่างโหยหา
ฝูเจิ้งเจิ้งหน้าแดงมากขึ้นด้วยความเขินอาย เธออยากจะหยุดเขาแต่ร่างกายกลับเลือกที่จะปฏิเสธ
หากไม่นับค่ำคืนนั้นแล้ว เธอน่ะเคยสัมผัสความรู้สึกนี้ได้แค่ในฝันเท่านั้น ความรู้สึกที่หวานล้ำจนอยากจะปล่อยตัวปล่อยใจไปพร้อมๆ กัน
ครั้งนี้มันไม่ใช่ฝันอีกต่อไปแล้ว เพราะผู้ที่กำลังมอบสัมผัสที่หวานล้ำให้เธอนั้นก็คือเหนียนซี่ ผู้ชายที่เธอเฝ้าโหยหามาตลอด
ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมากอีกแล้ว ร่างกายที่เคยต่อต้านเขา ในตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นค่อยๆ ประคองกอดคนตรงหน้าไว้ขณะที่ปล่อยให้หยาดน้ำตาแห่งความสุขสมมันไหลลงมาจากหางตาไปด้วย
———————————————————-
ฟากฟ้ายามเย็นค่อยๆ จางหายไปแล้ว เมื่อความมืดเข้าครอบงำจนไม่เหลือแสงสว่างจากดวงอาทิตย์อีกต่อไป ทั้งสองที่นอนคุยกันอยู่บนเตียงจึงตระหนักได้ว่าพวกเขาอยู่ในห้องนี้ด้วยกันนานมากแล้ว ความรู้สึกผิดมันกระตุ้นให้ทั้งสองร่างลุกขึ้นมาแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะเดินออกจากห้องที่ยังกรุ่นไปด้วยบรรยากาศของความอบอุ่นนั้นไป
ที่ด้านนอกห้องนั้น ทั้งเฉินเฉี่ยวหลานและฝูซิงต่างพากันไปนอนแล้ว จะเหลือก็แต่อาหารที่ยังอุ่นๆ อยู่เท่านั้น
นาฬิกาบ่งบอกว่านี่เป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าแล้ว เธอแตะหน้าผากตนเองก่อนจะพูด “ดึกขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย พวกเรา…เอ่อ… แต่ป้าเฉินก็ไม่ได้เข้าไปเรียกเลยนี่นา…”
หานซือฉีหันมายิ้ม “เธอคิดว่าป้าเฉินจะประหม่าหรือเปล่าล่ะถ้าโผล่มาเรียกตอนนั้นน่ะ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งหน้าแดงขึ้นมาทันทีก่อนจะมองค้อนไปยังอีกฝ่าย
ชายหนุ่มปลีกตัวไปจัดจานให้เรียบร้อยก่อนจะทานมื้อเย็นด้วยกัน และเมื่อทั้งสองทานอาหารเรียบร้อยแล้ว หานซือฉีก็ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาอีกครั้งเพื่อเตรียมจะกลับบ้านของตนไป
“นี่มันดึกมากแล้วนะ…”
ด้วยคำพูดนั้น หานซือฉีก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะถาม “เธอกำลังจะบอกให้ฉันอยู่ต่อหรือไง?”
“ไม่…ไม่ เอ่อ…” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดไม่ออก จริงๆ เธอแค่อยากจะบอกให้เขาขับรถดีๆ เพราะกลางคืน แม้ถนนจะโล่งแต่มันก็ไม่ปลอดภัยซักเท่าไหร่
หานซือฉีลูบไล้ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอมก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ฉันยังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการอีกนิดหน่อย แล้วจะกลับมาพรุ่งนี้นะ”
จะกลับมาพรุ่งนี้เหรอ…
ในใจของฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกเคอะเขินขึ้นมาเมื่อได้ยินคำนี้
เธอมองหานซือฉีหายไปในลิฟต์แล้วจึงกลับเข้าไปในห้องดังเดิม
หลังจากที่ประตูลิฟต์ปิดลงไปแล้ว หานซือฉีก็หยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมาก่อนจะโทรหาใครบางคน
“ได้ข้อมูลที่ฉันต้องการหรือเปล่า?”
——————————————————————————————————–
คุยกับผู้แปล
โห 3 มู้ด ใน 1 ตอน จบด้วยหวานๆ ก็ไม่ได้ ดันมาจบด้วยมู้ดแบบ “อะไรนะ? ข้อมูลอะไร๊!”