แคร่กแคร่ก!
แผ่นผืนปฐพีหนาทึบ หนาหนักนับร้อยๆ ล้านจิน
พลังแห่งกฎเกณฑ์ที่สามารถลากดึงเปลือกโลกเข้ามา ชักพารอยแยกมารมรณาให้ผสานเข้าหา ดั่งภูติวิญญาณฟื้นสภาพ เลียปิดปากแผลจากการบาดเจ็บ
พลังความสามารถของกฎสรรพสิ่งไร้คู่เทียบเทียมทั้งสี่ทิศ ฉินจิ่วเกอยามยืนอยู่ด้านข้าง ร่างกายรับทราบรัศมีพลังแห่งราชันเทวะทำลายล้างที่ข้างกาย
เพียงหนึ่งสายใยแห่งความคิดคำนึง ไม่จำเป็นต้องลงมือ พลังนับพันหมื่นก็ขยับเคลื่อนไหว ฉีกกระชากท่านออกเป็นพันหมื่นชิ้น
บัญญัติกฎดั่งใจ บงการกฎเกณฑ์ได้ นั่นก็คือกฎสรรพสิ่ง
ชราและเยาว์วัยสำแดงเคล็ดหมื่นมารทมิฬออกมาโดยพร้อมเพรียง ภูติร้ายพรายผีนับพันนับหมื่นสายผุดโผล่ออกมาจากพื้นดิน เกาะกลุ่มทะลวงเข้าใส่ตะปูสะกดวิญญาณ
นั่นเป็นวัตถุที่ถูกจัดวางด้วยตาค่ายกลชั้นสูงอันทรงอานุภาพ ทั้งยังตราไว้ด้วยเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของกฎเกณฑ์ที่ไม่มีวันสลาย มิเช่นนั้น เฒ่ามารเสียเยว่ย่อมไม่มีทางถูกจับได้
“เด็กน้อย หากเจ้าคิดออกไป จงทุ่มกำลังทั้งหมดให้เต็มที่!” มันสัมผัสได้ว่าฉินจิ่วเกอมิได้ทุ่มกำลังทั้งมวล โครงกระดูกสะบัดร่างดิ้นรนสุดชีวิต
โครงกระดูกถูกฉีกกระชากเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยตะปู เพียงพริบตาก็ถูกพันธนาการด้วยกฎเกณฑ์อีกครั้ง ร้ายกาจอย่างยิ่ง
การคลี่คลายตราประทับของกฎเกณฑ์เต๋านี้ สามารถต้านทานกฎเกณฑ์ที่ล่มสลาย ระเบิดทลายพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่จนไม่อาจบรรจุไว้ได้ออกมา
พันหมื่นดวงวิญญาณกระจัดกระจาย กลิ่นเหม็นเน่าแตกกระจายคละคลุ้งเต็มพื้นที่ ไอสีดำทมิฬแผ่ออกครอบคลุมทั่วทั้งผืนป่าปีศาจสวรรค์ กลุ่มดวงวิญญาณรวมกลุ่มเกาะก้อน พุ่งทะลวงเข้าใส่ตะปูสะกดวิญญาณ ถูกกฎเกณฑ์จู่โจมแตกทำลาย หากยังคงหลั่งไหลพรั่งพรูเข้าใส่อย่างไม่เกรงกลัวการแตกดับ
หนึ่งล้านดวง ร้อยล้านดวง
ทะเลดวงวิญญาณนับร้อยล้านดวงกลืนกินเข้าใส่ตะปูตรึงวิญญาณ กฎเกณฑ์ที่ตรึงสะกดไว้ค่อยเจือจางลางหาย หมองหม่นลงเรื่อยๆ
แกร่กแกร่ก!
ตะปูที่พันปีไม่ขยับเคลื่อนไหว ยามนี้เริ่มสั่นสะท้าน เสียเยว่เมื่อเห็นสถานการณ์ รีบรวบรวมกฎเกณฑ์ทั้งมวลบนร่างโครงกระดูก ลวดลายแห่งวิถีเต๋าทั้งมวลที่ประทับอยู่บนหัวกะโหลก ยืดยาวแผ่ขยาย คล้ายกับลวดลายแต้มบุปผาบนกระบี่ หลอมเคี่ยวโครงกระดูกบนร่างของมันจนแข็งแกร่งกร้าวดั่งภูผาบรรพตแกร่ง
“เร็วเข้า!” พละกำลังหลอมวิญญาณขั้นเก้าของฉินจิ่วเกอระเหิดหายไปในพริบตา ตันเถียนเข้าสู่สภาพเหน็ดเหนื่อยเหือดแห้งสิ้น
ศิลาวิญญาณทั้งมวลในแหวนมิติถูกควักออกมาใช้ ฉินจิ่วเกอโคจรเคล็ดวิชาลับ ทั้งยังใช้ไอมารครอบคลุมห่อหุ้มร่าง จึงไม่ถูกไอวิญญาณกระแทกเส้นชีพจรขาดสะบั้น
“รอก่อน!” แม้แต่หินผาสูงนับหมื่นเมตรยังเริ่มสั่นสะเทือน ก้อนศิลาใหญ่ยักษ์ขนาดเท่าบ้านช่องร่วงหล่นลงเบื้องล่าง เมื่อร่วงเข้าสู่บึงมารมรณา ผ่านไปครึ่งชั่วยามยังไม่ได้ยินเสียงตกกระทบ
โครงกระดูกโน้มหลังลงมาราวสันหลังมัจฉา ไม่ต่างจากมังกรสลัดหลุดพ้นจากพันธนาการ ยามสะบัดดิ้นรน ยังฟาดจนผืนดินกระจัดกระจายลอยขึ้นกลางอากาศ
พลังเทวะแห่งกฎสรรพสิ่งระเบิดออก กฎเกณฑ์ถูกสะกดข่มจนถึงขีดสุด ห้วงมิติถูกแหวกผ่าทลายออกเป็นชั้นๆ กำเนิดหลุมดำจักรวาลโผล่ขึ้นมา
ซ่า!
กรงเล็บชั่วร้ายเยียบเย็นเสือกส่งออก โครงกระดูกบิดหมุนรูลึกที่ข้อแขน ถอนดึงตะปูที่ปักตรึงเอาไว้ออกมาดอกหนึ่ง
ตะปูอันคมกริบ เสียบทะลวงผ่าบรรพตค้ำสวรรค์ เพียงกวาดมองคราหนึ่งล้วนสามารถบาดดวงตาท่านจนมืดบอดได้ แผ่กระจายไอเรืองรองสีทองอร่ามอันศักดิ์สิทธิ์ กดข่มทำลายแสงแห่งมารร้าย
ยังคงเหลืออีกหกดอก อยู่ที่ไหปลาร้า ลำคอ กลางหน้าผาก และแนวกระดูกสันหลัง
โครงกระดูกปราศจากเนื้อหนัง เมื่อหักกระดูกของตนเอง มันใช้กฎเกณฑ์บังคับควบคุม ก่อนลงมืออีกครั้ง ดึงตะปูออกจากท่อนกระดูกที่ถูกสะกดไว้
เหลือเพียงห้าดอก หากแต่เป็นห้าดอกที่ยากเข็ญที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตะปูปักตรึงที่กึ่งกลางหน้าผาก นั่นแตะสัมผัสลงไปถึงจุดหลิงไถตารางนิ้ว เป็นที่สถิตของวิญญาณดั้งเดิมของเสียเยว่ ถูกจองจำกักขังไว้ยังที่นั่น ไม่อาจสลัดหลุดได้
“ต้องทำยังไงต่อ?” ฉินจิ่วเกอในใตจยามนี้รวดร้าวราวโลหิตหลั่งไหล ศิลาวิญญาณนับหมื่นๆ ชิ้นของมันระเหิดหายไป มันในตอนนี้นับว่าสิ้นเนื้อประดาตัวอย่างแท้จริง
โครงกระดูกขยับสองมือเปื่อยไร้เนื้อหนัง คว้าตะปบใส่กฎเกณฑ์สีดำสนิทราวกับกำลังคว้าจับอสรพิษตัวหนึ่งไม่ผิดเพี้ยน “ต้องถอนตะปูสามดอกที่ปักอยู่ตรงกระดูกสันหลังออกมาก่อน ข้าจะถอนสองดอก เจ้าช่วยข้าถอนดอกที่เหลือ”
ฉินจิ่วเกอรู้สึกเหมือนตนเองกำลังเลี้ยงเสือสร้างเภทภัย มันแทบไม่อาจทนรอดูโครงกระดูกถอนดึงตะปูทั้งสองรับบาดเจ็บ
ดังนั้น มันแสร้งทำเป็นตอบรับอีกฝ่าย แต่กลับจงใจลงมือช้าไปเสี้ยววินาที
กฎเกณฑ์ที่สลักอยู่ในตะปูเรืองแสงเจิดจ้า ทำลายกฎเกณฑ์ของโครงกระดูกไปกว่าครึ่ง
“เจ้า! ” โครงกระดูกแทบแยกออกเป็นชิ้นๆ มันฝืนเค้นเอาตะปูยาวครึ่งเมตรออกจากลำคอ บนผิวอัดแน่นไปด้วยลวดลายเต๋าฟ้าดินอันเร้นลับ
“ข้าเป็นแค่ชนชั้นหลอมวิญญาณ เจ้าหวังให้ข้าตอบสนองไวขนาดไหนกัน” ฉินจิ่วเกอผายมือออก แสร้งทำเป็นไม่รู้ โทนเสียงไม่เป็นมิตร
เฒ่าเสียเยว่คิดกับตัวเอง ร่างโครงกระดูกของมันนี้ ไม่จำเป็นต้องเอาไว้ก็ได้ รอจนเจ้าเด็กนี่ย่างเข้าสู่พิสุทธิ์ไพศาล ค่อยช่วงชิงมาแล้วกัน ช่างปะไร ตอนนี้อย่าเพิ่งไปสนใจมันจะดีกว่า ขาดอีกแค่ตะปูที่ตรอกตรึงกลางหน้าผาก ตนก็จะเป็นอิสระแล้ว
“เจ้าช่วยข้าใช้หมื่นมารทมิฬปกป้องพลังกฎเกณฑ์ให้ดี ข้าจะถอนเอาตะปูตรงกลางคิ้วออกมา จากนั้นเจ้าก็จะได้ออกไปจากที่นี่! ”
“ตกลง”
ฉินจิ่วเกอนั่งขัดสมาธิ ขับเคลื่อนหมื่นมารทมิฬถึงขีดสุด ชักนำไออสูรเข้าสู่ชีพจรตันเถียนดั่งคลื่นทำนบ เคล็ดกำลังภายในเร้นลับเล่มนั้นสูงส่งเหนือหล้า สามารถเปลี่ยนให้ไออสูรเป็นไอวิญญาณได้ตลอดเวลา
ตะปูดอกสุดท้ายนี้ เสียเยว่จำต้องใช้เวลานานถึงสิบวันจึงจะใช้กฎเกณฑ์ทำลายอักขระและถอนออกมาได้ในที่สุด ตะปูดอกนั้นยาวเพียงหนึ่งนิ้วมือ หนาเท่าตะเกียบ ยามดึงออก ยังแฝงกลิ่นอายทำลายล้างมวลมิติ
สมแล้วที่กฎสรรพสิ่งได้สมญาเฒ่าประหลาด ขนาดนี้แล้วยังไม่ตาย
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้พลังวิญญาณสูงส่งเพียงไหน ตอนที่ถูกตะปูสะกดวิญญาณเจ็ดดอกตอกตรึงร่าง ดวงจิตย่อมสลายกระเจิงไปนานแล้ว
“ขอแสดงความยินดีกับอาวุโสด้วย” ฉินจิ่วเกอแสร้งทำเป็นยินดีปรีดา เห็นสภาพของโครงกระดูกเฒ่าที่เหมือนซากศพคลานออกจากโลงแล้ว คงจะไม่มีแผนจัดการกับตนเร็วๆ นี้ ต้องรู้สึกวางใจขึ้นมา
วาบ!
ประกายอสูรอาบไล้ไปทั่วร่าง บนผิวกระดูกเริ่มมีเนื้อหนังบางๆ ปกคลุม แผ่นหนังสีซีดเซียวนั้นพอจะห่อหุ้มโครงกระดูกได้อย่างเต็มฝืน
จนกระทั่งแสงอสูรเสื่อมสลาย ร่างที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกก็เผยให้เห็น ผิวหนังแบนราบติดกระดูก เทียบกับซากศพที่ตายเพราะขาดน้ำแล้วยังน่ากลัวกว่ากันไม่รู้กี่เท่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า” เสียงมรณะเขย่าไปถึงขุมนรก ก้องสะท้อนไปทั่วโลกใต้ดินแห่งนี้
ผลพวงจากการที่ตะปูสะกดวิญญาณถูกถอนออก กำแพงศิลาสูงหมื่นเมตรทั้งสองฟากข้างจึงเคลื่อนเข้าหาจุดศูนย์กลาง จากที่กว้างร้อยเมตรตอนนี้จึงเหลือไม่ถึงสามเมตร
“ครั้งนี้ต้องขอบใจเด็กน้อยเจ้าจริงๆ นับแต่วันนี้ไป เจ้าติดตามข้าก็แล้วกัน ข้าจะพาเจ้ากลับที่พำนักเก่าของข้า แล้วถ่ายทอดเคล็ดวิชาเทพแก่เจ้า! ” พร้อมกับกำแพงศิลาหมื่นเมตรที่เคลื่อนบีบเข้ามา เฒ่าเสียเยว่ยังคงสงบนิ่ง คล้ายไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์รอบตัว
ฉินจิ่วเกอประคองมือ กล้ามเนื้อมุมปากกระตุกเล็กน้อย “อาวุโส ผู้เยาว์เคยชินกับชีวิตเสเพลสำราญ ไม่สู้หลังจากที่ออกไปจากบึงมารมรณานี้ได้ เราสองต่างคนต่างแยกย้ายกันไปจะดีกว่า”
“เด็กน้อยเจ้าอย่าได้ปฏิเสธน้ำใจข้า ยังคงติดตามข้ามาจะดีกว่า ข้าจะให้เจ้าเป็นศิษย์สายตรง ปกครองขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่” เฒ่าเสียเยว่ยังคงเกลี้ยกล่อมไม่เลิก วาจาของมันช่างยากจะบอกปัด
สังขารนี้คือร่างในอุดมคติที่เหมาะแก่การครอบครอง ก่อนที่ฉินจิ่วเกอจะบรรลุพิสุทธิ์ไพศาล อย่าเพิ่งทำให้อีกฝ่ายตื่นตัวเลยดีกว่า
ในใจของฉินจิ่วเกอตอนนี้ยิ่งมั่นใจว่าตาแก่เสียเยว่นี่ย่อมไม่ได้คิดดีแน่ๆ
แต่ว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาฉีกหน้ากาก ไม่งั้นตนจะยิ่งตกเป็นฝ่ายตั้งรับ
จึงได้แต่กัดฟันเผชิญหน้ากับสถานการณ์ “เช่นนั้นผู้เยาว์ต้องขอรบกวนแล้ว”
“ประเสริฐ งั้นก็มากับข้า! ” พิสุทธิ์ไพศาลสามารถเหินบินบนอากาศ กลั่นดวงธาตุสามารถเคลื่อนย้ายข้ามมิติ
ส่วนกฎสรรพสิ่ง สามารถฉีกมิติทะลวงข้ามระยะ ตำแหน่งใต้ดินหมื่นเมตรนี้ เพียงใช้เวลาไม่กี่ลมหายใจก็สามารถทะลวงมิติออกสู่ภายนอกได้แล้ว
ครืนน!
บึงมารมรณาค่อยๆ หดแคบเข้าหากัน เหลือไว้เพียงรอยแยกขนาดครึ่งเมตร แต่ก็ยังคงความลึกหนึ่งหมื่นเมตรลงผิวโลก พร้อมที่จะสูบกลืนสิ่งมีชีวิตใดที่ย่างผ่าน นัยน์ตาขุ่นมัวไร้ตาดำตาขาวของเฒ่าเสียเยว่เพียงมองไปที่บึงมารมรณาครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย
ก้นบึ้งบึงมารมรณานี้ จำต้องมีปริศนาอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ เพียงแต่แม้แต่ตอนที่มันสภาพสมบูรณ์พร้อมที่สุดก็ยังไม่อาจรับมือกับค่ายกลพันธนาการนั้นได้ ตอนนี้หากยังมุทะลุเข้าไปสำรวจต่อ นั่นเท่ากับรนหาที่ตายแล้ว ดูเหมือนคงต้องรอกลับมาใหม่ในภายหลัง
ฝ่ามือแห้งเหี่ยวแตะลงบนบ่าของฉินจิ่วเกอ กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกจากรูขุมขน “ตามข้ามา”
ฉินจิ่วเกอแยกเขี้ยว แต่ก็จนปัญญาจะทำอย่างไรได้
อีกฝ่ายเป็นถึงสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่ง แม้จะถูกเหนี่ยวขังมานานนับพันปี แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่พรรคหลิงเซียวจะรับมือด้วยได้ ยังคงติดตามมันไปก่อนจะดีกว่า ถึงเวลาค่อยว่ากัน
ฉีกกระชากห้วงมิติ เดินทางข้ามความมืดและเงาแสง
เฒ่าเสียเยว่นำพาฉินจิ่วเกอข้ามผ่านระยะทางหลายแสนลี้ จากมุมตะวันตกเฉียงใต้ของเผ่ามนุษย์ ใช้เวลาสามวันบรรลุสู่แผ่นดินทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจรดทิศตะวันตกผืนหนึ่ง
ทวีปฉงหลิงกว้างไกลสุดคณานับ ทอดยาวนับล้านล้านลี้ โดยมีเผ่ามนุษย์มารอสูรผงาดง้ำอยู่บนมหาทวีป เผ่าอสูรตั้งอยู่ทางเหนือสุดของมหาทวีป เผ่ามารอยู่ทางตะวันตกสุด เผ่ามนุษย์อยู่ทางใต้ และทางตะวันออกเฉียงใต้ก็คือที่ตั้งของหมู่เกาะและมหาสมุทร
รอยต่อกึ่งกลางพื้นที่ของทั้งสามเผ่า ก็คือที่ตั้งเมืองเทียนเอิน ใจกลางมหาทวีป มีอาณาเขตหนึ่งล้านลี้
ขุมอำนาจที่เฒ่าเสียเยว่เอ่ยถึง ตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งระหว่างเขตพรมแดนอิทธิพลของเผ่ามนุษย์และเผ่าอสูร ติดกับมหาสมุทร และอยู่ทางมุมตะวันออกเฉียงเหนือของมหาทวีป
“ตอนที่ข้าบรรลุกฎสรรพสิ่ง ฆ่าล้างศัตรูประจำตระกูล ข้าเกียจคร้านเกินกว่าจะกลับมายังเผ่ามนุษย์หรือเผ่าอสูร ก็เลยเข้าครองยอดเขาที่อยู่ในเขตความโกลาหล ตั้งบรรพตสละฟ้าขึ้นมา ปกครองสิบหัวเมือง”
เอ่ยถึงความสำเร็จในอดีต เฒ่าเสียเยว่พูดเป็นต่อยหอย
ชนชั้นกฎสรรพสิ่ง อย่างไรยังถือว่ามีบุคลิกอยู่บ้าง ทั้งมารมนุษย์อสูรล้วนไม่กล้ามองข้าม เขตพรมแดนของทั้งสองเผ่ายืดยวกว่าหมื่นลี้ ภายในนั้นเต็มไปด้วยกลุ่มก้อนต่างๆ มากมาย เป็นที่พำนักของบรรดาผู้ฝึกวิชาปีศาจ
เฒ่าเสียเยว่ตั้งบรรพตสละฟ้าขึ้นตรงตำแหน่งของสองเผ่าบรรจบ เมื่อฟังดูแล้ว ขนาดใหญ่โตไม่ธรรมดา
“เด็กน้อยเจ้ากลับไปพร้อมข้า รับประกันว่าจะได้ดื่มกินอย่างอิ่มหนำสำราญ เจ้าช่วยเหลือข้าจัดการกิจการของบรรพตสละฟ้า ข้าจะให้เจ้าเป็นประมุข” เพื่อป้องกันมิให้ฉินจิ่วเกอจับสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากล เฒ่าเสียเยว่ลงทุนมหาศาล รับประกันมั่นเหมาะติดตามกัน บันดาลให้สมองผู้คนเลอะเลือน
ฉินจิ่วเกอเบ้ปาก เจ้าคิดว่าเป็นพวกเห็นแก่เงินหรือยังไง? แต่ทว่าในเมื่อมีกฎสรรพสิ่งเป็นเจ้าของ บรรพตสละฟ้าแน่นอนว่าย่อมมีขนาดใหญ่โต ยังไงก็ต้องมีศิลาวิญญาณสะสมไว้มหาศาลให้ผลาญไม่หมดสิ้น
“ใกล้แล้ว ตอนนี้พวกเรามาถึงเขตซ้อนทับของเผ่าพันธุ์มนุษย์อสูร รัศมีหมื่นลี้รอบสถานที่นี้พำนักด้วยเผ่าพันธุ์นาๆ สารพัด เผ่าพิสดารที่ผู้ฝึกวิชาปีศาจเรียกหากันถือว่าหายากที่สุด บรรพตรวมฟ้ายามมีข้าขึ้นปกครองอยู่ ไม่มีผู้ใดกล้าตอแย”
เผ่าพิสดาร คือเผ่าที่ทุกผู้คนบนทวีปใหญ่กีดกั้น
บรรพตสละฟ้า ก็คือสานที่ที่เฒ่าเสียเยว่ใช้ตราความอาฆาตแค้นของมันต่อโลกหล้าและสรวงสวรรค์ ในเมื่อทั้งฟ้าไม่รับดินไม่ฝัง ไร้ญาติขาดมิตร แม้แต่สวรรค์ยังหันหลังให้ แล้วจะเป็นไร?
สละฟ้า แสดงถึงความเคียดแค้นอันลึกล้ำ โชกเลือดหวนไห้
แดนหมื่นลี้ที่เชื่อมบรรจบระหว่างสองเผ่าพันธุ์ ผืนแผ่นดินรกร้างแห้งระแหง วิหคร่วงหญ้าเหี่ยวเฉา
ทุกที่ทางเต็มไปด้วยความรกร้างเงียบเหงา ไร้ประกายชีวิต แม้แต่หญ้าเขียวสักกอยังไม่ปรากฏ
ฉินจิ่วเกอลูบหนังท้องของตนเอง เสียงลั่นดังครกคราก ต้องแยกเขี้ยวกล่าวว่า “อาวุโสเสียเยว่ พวกเราหาที่รับประทานอาหารกันก่อนดีหรือไม่?”
กฎสรรพสิ่งไม่ทานอาหารได้ แต่ตนเองขั้นหลอมวิญญาณ ยังไงก็ต้องกิน
เผ่าพิสดารไม่กล้ารั้งอยู่ในใจกลางเขตของเผ่ามนุษย์ ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าอาการบาดเจ็บของเสียเยว่ยังไม่หายดี หลายวันมานี้ยามเคลื่อนไหวออกจากเขตแดนมนุษย์ล้วนเร่งร้อนราวติดปีก ไม่กล้าหยุดยั้งแม้แต่น้อย
เฒ่าเสียเยว่ยกนิ้วขึ้นแคะขี้ฟัน มันถูกขังไว้พันปี ตอนนี้มองดูพระอาทิตย์ยังเห็นเป็นสีเขียว
“เจ้าหิว งั้นข้าจะพาเจ้าแวะทานอาหารก่อน” ยังดีที่ไม่ไกลเท่าใดเป็นพื้นที่ซึ่งมันคุ้นเคยมาก่อน เฒ่าเสียเยว่พาฉินจิ่วเกอเข้าสู่ตัวเมืองอย่างเบิกบาน เสาะหาดรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในละแวกนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างฉินจิ่วเกอและเสียเยว่ แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ในระดับคนเห็นหน้าทั่วไปได้อย่างเต็มฝืน
เสียเยว่มิได้คิดว่าฉินจิ่วเกอเป็นศิษย์ของมัน ในใจของฉินจิ่วเกอเอง อาจารย์ของมันมีเพียงอาวุโสใหญ่เท่านั้น
.
.
.