เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 72 ป้ายหลุมศพหญ้าปกคลุม

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ฉินจิ่วเกอปัดมือลั่วเฉินออกอย่างแรง รีบกล่าว “ข้าไม่ได้ป่วย ข้ามีสติแจ่มใสทุกประการ ทุกคนเอาศิลาวิญญาณของมีค่าออกมาให้หมด ไม่งั้นข้าจะไปล่อลวงบุตรสาวตระกูลเจ้า ขโมยไก่บ้านเจ้า รื้อหลังคาบ้านเจ้าออกมาให้หมดทุกแผ่น!”

เพื่อที่จะจัดการหลิวเชียน ใครเล่าจะรู้ว่าข้าต้องเสียสละศิลาวิญญาณไปมากเท่าใด หากไม่หาคืนมา ต่อให้ตนได้เป็นหนึ่งในใต้หล้าก็ยังไม่มีความหมาย

ทุกคนพลันตระหนักรู้ จากที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสนิทสนมคุ้นเคย เริ่มจับกลุ่มหาหัวข้อสนทนากัน ส่วนฉินจิ่วเกอนั้น ทุกคนเมินเฉยต่อมันโดยสิ้นเชิง เสียงพูดคุยดังระงมกลบเสียงฉินจิ่วเกอไปทันที

“โอ้ นึกว่าใครพี่เหนียนนี่เอง ไม่เจอกันนาน ไฉนจึงอ้วนปานนี้ได้”

“อ้อ ที่แท้พี่ไถนี่เอง พอดีข้ามีวาสนาเพิ่งตบแต่งได้ไม่นาน สุขสมอารมณ์หมาย จึงอ้วนท้วนเช่นนี้แล”

“ไอ๊หยา เกอเหลาอู่ ได้ยินว่าสุกรบ้านเจ้าออกลูกอีกแล้วนี่นา ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”

“อ๋า น้องแปด เสื้อผ้าชุดนี้ของเจ้าดูดีเหลือเกิน ซื้อจากที่ไหนมารึ?”

ฉินจิ่วเกอถูกลั่วเฉินอุดปากดึงตัวมาอีกด้าน น่าขายหน้าอะไรอย่างนี้ ยังดีที่พรรคหลิงเซียวเป็นพรรคเก็บตัวซ่อนอยู่บนภูเขา ไม่งั้นคงถูกคนรุมประณามขว้างปาผลไม้ไข่ขนมใส่ โทษฐานที่ฉินจิ่วเกอล่วงเกินทำร้ายจิตใจของบรรดาผู้ฝึกเต๋าทั้งหมดทั้งมวลบนทวีปฉงหลิง

ว่าบ

สุสานที่เงียบสงบมาหลายวัน จู่ๆ ก็มีแสงจัดจ้าสาดทแยงออกมาจากภายในสุสาน ไอวิญญาณเหนือล้ำยิ่งกว่าไอวิญญาณฟ้าดินนับสิบเท่า การเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลันของสุสานรวมถึงผนึกที่ถูกทำลาย ทำให้โพรงถ้ำตรงหน้าไม่ได้ดูน่าหวาดกลัวอีกต่อไป ตรงข้ามกลับมีเส้นแสงสีทองส่องสว่างออกมาแทน

“ผนึกต้องห้ามในสุสานสลายไปแล้ว ไม่อย่างนั้นไอวิญญาณคงรั่วไหลออกมาไม่ได้แน่!” ได้ยินเสียงความวุ่นวาย มีใครบางคนตั้งใจตะโกนออกมาเสียงแหลม คล้ายกลัวว่าจะไม่มีใครได้ยิน

มีคนพูดเสริมมาอีกว่า “ในเมื่อไม่มีผนึกต้องห้ามอีก แปลว่าด้านในต้องปลอดภัยไร้ภยันตรายสุ่มซ่อน สมบัติที่ซ่อนอยู่ด้านในใครดีใครได้”

ด้วยเหตุนี้ เหล่าสหายที่เพิ่งจะจับกลุ่มคุยกันราวกับเป็นพี่น้องท้องเดียวพลันเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือ ต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันและกันด้วยความหวาดระแวง กลัวว่าอีกฝ่ายจะมาแย่งชิงสมบัติไปจากตน แต่ไม่นานก็เริ่มแยกย้ายทยอยกันเข้าไปแสวงโชคในสุสาน

“ในเมื่อเจ้ารักเงินยิ่งชีพถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็เข้าไปดูหน่อยเป็นอย่างไร?” ลั่วเฉินมองดูกลุ่มคนที่ทยอยกันเข้าไป ในใจคันยิบๆ ไม่อาจนั่งเฉยได้อีก

ฉินจิ่วเกอไม่มีความเห็นกับเรื่องนี้ แต่รู้สึกชื่นชมพฤติการณ์รนหาที่ตายเยี่ยงนี้มาก

ถึงอย่างไรก็มีคนเข้าไปตั้งมาก ต่อให้ภายในสุสานจะอันตรายยังไงก็ยังไม่พ้นถูกเหยียบจนราบเรียบ เข้าไปดูก็ไม่เสียหายอะไร

เดินตามลั่วเฉินและฝูงชนเข้าสู่ภายในสุสาน ปากทางด้านนอกเป็นแค่ฉากบังหน้า ทางเข้าที่แท้จริงคือค่ายกลระดับสูงที่ซ่อนอยู่ในความมืด เคลื่อนย้ายผู้คนเข้าไปยังมิติภายใน ยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังที่มีวัชพืชปกคลุมแน่นหนา คลองจักษุก็กลายเป็นดำมืด มองไม่เห็นทางที่เข้ามาอีก

กวาดตามองไปรอบๆ พบว่าเป็นสถานรกร้างเก่าแก่แห่งหนึ่ง แม้แต่ศิลาที่ดูแข็งทนยังกลายสภาพเป็นฝุ่นผง เกรงว่าคงเป็นช่วงไม่ต่ำกว่าพันปี ในอากาศยังมีกลิ่นเนื้อเน่าปะปนอยู่จางๆ ให้ความรู้สึกอึมครึมน่าหดหู่อย่างยิ่งยวด

ในอากาศยังมีไอทมิฬอันเข้มข้นจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากำลังเคลื่อนตัวไปมาไม่หยุด ทั้งยังชำแรกเข้าสู่ภายในร่าง

ลั่วเฉินสับสนงุนงง ยกคางหันไปทางฉินจิ่วเกอ “ครั้งก่อนตอนที่พวกเราหลงเข้าไปในสมรภูมิโบราณ ไม่ใช่ว่าเจ้าขวัญกล้าไม่เกรงกลัวสิ่งใดหรอกรึ ไฉนตอนนี้ถึงเอาแต่มุดหัวหลบหางไม่กล้าออกมาพบหน้าผู้คนไปได้?”

“โถ ศิษย์น้อง เรื่องราวในวันวานพวกเราไม่ต้องกล่าวถึงแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนั้นข้าจะถ่มน้ำลายใส่เจ้า ขโมยแหวนมิติเจ้า แต่ข้าสาบานว่าตัวข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้ายเจ้าเลยแม้แต่น้อย”

ฉินจิ่วเกอสาบานต่อฟ้าด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดใจ ริเริ่มเป็นฝ่ายพรั่งพรูความบาดหมางเก่าก่อนออกมาอย่างหมดเปลือก จนหน้าผากของลั่วเฉินเริ่มที่จะปรากฏเส้นเลือดปูดโปน

หัวเราะแห้งๆ สองสามครา ฉินจิ่วเกอก็นั่งหลบมุมแอบมองเข้าไปในความมืดด้วยความหวาดกลัวจับจิต ลั่วเฉินย่อมไม่มีทางเข้าใจมัน ในฐานะตัวเอกของเรื่อง ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนย่อมต้องมีศัตรูตัวฉกาจกระโดดออกมาต่อยุทธ์ด้วยอย่างแน่นอน ยิ่งกับสถานที่ที่ชุกชุมไปด้วยภยันตรายอย่างสุสานนี้แล้วด้วย

หากพระเอกไม่ก่อเรื่องพลิกฟ้าคว่ำดิน นั่นยังจะเรียกพระเอกได้อีกหรือ

ฉินจิ่วเกอเป็นแค่ใบไม้เล็กๆ หนึ่งใบ เพราะงั้นจึงต้องรักษาตัวให้รอด หาไม่แล้วเมื่อใดที่ภยันตรายใกล้กราย คงร้องไห้ไม่ทันแล้ว

“เจ้าจะขี้ระแวงไปถึงไหน ที่นี่คือสุสานของตระกูลอันเก่าแก่ เวลาหรือก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว ยังจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่อีกได้ยังไง” ลั่วเฉินขี้คร้านเกินกว่าจะดูแลศิษย์พี่ใหญ่ที่ระวังตัวแจจนเกินเหตุผู้นี้ จึงหันหลังเดินออกไปเพียงลำพัง

ภายในความมืด คล้ายมีเสียงกระดูกฟันเสียดสีกันของอสุรกายดังแว่วมาเบาๆ

“ศิษย์น้องเอย เจ้าต้องระวังตัวให้มาก ไม่แน่ว่าเจ้าแค่ยกเท้าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว อาจมีอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาชนเจ้าก็เป็นได้” ฉินจิ่วเกอยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ยอมขยับไปไหนทั้งนั้น

ลั่วเฉินสะบัดหน้ากลับมาทันควัน “เจ้าเพ้อเจ้อไปเองทั้งนั้น ยังจะไม่รีบมา”

ขณะหันหน้ามาคุยกับฉินจิ่วเกอ ฝ่าเท้าของลั่วเฉินเพิ่งยกออกไปได้ครึ่งทางก็ต้องชนเข้ากับใครอีกคนเข้าก่อน

อีกฝ่ายร่างเปียกปอนไปด้วยน้ำเย็นๆ ผิวพรรณภายนอกเปียกเฉอะแฉะ ทั้งยังสามารถสัมผัสได้ถึงไอน้ำชื้นๆ พวยพุ่งออกมาจนมิอาจลืมตาได้สะดวก

“ขออภัย” ลั่วเฉินกล่าวขอโทษอีกฝ่าย

ดูเหมือนศิษย์พี่ใหญ่จะเกิดมาพร้อมกับทักษะด้านการสาปแช่งผู้อื่น ปากเหมือนอีกา พูดอะไรก็ตรงเผงไปหมด คนที่ถูกชนไม่ได้ตอบรับอะไรกลับมา ยังคงพ่นเอาไอร้อนชื้นออกปากออกจมูก จนพื้นใต้ฝ่าเท้าเริ่มมีน้ำเจิ่งนอง

ตอนที่เข้ามาในสุสาน พลังจิตทั้งปวงล้วนถูกสะกดเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถส่องสำรวจลึกเข้าไปในมิติ

ทัศนวิสัยเองก็หดแคบจนแทบมองอะไรไม่เห็น จวบกระทั่งฉินจิ่วเกอหยิบเอาตะบันไฟออกมาจุดอย่างระมัดระวังนั่นแหละ

เดินตามเงาสองสายที่ทอดยาวอยู่บนพื้น ฉินจิ่วเกอส่งเสียงขู่ฝ่อ “ใบ้รับประทานรึไง? คนเขาพูดด้วยทำไมถึงไม่ตอบ”

แคร่กๆ

ในที่สุดคนผู้นั้นก็หันตัวกลับมา ใบหน้าของคนคนนี้มีแต่เลือดเนื้อเลอะเลือน คล้ายถูกคนใช้มีดดาบเลาะเอาผิวหนังออกไปจนเกลี้ยงเกลา กระทั่งเนื้อตรงแก้มทั้งสองข้างยังถูกคว้านออกไป ทำให้มองเห็นเหงือกฟันที่ขยับเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในปากได้อย่างชัดเจน

“ว้าก! ” พอดีกับที่ฉินจิ่วเกอและลั่วเฉินได้เห็นโฉมหน้าของอีกฝ่ายอย่างถนัดตา ลมเย็นชั่วร้ายก็พัดกรรโชกมาหอบหนึ่ง พรากเอาแสงสว่างจากตะบันไฟไปในทันที

ด้วยสภาพจิตใจอันอ่อนปวกเปียกในตอนนี้ ทำให้มองเห็นพื้นที่รอบตัวได้เพียงเลือนราง เงาดำที่ดูเหมือนคนอยู่ๆ ก็อันตรธานไป รู้ตัวอีกทีก็โผล่เข้ามาจนแทบจะประชิดตัว พร้อมกับเสียงศิษย์พี่ใหญ่ร้องโหยหวน ปรากฏว่าคนถลาลงไปกับพื้นแถมยังจะใช้มือป้องสันจมูกเอาไว้อีก

“นั่นมันอะไร? ” ลั่วเฉินรู้สึกเหลือเชื่อ อย่าบอกนะว่าเจอะผีเข้าแล้วจริงๆ

ตำแหน่งที่ตัวตนปริศนานั้นเคยยืนอยู่ พอลองใช้มือลูบแตะดูก็พบว่าเป็นน้ำเลือดเย็นๆ ข้นๆ คล้ายกับขี้ผึ้ง

แคร่กๆๆ

ในความมืด อมนุษย์ตนนั้นก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ลั่วเฉินที่ระวังตัวอยู่นานแล้วพลันฟาดฝ่ามือออกไปทันที

เกิดเสียงแตกหักคราหนึ่ง ปรากฏว่าหัวไหล่ของฝ่ายนั้นถูกฟาดจนแตกหัก ร่างซวนเซแต่ก็ไม่ล้ม กลับตวัดฝ่ามือพุ่งสวนมาอีกคำรบ

พรึ่บ

ฉินจิ่วเกอจุดไฟติดอีกครั้ง เพิ่งจะเปิดเปลือกตาขึ้นมา กลับต้องพบเห็นนัยน์ตาสองข้างที่ปราศจากรูม่านตาเข้าอย่างจัง

เบ้าตาทั้งสองกลวงโบ๋ ชัดเจนว่าถูกคว้านลูกนัยน์ตาออกไปทั้งเป็น ซ้ำร้ายยังมีเส้นเลือดขยับไปมาอยู่ด้านใน

ถึงแม้ว่าร่างกายจะเสียหายไปกว่าครึ่ง แต่เจ้าอมนุษย์ตัวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ร่างกายช่วยพยุงเคลื่อนไหว กลับสามารถคลานไต่ไปบนพื้นเหมือนตัวประหลาด สร้างความขนพองสยองเกล้าให้แก่ผู้พบเห็นเป็นที่สุด

“ในสุสานถึงกับมีภูตผีปีศาจอยู่จริงๆ รีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า” ฉินจิ่วเกอเขย่งเท้าเดินออกไปเงียบๆ คนเดียว ช่วยไม่ได้ ขืนต้องร่วมทางกับตัวเอกคงได้มีอันเป็นไปเสียก่อน

ลั่วเฉินไม่สนใจ พอรับรู้ว่าอมนุษย์ตัวนั้นเคลื่อนที่ไปทางใดก็ใช้มือต่างกระบี่สำแดงเคล็ดกระบี่มหานทีสะบั้นสุริยันผ่าแยกร่างออกเป็นสองซีก บนพื้นเหลือเพียงซากร่างที่เริ่มเน่าเปื่อย ศีรษะเริ่มปรากฏรอยจ้ำโลหิตเป็นรูปดอกเหมย

“น่าแปลก คนผู้นี้ตายไปตั้งนานแล้ว เหตุใดถึงยังขยับตัวได้อีก?” ฉินจิ่วเกอใช้ตะบันไฟส่องดู ไม่ใช่ว่ามันไม่เคยพบเห็นคนตายมาก่อน แต่เพราะอะไรอีกฝ่ายถึงสามารถขยับตัวได้ราวกับยังมีชีวิตอยู่ ซ้ำร้ายยังเข้ามาจู่โจมพวกตนอีกด้วย

ตอนที่ติดอยู่ในสมรภูมิโบราณคราวนั้น กองทัพกระดูกขาวพวกนั้นยังมีสัมปชัญญะติดตัว เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะก่อนตายพวกมันต่างก็เป็นผู้ฝึกตนที่มีขอบเขตสูงส่งเป็นอย่างน้อยๆ

ต่อให้ตายและสลายไป แต่ห่วงติดพันจะยังไม่สลายตามไปด้วย หากแต่ยึดกุมบังคับสังขารดั้งเดิม เพื่อสานต่อภารกิจที่ยังติดค้างอยู่ให้สำเร็จลุล่วง

เพียงแต่ว่า เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปหลายพันปีแล้ว เนื้อหนังบนร่างจึงเน่าเปื่อยเหลือไว้เพียงกระดูกแห้งกรอบที่ยังคงเดินเร่ร่อนไปมาเท่านั้น

“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ดูจากร่องรอยบนพื้นก็รู้ได้ว่าที่นี่มีอายุไม่ต่ำกว่าพันปีขึ้นไป ต่อให้เป็นกระดูกของชนชั้นกฎสรรพสิ่ง ก็ยังต้องผุพังไปตามกาลเวลา” ลั่วเฉินไม่เข้าใจ ลองใช้มือสัมผัสเลือดบนตัวศพอีกครั้ง พบว่าไม่ต่างไปจากน้ำเย็นๆ เท่าไหร่เลย

คำนวณดูแล้ว อีกฝ่ายคงตายมาได้ไม่ต่ำกว่าเจ็ดถึงแปดวัน ที่เมื่อกี้พุ่งจู่โจมเข้ามา หากเป็นชนชั้นปราณสุริยันขั้นแรกเริ่มคงยากจะรับมือได้ เห็นได้ว่าไม่ใช่คนที่ยังมีลมหายใจ แต่เป็นซากศพที่ถูกอะไรบางอย่างควบคุม

“ต้องเป็นพวกผู้ฝึกตนที่เข้ามาสำรวจสุสานเมื่อหลายวันก่อนไม่ผิดแน่ แปลกจริง ในเมื่อตายไปแล้ว ไฉนจึงยังขยับตัวได้อยู่? ” และแล้วฉินจิ่วเกอก็ต้องคิดถึงผีขึ้นมา มีแต่ผีเท่านั้นที่จะอธิบายถึงเหตุการณ์แปลกประหลาดน่าขนลุกพวกนี้ได้

ลั่วเฉินส่ายหน้าทำลายศพ “พวกมันถูกพลังชั่วร้ายบางอย่างควบคุม ซึ่งก็คล้ายกันกับกองทัพกระดูกขาวในตอนนั้น ที่นี่คงมีพลังที่จัดอยู่ในประเภทกร่อนสลาย เมื่อพลังจิตของเป้าหมายหลอมละลายถึงค่อยเปลี่ยนให้เป็นหุ่นเชิด”

“งั้นก็แทบไม่ต่างไปจากผู้ฝึกวิชาปีศาจเลยน่ะสิ” ฉินจิ่วเกอนึกถึงผู้ฝึกวิชาปีศาจที่เคยพบเจอมา พวกนั้นเองก็มีลูกเล่นพิสดารผิดมนุษย์มนาแบบนี้เหมือนกัน คิดบงการซากศพเชิดหุ่นย่อมไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง

“เศษเดนที่เข่นฆ่ามนุษย์ตาดำๆ พวกนั้นน่าจะตายไปเสียให้หมด คิดแล้วก็อยากจับพวกมันมาฉีกออกเป็นชิ้นๆ ” ในหมู่บ้านบนเขา มีคนมากมายนับพันต้องลาจากโลกนี้ไปอย่างไม่ยุติธรรม ภาพที่คนบริสุทธิ์ต้องมาถูกปีศาจร้ายพวกนั้นเซ่นเลือดสังเวยให้กับธวัชหมื่นมารยังคงตราตรึงชัดเจนอยู่ในใจ

ลั่วเฉินไม่ได้พูดอะไร มีเพียงประกายบางอย่างไหววูบอยู่ในดวงตาแล้วดับไป ในใจรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ก่อนจะจมลงสู่ภวังค์ความคิด

“มีคนมา ซ่อนตัวก่อน”

ลั่วเฉินและฉินจิ่วเกอเหาะตัวขึ้นไปหลบอยู่บนหลังคาที่สภาพแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกที่เข้ามาก่อนหน้านี้จะกลายเป็นศพเดินได้กันไปหมดแล้ว

ในสุสานแห่งนี้มีพลังชั่วร้ายน่าสะอิดสะเอียนบางอย่างวนเวียนอาศัยอยู่ ทั้งยังสามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตได้

ผู้มาคือซากศพที่ตามเนื้อตัวมีแต่บาดแผลเหวอะหวะอีกตัวหนึ่ง ร่างซีกหนึ่งคล้ายถูกวัตถุมีคมบางอย่างตัดผ่าจนเว้าแหว่ง แต่ก็ยังลากสังขารเดินต่อไปได้ เมื่อไม่พบคนทั้งสอง อมนุษย์ตัวนั้นก็เดินหายกลับเข้าไปในความมืดอีกครั้ง จากห้วงลึกภายใน แว่วเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังดังลอดมา

เป็นไปได้ว่าจนถึงตอนนี้ ตัวการที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังก็ยังไม่เคยเผยตัวออกมาให้เห็น แต่เลือกที่จะใช้พลังอันชั่วร้ายชนิดนั้นหลอมละลายสัมปชัญญะของคนที่เข้ามาอย่างช้าๆ แทน

ที่ว่าน้ำเดือดกบกระโดดหนี น้ำไม่เดือดกบตายใจ ก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง

“ไม่ถึงขั้นอันตรายจนไร้หนทางรับมือเสียทีเดียว สุสานแห่งนี้เปิดมาได้หลายวันแล้ว แปลว่าต้องมียอดฝีมือเข้ามามากพอสมควร ในเมื่อผู้บงการไม่กล้าเผยตัวออกมา แปลว่าอีกฝ่ายจะต้องกลัวถูกคนพบเห็น จึงไม่อาจชิงสังหารผู้ที่รุกล้ำเข้ามา แต่ทำได้แค่มุดหัวหลบหางอยู่เบื้องหลังเท่านั้น”

ฉินจิ่วเกอรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังพอมีทางออก ถ้าหากผู้ชักใยที่ว่าไม่เผยตัวออกมา แปลว่าจะต้องหวาดกลัวอะไรบางอย่างอยู่ คนที่เข้ามาก็มีตั้งมากมายปานนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะตายกันหมดทุกคน แต่อาจจะถูกขังอยู่ที่ใดสักแห่งมากกว่า

“ที่เจ้าว่ามาก็ถูก” ลั่วเฉินรู้สึกทึ่งกับระดับสติปัญญาของฉินจิ่วเกอจนต้องชะงักไป ศิษย์พี่ผู้นี้ถึงกับมีทักษะด้านการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างเฉียบแหลม ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็มองทะลุความตื้นลึกหนาบางของเรื่องราว นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“เสแสร้งต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ รีบไปหาตัวยอดฝีมือที่ถูกขังพวกนั้นกันก่อนดีกว่า พวกเราที่เพิ่งเข้ามาคงยังไม่ถูกเล่นงานในเร็วๆ นี้ ที่นี่อยู่ลึกลงมาใต้ดินร้อยเมตร ขอแค่ใช้พลังมากพอย่อมสามารถฝ่าทะลุโพรงถ้ำออกไปได้แน่”

เรื่องวางอุบายเล่นแง่ ฉินจิ่วเกอไม่เคยกลัวผู้ใด

ติดตรงที่ว่ามันอยากจะสร้างภาพลักษณ์ของศิษย์พี่ใหญ่ผู้มีโลกทัศน์เปิดกว้างและซื่อตรงเปิดเผยมีความเป็นสุภาพบุรุษ พฤติกรรมเสเพลอย่างที่แล้วมาจึงต้องพับเก็บลงไปก่อน

.

.

.

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท