เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 5 เจ้าว่ามีศิษย์สตรีลงเล่นน้ำ?

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

แล้วก็กินเวลาไปอีกนาน จนกระทั่งใบหน้าแดงก่ำของอาวุโสสี่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง บ่งบอกว่าพิษเริ่มกำเริบแล้ว

“ไม่มีเวลาแล้ว เลิกเกาะแกะข้าเสียที” เห็นชีวิตคนมีค่า ในดวงตาของฉินจิ่วเกอเริ่มฉายแววเด็ดเดี่ยวขึ้นหลายส่วน

จะร้ายดียังไงมันก็เคยตายมาแล้วสองครั้ง หากจำเป็นต้องใจยักษ์ใจมาร เชื่อว่าใต้หล้าคงไม่มีใครเกินมัน

“ท่านจะมาโทษข้าไม่ได้นะ” นัยน์ตาของฉินจิ่วเกอเริ่มมีน้ำตารื้นชื้น ดูไปคล้ายดรุณีวัยแรกแย้มที่ยังไม่ทันเผชิญโลกก็ถูกขายทอดให้กับสำนักคณิกา “เป็นท่านบีบคั้นข้า นับแต่ข้ามมายังโลกนี้ สวรรค์ก็เอาแต่พรากโอกาสในการทำความดีไปจากข้าอยู่เรื่อย”

ก่อนที่อาวุโสสี่จะทันได้ตอบสนอง ฉินจิ่วเกอก็หยิบป้านน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วทุ่มลงบนศีรษะที่เพิ่งผงกขึ้นของอาวุโสสี่ทันที

เพล้ง เสียงเครื่องลายครามแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับร่างของอาวุโสสี่ที่ทรุดฮวบลงไปกับพื้น

“ฮึ่ม” ฉินจิ่วเกอพ่นลมออกจมูก ก่อนจะกำจัดหลักฐานในมือไปให้พ้นตัว “แค่นี้ก็หมดเรื่อง รอข้าอยู่นี่แหละ แล้วข้าจะรีบกลับมา”

“อย่าไป พาข้าไปด้วย” อาวุโสสี่ที่สลบเหมือดถึงกับยังประคองสติไว้ได้ หากน้ำเสียงกลับระโหยโรยแรงสุดจะกล่าว

นัยน์ตาของฉินจิ่วเกอสาดประกายอำมหิต เก้าอี้ที่วางอยู่ข้างตัวถูกยกขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนจะเหวี่ยงโครมลงมา เกิดเสียงดังคราหนึ่ง หลังจากตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าอาวุโสสี่คราวนี้หมดสติไปแล้วจริงๆ มันก็จัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกไป

นิทานล้วนแต่เขียนไว้แบบนี้ทั้งสิ้น ผู้อาวุโสถูกพิษร้ายเล่นงานขณะปราศจากคน ตนเองวิ่งพล่านวุ่นวาย รอจนหมอมาถึงกลับหาคนไม่เจอ สุดท้ายพลาดโอกาสอันดีที่จะช่วยชีวิตไป

เพื่อป้องกันมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ฉินจิ่วเกอจึงเลือกแก้ปัญหาด้วยกำลัง ที่จริงถือเป็นเรื่องดี

โบราณว่าไว้วิถีแห่งเต๋าอยู่ในอุจจาระ ฉินจิ่วเกอที่ร่วงลงในหลุมถ่ายมาแล้วเข้าใจกระจ่าง ถือว่าบรรลุมหาวิถีแล้ว

“ใครก็ได้ช่วยด้วย ช่วยชีวิตด้วย” เสียงเรียกขอความช่วยเหลือตามวิธีดั้งเดิมพลันดังกังวานขึ้นในพรรคหลิงเซียวอันสงบเงียบ

“ใครเรียกให้ช่วยชีวิต?”

บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายวางมือจากกิจการทุกอย่าง พร้อมเงี่ยหูฟัง

“ข้าฟังอย่างไร ก็เหมือนเสียงของศิษย์พี่ใหญ่?” มีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น

“สวรรค์เอย คนตายหมดแล้วหรือไม่?” ฉินจิ่วเกอทางหนึ่งวิ่งทางหนึ่งตะโกนร้อง ในจิตใจวิตกทุกข์ร้อน หากยังไม่มีคน ตนเองคงต้องใช้ลูกไม้เก่าแม้ว่ามันจะเป็นวิธีที่คนซื่อตรงถือคุณธรรมอย่างมันรังเกียจยิ่งก็ตาม

“เป็นศิษย์พี่ใหญ่จริงๆ อย่าไปสนใจ” ทุกคนพอเห็นว่าที่ร้องขอชีวิตอยู่นั้นคือฉินจิ่วเกอ ก็ไม่มีใครแยแส ทำเป็นหูหนวกตาบอด ตลอดทั่วทั้งฝ่ายในของพรรคยังคงเงียบสงัดงัน

ฉินจิ่วเกอในใจสิ้นหวัง ได้แต่ยกสองมือขึ้นป้องปาก ตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดังลั่น “รีบมาเร็ววว มีศิษย์สตรีลงอาบน้ำอยู่ในสระ!”

“อะไรนะ กลางวันแสกๆ กลับเกิดเรื่องน่าละอายไร้คุณธรรมปานนี้ได้!” ไม่รอให้บรรดาศิษย์มีปฏิกิริยา ด้านนอกพรรคหลิงเซียว มีเสียงดังลั่นสนั่นด้วยโกรธาถ่ายทอดมา

อาวุโสสองผู้เพิ่งออกจากการบำเพ็ญเพียรคำรามด้วยโทสะ ร่างทะยานขึ้นกลางหาว ดูราวกับเงา กระโจนคราเดียวไปไกลร้อยเมตร มาถึงเบื้องหน้าฉินจิ่วเกอในทันที

ฉินจิ่วเกอแตกตื่นตะลึงจนใจสั่น ปากอ้าตาค้าง ใจเย็นไว้ๆ นี่สินะผู้บำเพ็ญพรตที่แท้ตัวจริงเสียงจริง ช่างน่าทึ่ง หวังว่าข้างหลังคงไม่ได้ใส่เครื่องไอพ่นไว้หรอกนะ?

“อาวุโสสองเป็นเลิศทั้งบุ๋นบู๊ อายุยืนหมื่นปี ชีพยืนยาวชั่วกาลปวสาน” ฉินจิ่วเกอคารวะด้วยมารยาทอีกครั้ง เปรียบเทียบกันแล้ว อาวุโสสี่ช่างน่าสังเวชเกินไปแล้ว แค่ยาเม็ดสีดำเม็ดเดียว ก็ถูกเล่นงานซะจนเกือบสิ้นชื่อซะแล้ว

มองดูการเปิดตัวของอาวุโสสอง นี่จึงเรียกได้ว่าสมศักดิ์ศรี อาภรณ์ไร้ธุลีเท้าไม่แตะพื้น ทะยานขึ้นกลางเวหา ส่งผลให้คนมีแต่ต้องถอนใจด้วยความเลื่อมใส มีเพียงขั้นวิสุทธิ์ที่สามารถเปิดทะเลแห่งจิตได้ จึงสามารถเหาะเหินเดินอากาศ ไม่ทราบอาวุโสสองใช่อยู่ระดับนี้หรือไม่

“เป็นเจ้า?” อาวุโสสองย่นจมูก เครายาวกระพือไหวอยู่ตรงอก

ศิษย์คนอื่นอาวุโสสองอาจไม่รู้จัก แต่ฉินจิ่วเกอในฐานะศิษย์เอกของสำนักฝ่ายใน อาวุโสสองยังนับว่าคุ้นหน้าอยู่บ้าง ดูจากสีหน้าของอาวุโสสอง ฉินจิ่วเกอคาดคิดคำนวณ ความประทับใจของอีกฝ่ายต่อตนเองคงอยู่ราวๆ ถังมูลถังหนึ่งนั่นเอง

“เจ้าร่ำร้องโวยวายไร้สาระอันใด?” อาวุโสสองยกนิ้วชี้ตวาดด่าทอ สีหน้าเที่ยงธรรมขัดเคืองยิ่ง “ดูอันใด? ไสหัวกลับไปฝึกวิชาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นก็จงขึ้นเขากักตัวให้แก่ข้า!”

วาจาแฝงด้วยพลังวิญญาณ ก้องกังวานไปทั่วทั้งพรรคหลิงเซียว

ศิษย์อื่นล้วนปิดหูวิ่งห่างออกไป แต่ฉินจิ่วเกออยู่ใกล้อาวุโสสองที่สุด ถูกเสียงลั่นปานฟ้าร้องโจมตีจนร่วงไปกองกับพื้น

ช่างเป็นเสียงที่ทรงพลังนัก!

มองเห็นไอวิญญาณจากร่างของอาวุโสสองปลดปล่อยออกมา รวมรั้งกลางอากาศเปลี่ยนเป็นลักษณ์มังกรพยัคฆ์

หมุนวนลอยล่อง ราวกับเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ผสานเป็นร่างกลางอากาศ

มองดูร่างยืนหยัดกลางฟ้า สองมือไพล่หลัง ไร้ซึ่งอุปสรรคขัดขวางใดๆ ช่างเป็นท่วงท่าของยอดคนระดับชั้นไหน!

ฉินจิ่วเกอที่ถูกทำให้แตกตื่นถึงวิญญาณ ในห้วงสมองของมัน เริ่มหวนระลึกถึงความทรงจำของอาวุโสสองขึ้นมาได้รางเลือน

อาวุโสสองของพรรคหลิงเซียว ระดับการฝึกปรือไม่ทราบ อายุไม่ทราบ ปกติวาจาเผ็ดร้อนไม่หวานหู ไม่ถูกกับอาวุโสสี่ จนถึงวันนี้ หัวหน้าพรรคและหัวหน้าอาวุโสปิดด่านกักตน เรื่องราวเล็กใหญ่ทั้งหลายในพรรคล้วนเป็นอาวุโสสองสะสาง

สามารถกล่าวได้ว่า อาวุโสสองตอนนี้ คือผู้กุมอำนาจเพียงผู้เดียวในพรรค

ครั้งแรกที่พบอาวุโสสอง ฉินจิ่วเกอสัมผัสได้ อีกฝ่ายแข็งแกร่งยิ่ง

อย่างน้อยตนเองในตอนนี้ อาวุโสสองลงมือส่งๆ ก็สามารถเข่นฆ่าได้เป็นร้อยรอบ

ฉินจิ่วเกอเองก็ปรารถนาพลัง หากกลับไร้ซึ่งจังหวะและโชควาสนา

“ศิษย์สตรีที่เจ้าว่าลงอาบน้ำเล่า?” นัยน์ตาอาวุโสสองเบิกกว้างราวตาวัว เพียงแค้นไม่อาจใช้พลังจิตสังหารฉินจิ่วเกอที่เบื้องหน้า

นี่ฉินจิ่วเกอลงความเห็น ชัดเจนว่าอาวุโสสองมิใช่คนรักถนอมบุปผา และแน่นอน มันชิงชังรังเกียจพวกถ้ำมองอย่างที่สุด

คนพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ อาวุโสสองที่เบื้องหน้านี้อันใดล้วนดียิ่ง เพียงแต่รักหน้าตายิ่งกว่าชีวิต หากพูดจาหวานหูล้วนสามารถปล่อยผ่าน หากวาจาไม่น่าฟังแล้ว จะกลายเป็นคนประเภทหนาวแทบตายยังไม่กลัวลมพัด หิวแทบตายยังไม่ยอมรับประทาน เป็นพวกปากแข็งราวเป็ดตายเทือกนั้น

ในฐานะอาวุโสสองของพรรค อย่างน้อยต้องเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ อาวุโสสองตอนนี้รับผิดชอบเรื่องราวภายในพรรค หากฉินจิ่วเกอกลับตะโกนโหวกเหวกวุ่นวาย มิเท่ากับเป็นการสาดน้ำเน่าใส่ร่างเปลือยเปล่าของอาวุโสสองหรอกหรือ นี่แปลว่ามันไม่กวดขันพรรคให้ดี?

สามหาวนัก ไม่ต่างจากเห็นตนเองเป็นคนหูหนวก เปรียบกับการฆ่ามันยังยากรับได้ยิ่งกว่า อาวุโสสองเพลิงพิโรธพลุ่งพล่าน นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว แถมทั้งสองครั้งยังเป็นตัวสวะตัวเดิมอีก!

หน้าตา ล้วนไม่หลงเหลือแล้ว เกียรติภูมิเล่า ล้วนไม่เหลือหลอเช่นกัน!

หากมิใช่เห็นแก่หน้าอาจารย์ของมัน ข้าคง… อาวุโสสองจ้องเขม็งไปยังฉินจิ่วเกอ เพลิงอาฆาตลุกท่วมศีรษะ ตระเตรียมเตะก้นสั่งสอน

ฉินจิ่วเกอเองมิใช่โง่ทึบ มันสังเกตเห็นรังสีอำมหิตในดวงตาของอาวุโสสอง

ที่แน่นอนก็คือ อาวุโสสองไม่ได้จะควักซองแดงออกมาให้ตนอย่างแน่นอน หากวันนี้ตนหักหน้าอีกฝ่าย พรุ่งนี้ให้เตรียมจองศาลาไว้ได้เลย

“อาวุโสสอง ศิษย์มีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ หาไม่แล้วไหนเลยจะกล้างัดลูกไม้เช่นนี้ออกมาใช้” ขณะอธิบาย ฉินจิ่วเกอก็ค่อยๆ ถอยห่างออกมาด้วยความระมัดระวัง น้ำเสียงไม่อ่อนข้อไม่ถือดี

อาวุโสสองยามนี้เดือดจัด ไหนเลยจะยอมรับฟังอันใด เจ้าเด็กสามหาว ฉีกหน้าบิดาเสียจนยับเยินป่นปี้ ว่ากันว่าศิษย์เปรียบเสมือนแขนขา หน้าตาเปรียบเสมือนเสื้อผ้า ใครกล้าฉีกเสื้อผ้าของอาวุโสสอง เช่นนั้นมันก็กล้าตัดแขนขาคนผู้นั้นเหมือนกัน

“พรรคเล็กๆ อย่างพรรคหลิงเซียว จะมีก็แต่เรื่องขี้ปะติ๋วสิไม่ว่า” คำพูดทุกคำล้วนเค้นผ่านแนวฟันที่ขบกันแน่นจนแทบปริแตก

“คนที่เดือดร้อนหาใช่ข้า” ฉินจิ่วเกอรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน ขณะเดียวกันก็รีบผนึกลมปราณภายในร่าง ในกรณีที่ตนอาจตายก่อนวัยอันควร

“เช่นนั้นเป็นใคร?” เพลิงโทสะในดวงตาของอาวุโสสองแทบจะกลายเป็นจับต้องได้ มันอยากจะจับคนผู้นั้นมาเผาทั้งเป็น และไม่ใช่แค่เผาธรรมดา หากจะตรึงด้วยไม้กางเขนให้มันดิ้นทุรนทุรายอีกด้วย

“เป็น เป็นอาวุโสสี่ โถ่ สวรรค์ อาวุโสสอง ท่านรีบหน่อยได้หรือไม่ มัวแต่ชักช้าจะไม่ทันการณ์แล้ว!”

นึกถึงอาวุโสสี่ที่คงจะต่อสู้กับพิษร้ายสุดกำลัง ฉินจิ่วเกอก็เหมือนตื่นจากฝัน นั่นต่างหากจึงจะเป็นเรื่องด่วน ซ้ำยังเป็นเรื่องด่วนชนิดคอขาดบาดตายอีกด้วย!

“ไอ้เด็กนรก ไฉนไม่รีบบอกให้ไวกว่านี้ ยังไม่รีบนำทาง!”

อาวุโสสองพลันลดตัวลงมา พร้อมกับวาดมือออกคราหนึ่ง ร่างของฉินจิ่วเกอก็ถูกยกลอยขึ้นฟ้า

ความรู้สึกยามเหาะเหินกลับไม่ได้วิเศษอย่างที่คิด นี่เป็นเพราะระดับฝีมือขั้นหลอมวิญญาณอันกระจ้อยร่อยของฉินจิ่วเกอ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีแม้แต่จุดตันเถียน ผู้ที่อยู่จุดล่างสุดของทวีปฉงหลิง

เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมคนร่วงตกจากฟ้า อาวุโสสองจึงต้องคว้าคอเสื้อฉินจิ่วเกอเอาไว้ สภาพไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือ

ฉินจิ่วเกอผู้น่าสงสารแท้จริงแล้วกลับหวาดกลัวความสูงอยู่บ้าง ร่างของมันห้อยต่องแต่งไปมา คล้ายเนื้อแดดเดียวที่ใกล้จะตากจนได้ที่

“อาวุโสสอง ท่านหิ้วข้าเป็นลูกไก่เช่นนี้ ข้าคงไม่อาจสู้หน้าใครได้อีกแล้ว” ฉินจิ่วเกอโอดครวญไปพลางพยายามใช้มือบังใบหน้าไปพลาง รู้สึกอับอายขายขี้หน้าเหลือจะรับ

“ชีวิตคนมีค่า อะไรปล่อยวางได้ก็ควรปล่อยวาง ควรรู้ว่าชื่อเสียงผลประโยชน์ล้วนเป็นเหมือนฟองอากาศ กาลเวลาล่วงผ่านในเสี้ยวพริบตา เพียงพริบตาก็ผ่านไปร้อยปี หากมัวชืดชา คงยากที่จะฝากชื่อทิ้งไว้ในโลกุตระ” อาวุโสสองถอนใจยืดยาว ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าเป็นคนที่ผ่านอะไรมามากมายเพียงใด

“ข้าเป็นถึงศิษย์เอกพรรคหลิงเซียว หากต้องเปิดตัวสู่สาธารณชนด้วยสารรูปเช่นนี้ เกรงว่าคงจะสร้างความเสื่อมเสียให้กับพรรคของเราจนกู้หน้าไม่ติดแล้ว”

“ข้าไม่สน”

“หากท่านประมุขทราบเข้าคงเสียหน้าแย่ หากถูกสานุศิษย์พบเห็นเข้า คงไม่พ้นถูกชี้นิ้วครหา”

“ข้าบ่ยั่น”

“ผู้ดูแลความเป็นไปภายในพรรคยามนี้ก็คือท่าน อาวุโสสองเทพยุทธ์ผู้ปราดเปรื่อง หากมีคนเห็นข้าในสารรูปเช่นนี้ ท่านเองก็ต้องเสียหน้าตามไปด้วย คนคงเอาไปพูดกันว่าท่านมันไม่มีน้ำยา เป็นแค่ฟักทองแก่ๆ ที่ดีแต่ใช้กำลังไม่รู้จักใช้สมอง”

“ว่าอะไรนะ!” อาวุโสสองถึงกับหนวดเครากระพือ ฉินจิ่วเกอถูกยกร่างจนตัวปลิว หน้าแทบจะติดกับอีกฝ่ายอยู่แล้ว

“คิดดูให้ดีๆ นะท่านผู้อาวุโส สู้หน้าใครไม่ติดเลยนา” ฉินจิ่วเกอพยายามหว่านล้อมสุดความสามารถ ยิ่งเห็นภาพภูเขาด้านล่างเหลือขนาดเพียงเม็ดงา คนก็เกิดอาการหน้ามืดวิงเวียน แทบอาเจียนได้ทุกเมื่อ

“ยังหนุ่มยังแน่นกลับไม่มีน้ำอดน้ำทนเอาเสียเลย ช่างเถอะ เห็นว่าเจ้าใกล้จะรับไม่ไหวแล้วหรอกนะ ข้ายอมเปลี่ยนท่าให้ก็ได้”

อาวุโสสองเปลี่ยนใจไม่คว้าคอเสื้อฉินจิ่วเกออีก ชายหนุ่มลอบกระโดดโลดเต้นอยู่ภายใน ในที่สุดตนก็ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพลูกไก่ในกำมืออีกต่อไปแล้ว

อาวุโสสองกลับยกมือขึ้น ยกฉินจิ่วเกอราวกับกระสอบลูกหนึ่ง

ระหว่างลอบพักหายใจ ไม่กี่อึดใจ อาวุโสสองหิ้วร่างฉินจิ่วเกอมาถึงดงไม้ที่อาวุโสสี่พำนักก่อนหยุดอยู่ด้านนอกห้องหับ มองสำรวจซ้ายขวา ฉินจิ่วเกอเห็นโดยรอบปราศจากวี่แววผู้คน ค่อยลดสองมือลงจากใบหน้า

“อาวุโสสอง ช่าง ช่างเปี่ยมวัยวุฒิ พละกำลังเปี่ยมล้นจริงๆ” ในใจยังเต้นระรัวไม่หาย ฉินจิ่วเกอเอ่ยวาจาด้วยความประหวั่น

อาวุโสสองมองดูฉินจิ่วเกอ เจ้าเด็กน้อยนี้ คล้ายแตกต่างจากก่อนหน้านี้อยู่บ้าง

แต่แท้ที่จริงมีตรงไหนไม่ถูกต้อง อาวุโสสองเองก็บอกไม่ถูก เพียงแค่สัมผัสออกอย่างรางเลือนเท่านั้น

“น้องสี่!” อาวุโสสองบุกเข้าประตู พอดีมองเห็นอาวุโสสี่ที่นอนอยู่บนพื้น

ห้องหับระเกะระกะ ราวกับถูกโจรเข้ารื้อค้น ไม่ต่างจากฉากฆาตกรรม

ไม่รอช้า มันพลิกร่างของอาวุโสสี่ขึ้นมา พบว่าอีกฝ่ายกำลังกัดฟันแน่น ใบหน้าแม้ดำคล้ำหากก็ยังไม่ยอมถอดใจ ดูไปเหมือนวีรชนท่านหนึ่งที่แม้จะถูกทรมานแต่ก็ยังคงยืนหยัดสู้ต่อ

“เป็นพิษร้ายแรงอะไรเช่นนี้ มันกินอะไรลงไปกันแน่?” อาวุโสสองเผยสีหน้าประหลาดใจ นัยน์ตาฉายแววสลักซับซ้อนยากบ่งบอก

เมื่อเห็นสายตาเคลือบแคลงมองมาทางตน ฉินจิ่วเกอที่ยืนชมอยู่วงนอกด้วยความเพลิดเพลินแทบจะแก้ต่างให้กับตัวเองไม่ทัน “วันนี้ข้ารับหน้าที่ช่วยขนย้ายตะกอนยาออกไปทิ้งให้กับอาวุโสสี่ พอดีได้ยินอีกฝ่ายพูดทำนองว่าอยากจะเอาอย่างเฉินหนงสื้อทดลองชิมพืชพรรณสมุนไพร เผื่อว่าจะได้ฝากชื่อเสียงทิ้งไว้ก่อนจาก”

“ฮึ่ม ดูเอาเถอะกินเสียจนพุงกาง ไม่รู้อะไรดลใจให้กินยาพิษแทนเค้กวันเกิด คิดว่าตัวเองเป็นเทพเซียนหรืออย่างไร?” อาวุโสสองเอ่ยวาจาด้วยโทสะ สีหน้าไม่น่าดูยิ่ง

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท