เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 13 ประตูหายนะ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ความรักชนะอุปสรรค วีรบุรุษช่วยหญิงงาม ตอนจบของนิยายย่อมแฮปปี้เอนดิ้ง

หลังฝูงชนแซ่ซ้องสรรเสริญ ก็แยกย้ายกระจายตัว ประดุจดั่งไม่เคยเกิดเรื่องผิดปกติอันใดมาก่อน

ฉินจิ่วเกอไม่ได้จากไป จับจูงศิษย์น้องเล็กนำทางเจ้าอ้วน เดินเข้าไปทักทายพี่ชายซ่งเล่ออันใดนั่น

“อา ที่แท้เป็นพี่ท่าน ผู้น้อยเมื่อครู่เรียกรั้งท่านไว้ น่าเสียดายท่านจากไปรวดเร็วนัก” คนหันหน้ามาเห็นฉินจิ่วเกอ ใบหน้าของซ่งเล่อยังคงประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นเป็นมิตร

“ฮ่าฮ่า วีรุบุรุษช่วยหญิงงาม รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินจิ่วเกอไม่แยแสรอยยิ้มผูกมิตรของอีกฝ่าย กลับเอ่ยวาจาเสียดสีออกมา

“ไม่เลว พบพานความอยุติธรรม ชักดาบเข้าช่วยเหลือ เป็นเรื่องสมควรกระทำของพวกเราเหล่าศิษย์สำนักมาตรฐาน” ซ่งเล่อยังซาบซึ้งไม่หายถึงรสชาติการแซ่ซ้องสรรเสริญจากฝูงชนและรอยยิ้มหญิงงาม ความรู้สึกช่างน่าหลงใหลนัก

“น่าเสียดาย” ฉินจิ่วเกอสะบัดผมบนไหล่บ่า “พระคุณหญิงงามยากตอบแทน”

มองดูรอยยิ้มไม่น่าไว้วางใจบนใบหน้าของฉินจิ่วเกอ เป็นสีหน้าคล้ายคนมองเห็นหนูกินยาเบื่อ แถมเจ้าหนูตัวนั้นยังหลงคิดไปว่าตนเองกำลังรับประทานขนมหวาน กระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ

ยามลดศีรษะ ซ่งเล่อก็มองเห็นศิษย์น้องเล็กที่กำลังถูกฉินจิ่วเกอจับจูงมือน้อยเอาไว้ สีหน้าแย้มยิ้มของนางยังคงส่อแววเย้ยหยันในคราวเคราะห์ของผู้อื่นอยู่อย่างนั้น

พวกมันคงเป็นพี่น้องกันกระมัง แต่ไฉนรอยยิ้มถึงได้ชวนให้ผู้คนตีตัวออกห่างเช่นนี้ ช่างไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย

ซ่งเล่อกวาดตามองอีกรอบ พลันพบเห็นเจ้าอ้วนน่าตายที่ยืนประดับฉากอยู่ เจ้าพระคุณรุนช่อง เป็นชายที่อุบาทว์ตุ๊ต๊ะอะไรเช่นนี้

“จริงสิ เจ้าลองสำรวจตัวเองดูหน่อยไหมว่ามีอะไรตกหายไปบ้างหรือเปล่า” ฉินจิ่วเกอห้ามรอยยิ้มเอาไว้สุดกำลัง มันไม่ใช่คนประเภทเห็นคนตกน้ำยังโยนหินตามลงไปซ้ำ จึงพยายามฝืนตัวเองไม่ให้ระเบิดหัวเราะออกมา

“แหวนมิติข้า!” ซ่งเล่อร่ำร้อง ก่อนหันมาถลึงตาใส่ฉินจิ่วเกอด้วยแววตาขุ่นเคือง “เจ้าเห็นแล้วไฉนไม่รีบบอก!”

หญิงงามในอ้อมอกบัดนี้วิ่งเตลิดหายไปไหนแล้วไม่อาจทราบ คาดว่าแหวนมิติของซ่งเล่อคงไปแล้วไปลับ งมหายังไงก็คงไม่เจออีก

“อมิตตาภพุทธ ทรัพย์สินเงินทองเปราะบางราวเปลือกไข่ ปล่อยวางใจจึงสงบสุข ครั้งนี้สูญเงินเพียงหยิบมือ ถือเป็นบทเรียนสอนใจ แล้วไปเถอะ จำใส่ใจเอาไว้ว่ายุทธภพเรียงรายด้วยภยันตราย ภายหน้าภายหลังก็คอยสอดส่องระวังเอาไว้บ้าง ไม่ใช่พระเอกยังริอ่านทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม ข้าขอมอบคำสั้น ๆ ให้เจ้า รนหาที่แท้ๆ”

พูดแล้วก็น่าขัน แม้แต่ศิษย์เอกพรรคหลิงเซียวแสนเกรียงไกรอย่างมันจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีวาสนาได้ครอบครองวัตถุวิเศษอย่างแหวนมิติเลย

ไม่คาดศิษย์ฝ่ายในสังกัดประตูหายนะกระไรนั่น ถึงกับมีของมีค่าควรเมืองเช่นนี้อยู่กับตัว ฉินจิ่วเกอถ้าไม่ริษยานั่นจึงจะนับว่าแปลก

เห็นซ่งเล่อตกอยู่ในสภาพเหมือนกลืนอุจจาระลงท้องเยี่ยงนี้ ฉินจิ่วเกอรู้สึกเบิกบานใจจนออกนอกหน้า สมน้ำหน้า อยากทำท่าเหมือนมีดวงตางอกเงยอยู่บนหน้าผากดีนัก

“ช่างเถอะ อย่างไรก็เป็นแค่แหวนมิติระดับต่ำสุด ศิลาวิญญาณไม่กี่ร้อยก้อนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” ซ่งมือโบกมือเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทว่าท่าทางถือดีล้วนมลายหายสิ้น

ได้ยินวาจานี้ ฉินจิ่วเกอแทบอกแตกตาย

ไอ้หมอนี่มันโผล่มาจากหลุมไหนกัน ศิลาวิญญาณไม่กี่ร้อยก้อนงั้นเรอะ ให้ข้าถอนตัวจากตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ฝ่ายข้าแล้วไปเกาะขาขุมกำลังฝ่ายเจ้าเลยดีไหม?

เคราะห์ดีที่ความคิดนี้ของฉินจิ่วเกอไม่ลอยเข้าหูอาวุโสสองเสียก่อน

เกิดมันทราบขึ้นมาว่าศิษย์เอกของพรรคถึงกับมีความคิดพรรค์นี้อยู่ อาวุโสสองคงรู้สึกเสียหน้าจนเอาเต้าหู้มากระแทกหน้าตัวเองตายไปแล้ว

“ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่ก็บอกไปแล้วหรือว่าผู้น้อยคือศิษย์ฝ่ายในของประตูหายนะ ซ่งเล่อ”

โดยเฉพาะคำว่าประตูหายนะ มันจงใจเน้นเสียง ขณะเดียวกันก็ใช้สายตาถือดีกวาดมองคนทั้งสามไปด้วย

พวกนี้โผล่มาจากหลืบไหนกัน ถึงได้ไม่หือไม่อือพอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของค่ายสำนักที่หนุนหลังตนอยู่ ช่างน่าขายหน้าอะไรอย่างนี้

ประตูหายนะ เยี่ยมยอดมากงั้นหรือ?

ฉินจิ่วเกอเกาหัวแกรกๆ มองจากสีหน้าไม่เห็นหัวใครในสายตาของซ่งเล่อ คงไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กหน้าขาวนี่จะมีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่งอยู่จริงๆ?

ฉินจิ่วเกอเหลียวมองไปด้านข้าง พบเห็นเจ้าอ้วนยืนอยู่เลยดึงเข้ามากระซิบกระซาบถามความ “เจ้าอ้วนน่าตาย ประตูหายนะมันทำไมหรือ?”

เจ้าอ้วนน่าตายพอได้ยินคำถามก็ลูบผมบนศีรษะที่สั้นเตียนพร้อมทำหน้าเหรอหราประกอบไปด้วย อยู่ในพรรคมาสิบกว่าปี นอกจากก้มหน้าก้มตาฝึกวิชา เวลาที่เหลือก็หมดไปกับการตามตื๊อหรงเคอเคอ ประตูหายนะอะไรนั่น มันไม่รู้จักจริงๆ

“ประตูหายนะหรือศิษย์พี่? ข้าไม่รู้จักหรอก ข้ารู้จักแต่ติ่มซำที่เรียกเค้กข้าวหายนะ รสชาติดียิ่งเชียวล่ะ”

พอได้พูดถึงของกิน เจ้าอ้วนน่าตายก็น้ำลายไหลหยดย้อย ไม่ได้รู้เลยว่าคนอื่นกำลังมองมันเหมือนมองหมูตอนอวบอ้วนที่ห่ออยู่ในแผ่นเกี้ยวตัวหนึ่ง

“ที่แท้ก็ขายเค้กข้าวนี่เอง สำหรับมนุษย์อย่างเรา อาหารถือว่าสำคัญยิ่งชีพ มิน่าเด็กน้อยซ่งเล่อถึงได้มีท่าทีอวดโอ้จองหองขนาดนี้” ฉินจิ่วเกอพลันรู้แจ้งขึ้นมา เห็นอีกฝ่ายเอาชื่อมาอวดอ้างอยู่ครึ่งค่อนวัน นึกว่าเก่งกล้ามาจากไหน ที่ไหนได้กลับเป็นโรงงานผลิตอาหาร แล้วเจ้าจะใช้ชื่อสะท้านภพสะเทือนปฐพีอย่างประตูหายนะไปทำไมกัน

ซ่งเล่อบัดนี้ยืนตัวสั่น มือไม้กำสั่นแน่น

บ่งบอกว่าที่พวกมันกระซิบกระซาบกัน ล้วนลอยเข้าหูมันจนหมดแล้ว

ศิษย์น้องเล็กที่หลบอยู่ด้านข้างมาตลอดจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่พูดอะไร แต่พอได้ยินคำว่าประตูหายนะเท่านั้น นัยน์ตาของนางก็ฉายแววหวาดกลัวอย่างที่ยากจะพบเห็น รีบมุดเข้าไปหลบอยู่หลังฉินจิ่วเกอพร้อมกระซิบเตือนอีกฝ่าย

“ประตูหายนะคือหนึ่งในสี่พรรคใหญ่ของฝ่ายมนุษย์ ขุมกำลังกล้าแกร่งอย่าบอกใคร”

“กล้าแกร่งขนาดไหน?” ฉินจิ่วเกอยังไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ ความรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของค่ายสำนักต่างๆ จึงขาดแคลนอยู่บ้าง

ศิษย์น้องเล็กย่นจมูก ผมแกละบนหัวส่ายไหวไปมา แม้แต่เสียงยังอ่อนวัยยิ่ง “ประตูหายนะคือผู้นำของสี่พรรคใหญ่ คาดว่ายอดฝีมือขอบเขตหมื่นวิถีจะนั่งแท่นบัญชาการอยู่ นอกจากพวกเฒ่าพิสดารที่อายุอานามปาเข้าไปนับพันปีกับทายาทตระกูลเก่าแก่พวกนั้นแล้ว ประตูหายนะก็คือขุมกำลังสูงสุดของฝ่ายมนุษย์”

“ไอหยา ร้ายกาจปานนั้นเชียว?” น้ำเสียงของฉินจิ่วเกอเริ่มแหบแห้งขึ้นมา หลังต่อล้อต่อเถียงกันอยู่ตั้งนาน กลับกลายเป็นว่าเจ้าหนุ่มหน้าขาวนี่นอกจากจะหล่อเหลากว่าตน ระดับฝีมือสูงล้ำกว่าตน แม้แต่ผู้หนุนหลังยังต่างชั้นกันเหมือนเอาซอกเขามาเปรียบกับภูเขาหิมาลัย

“ที่แท้เป็นศิษย์ผู้สูงส่งจากประตูหายนะนี่เอง เสียมารยาทแล้วๆ” ฉิ่นจิ่วเกอตอบสนองด้วยท่าทีที่คนทั่วไปทำกัน สับสวิตช์จากหน้ามือเป็นหลังมือ ปฏิบัติต่อซ่งเล่อด้วยความเคารพยกย่องโดยอัตโนมัติ

ซ่งเล่อดื่มด่ำกับการตอบสนองเช่นนี้นัก ใช่แล้ว นี่จึงจะเป็นท่าทีตอบสนองที่คนปกติควรมี ทัศนคติลบหลู่สบประมาทประตูหายนะของฉินจิ่วเกอและเจ้าอ้วนน่าตายก่อนหน้าต่างหากที่ผิดปกติ

“หามิได้ๆ” ซ่งเล่อแสร้งทำเป็นปฏิเสธ แต่พอลืมตามองอีกครั้ง กลับพบว่าฉินจิ่วเกอลากจูงศิษย์น้องเล็กเดินไปไกลนู่นแล้ว

“สหายผู้สูงส่ง ท่านจะรีบร้อนไปไหนกัน เอาเป็นว่าพวกเราหาที่นั่งคุยกันก่อนเป็นอย่างไร?”

ซ่งเล่อรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เอาแค่มุมมองที่มีต่อมรรคาการฝึกยุทธ์และวิถีชีวิตของผู้คน รวมถึงท่าทีตอบสนองอันเฉยเมยยามได้ยินคำว่าประตูหายนะ ก็เพียงพอที่จะทำให้มันโดดเด่นต่างไปจากคนธรรมดาลิบลับแล้ว

ด้วยเหตุนี้ซ่งเล่อจึงเกิดความคิดที่จะทำความรู้จักเป็นสหายไว้ การมีเพื่อนฝูงรอบตัวย่อมเป็นเรื่องที่ดี

ไม่ได้รู้เลยว่าฉินจิ่วเกอยามนี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ในเมื่อเจ้าเด็กนี่ทำแหวนมิติหาย ยามไปรับประทานอาหารร่วมกัน ใครเล่าจะเป็นคนจ่าย?

นี่คือประเด็นสนทนาที่คอขาดบาดตายยิ่ง แถมในกระเป๋าของศิษย์พี่ใหญ่ยามนี้ยังว่างเปล่าจนน่ากลัว

“ตอนนี้ข้าไม่หิว” ฉินจิ่วเกอตอบกลับ ท่าทีจริงจังยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น

“งั้นไปหาที่พักผ่อนหย่อนใจกันหน่อยดีหรือไม่” ซ่งเล่อมองไปทางเจ้าอ้วนน่าตายอย่างระมัดระวัง พบเห็นสีหน้าอีกฝ่าย ไม่ทราบอดมื้อกินมื้อมาหรืออย่างไร สภาพเหมือนหมูขาดน้ำ แล้วอย่างนี้ยังเรียกว่าไม่หิวได้อีกหรือ

“เรื่องนั้น..” หัวสมองของฉินจิ่วเกอแล่นหวือ พยายามขบคิดหาวิธี สีหน้ากระอักกระอ่วนแสดงออกว่ากำลังถังแตก

“พวกเราไม่มีเงิน” ในขณะที่บรรยากาศกำลังจับตัวแข็งค้าง ศิษย์น้องเล็กพลันโพล่งขึ้นกลางปล้อง ปิดประตูตอกฝาโลงเสร็จสรรพ

เจ้าอ้วนน่าตายยกมือปิดหน้า อา น่าขายหน้าอะไรเช่นนี้ สีหน้าฉินจิ่วเกอยิ่งด้านชาจนไม่รู้สึกอันใด

อา คนเรา ยิ่งฝืนทำอะไรเกินตัว ยามถูกจับได้ก็ยิ่งเสียหน้า ช่างโง่งมโดยแท้

“ในเมื่อข้าเป็นคนเอ่ยปาก ข้าก็ต้องเป็นเจ้ามืออยู่แล้ว ไหนเลยจะต้องรบกวนกระเป๋าของท่านทั้งสามด้วย” ซ่งเล่อพลันเข้าใจขึ้นมา ดูท่าในยุคสมัยนี้ วีรบุรุษมากมายต้องเสียท่าให้กับเงิน

“แล้วไป ไยเจ้าไม่รีบพูดให้เร็วกว่านี้เล่า” ฉินจิ่วเกอหัวเราะร่า ท่าทางเหมือนแมวแก่ดักขโมยน้ำผึ้ง “งั้นมัวรออะไรอยู่ ยังไม่รีบพาพวกข้าไปที่โรงเตี๊ยมที่แพงที่สุดในเมืองซวนอู่ แล้วให้ศิษย์น้องสี่ของข้าคนนี้ทานเนื้อทานปลาให้พุงกาง ให้ศิษย์น้องเล็กคนสวยของข้าละเมียดอาหารคาวหวานแสนโอชะให้หนำใจ”

เจ้าอ้วนน่าตายและศิษย์น้องเล็กรีบผงกศีรษะเห็นชอบ ศิษย์พี่ใหญ่ครั้งนี้พูดจาได้น่าฟังมาก

หลังลอบปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก ซ่งเล่อก็บอกออกมาว่า “แน่นอนว่าไม่มีปัญหา พี่ฉินท่านช่างเป็นคนเปิดเผยถึงอกถึงใจอะไรเยี่ยงนี้”

“หามิได้ๆ ที่จริงข้ามักบอกกับตัวเองว่า เกิดเป็นคนไม่ควรเถรตรงจนเกินไป แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อข้าเกิดมาเป็นเช่นนี้ ครั้งนี้เป็นเจ้าพาข้าไปเลี้ยงที่โรงเตี๊ยม คราวหน้าให้ข้าเลี้ยงเจ้าคืน เท่านี้ก็ถือว่าหายกันแล้ว”

ฉินจิ่วเกอเดินนำทางตัวปลิวทำท่าเหมือนตัวเองเป็นเจ้ามือ ซ้ำยังเลือกโรงเตี๊ยมที่ดูราคาแพงโอ่อ่าที่สุดในละแวกนี้อีกต่างหาก

ที่หน้าประตู มีหญิงเรียกแขกจำนวนหลายสิบชีวิตกำลังยืนกวักไม้กวักมือมาทางมัน อาภรณ์สีแดงจัดจ้านเผยให้เห็นตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย

ในเมื่อซ่งเล่อเป็นศิษย์ประตูหายนะ งั้นตนก็ไม่ต้องเกรงใจแล้ว ต่อให้ถึงตอนนั้นเกิดไม่มีเงินจ่ายขึ้นมา ก็ยังไปทวงถามถึงที่ได้

“ไม่ดูหรูหราแพรวพรายไปหน่อยหรือ?” แม้แต่เจ้าอ้วนยังรู้สึกว่าไม่เหมาะสมอยู่บ้าง

พอเห็นว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ตกแต่งได้อลังการงานสร้าง ประหนึ่งปลูกสร้างขึ้นจากทองคำ มันก็เกิดประหม่าขึ้นมาจนวางมือวางไม้ไม่ถูก

แต่ศิษย์น้องเล็กกลับรักษาท่าทีไว้ได้เหมือนฉินจิ่วเกอ คนย่างกรายเหมือนนางพญา แอ่นอกเชิดศีรษะ แลดูเป็นสตรีมีราศีขึ้นมาทันที

“ไม่ใช่ปัญหา โรงเตี๊ยมหมิงติ่งเป็นโรงเตี๊ยมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองซวนอู่ อาหารของที่นี่ล้วนน่าลิ้มลองทุกอย่าง” ซ่งเล่อไม่ใส่ใจ ไม่นานก็ได้ห้องส่วนตัวชั้นบนก่อนพาคนทั้งสามขึ้นไป

“ไม่ทราบพี่ฉินมาเมืองซวนอู่ด้วยจุดประสงค์ใด? หากท่านประสบปัญหาอะไร คนในเมืองนี้ยังต้องไว้หน้าข้าอยู่บ้าง ดังนั้นให้อ้างชื่อข้าได้เลย” หลังรินสุราด้วยความคล่องแคล่ว ซ่งเล่อกลับไม่ได้หยิบตะเกียบขึ้นมาลงมือรับประทานอาหารในทันที แต่กลับส่งยิ้มรอดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

ฉินจิ่วเกอเคยรับมือกับเรื่องทำนองนี้มานักต่อนัก แน่นอนว่าย่อมไม่ยอมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

มันเองก็รินสุราครึ่งแก้ว สองมือวางพาดไว้บนเข่า ไม่ได้สนใจว่าอาหารตรงหน้าจะน่ารับประทานเพียงใด

ส่วนเจ้าอ้วนน่าตายและศิษย์น้องเล็กนั้น ต่างคนต่างก็ไม่ยอมปล่อยให้มือว่าง หยิบจับอะไรได้ก็ยัดเข้าใส่ปากหมด

ตอนเดินขึ้นมา ฉินจิ่วเกอได้ถ่ายทอดหลักการบนโต๊ะอาหารให้แก่เจ้าอ้วนไว้แล้วเป็นการเฉพาะ ทั้งนี้เพื่อรับประกันว่าศิษย์ฝ่ายในพรรคหลิงเซียวจะไม่ตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ

“เจ้าอ้วน ขอถามหน่อยเจ้าว่าหัวใจสำคัญของการทานอาหารที่เจ้าไม่ได้เป็นคนออกเงินเองคืออะไร”

“ทานของแพง เอาให้คุ้ม” เจ้าอ้วนตอบรวบรัดตรงประเด็น ในใจมันถือมีดเอาไว้เตรียมที่จะถลุงเจ้าแกะอ้วนพีจากประตูหายนะผู้นี้ให้หมดตัว

“ไม่ๆๆ นั่นเป็นแค่กลยุทธ์ชั้นเลว ให้ศิษย์พี่ชี้แนะเจ้า ทุกครั้งที่ทานของของคนอื่น มีอยู่สองข้อที่ต้องจำไว้”

เจ้าอ้วนประสานมือ “เชิญพี่ใหญ่ชี้แนะ”

“ไร้ยางอาย ไร้ยางอายให้ถึงที่สุด จำสองข้อนี้ไว้ ไม่เกี่ยงว่าจะเป็นในด้านของความรักหรือชีวิต เพียงจำสองข้อนี้แล้วทุกอย่างจะราบรื่นเองโดยอัตโนมัติ”

เจ้าอ้วนน่าตายลูบคางใช้ความคิดแล้วตอบว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าเข้าใจแล้ว ไว้ทานเสร็จเมื่อไหร่ ข้าจะหอบหิ้วโต๊ะเก้าอี้พวกนี้กลับไปด้วย ศิษย์พี่ศิษย์น้องผู้อาวุโสภายในพรรคทุกคนจะได้รับอานิสงค์ร่วมกัน”

ยกมือตบบ่าเจ้าอ้วนน่าตายด้วยความอิ่มเอมใจ พลางคิดในใจว่า เจ้าเด็กนี่หน่วยก้านไม่เลวเลยจริงๆ

เมื่อเตรียมแผนรับมือไว้ก่อนแล้ว ฉินจิ่วเกอจึงสบายหายห่วง นั่งกินลมชมวิวโดยไม่สนว่าอาหารตรงหน้าจะยั่วยวนเพียงไร

“ข้าได้รับมอบหมายจากอาวุโสภายในพรรคให้มาซื้อหาหญ้าจิตวิญญาณแสงจากที่นี่ พี่ซ่งในเมื่อท่านเป็นเจ้าถิ่น คงทราบว่าของที่ข้าตามหามีราคาค่างวดเท่าใดกระมัง?”

หญ้าจิตวิญญาณแสงเป็นโอสถวิเศษระดับสอง หากต้องการซื้อย่อมไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลัง

แต่ซ่งเล่อกลับขมวดคิ้วทันทีที่ได้ฟัง ก่อนจะเอ่ยด้วยความแปลกใจอยู่บ้าง “หญ้าจิตวิญญาณแสง? เมื่อไม่กี่วันก่อน ได้ยินว่ามีคนมากว้านซื้อไปจากละแวกนี้จนหมด ทั้งยังไม่ใช่แค่ละแวกนี้ แต่ยังรวมถึงละแวกร้อยลี้โดยรอบ พี่ฉินท่านมาได้ผิดเวลาจริงๆ เกรงว่าท่านคงจะต้องกลับไปมือเปล่าเสียแล้ว”

“ว่าอะไรนะ?” ฉินจิ่วเกอใช้มือจับคางตัวเองไม่ให้ตกกระแทกขอบโต๊ะได้ทัน ตามองตรงไปทางซ่งเล่อด้วยความไม่อยากเชื่อ!

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท