เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 128 ไม่ยอมไม่ได้

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ผู้ฝึกตนโดยปกติยังมีความอยากอาหาร แม้แต่ชนชั้นกลั่นดวงธาตุบางรายก็ยังไม่เว้น

ในเมื่อมีความอยากเหลืออยู่ ก็ต้องรับประทานเข้าไป ห้องน้ำเล็กๆ แค่นี้ย่อมสามารถใช้อธิบายบทความได้

“พวกเจ้าลองคิดตามนะ” ฉินจิ่วเกอยกมือปิดจมูก โบกไล่แมลงวัน แอบไปหลบพูดอยู่หลังสุด “คนเรามีสามด่วน โดยเฉพาะเรื่องท้องไส้นั้นยากทานทนที่สุด ทีนี้ก็ลองใช้สมองหน่อยซิ”

หลงเฟิงพลันกระจ่างขึ้นมา “ข้าเข้าใจแล้ว หากมีผู้ฝึกตนสิบคน แปดในนั้นจะต้องมีปัญหาเรื่องท้องไส้ ใครที่อยากเข้าไปต้องจ่ายคนละหนึ่งศิลาวิญญาณระดับต่ำ! ”

“เข้าใจคิด” ประมุขโหวยกมือแนบแก้มลิงของตัวเอง ยังดีที่ตนเป็นยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุ ไม่ต้องมากเรื่องถึงเพียงนี้

ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะคล้ายโล่งอกอยู่บ้าง “เท่านี้จะไปพอได้ไง พวกเราต้องคิดนอกกรอบให้มีประสิทธิภาพกว่านี้”

“เชิญประมุขน้อยชี้แนะ” คนทั้งห้าคล้อยตาม รอรับฟังทฤษฎีการพัฒนาเศรษฐกิจจากฉินจิ่วเกอ

“ย่อมได้” ฉินจิ่วเกอสองมือไพล่หลัง สองขาหยัดยืนตั้งมั่น “กิจการบรรพตสละฟ้าเรามาถึงจุดวิกฤติแล้ว ดังนั้นจึงต้องพึ่งกิจการทุนต่ำแต่กำไรสูงนี้”

“ยกตัวอย่างเช่นค่าธรรมเนียม เราสามารถเปลี่ยนจากแบบทางเดียวให้เป็นแบบสองทาง กล่าวคือหากต้องการเข้าส้วมรับมาก่อนหนึ่งก้อน หากต้องการออกจากส้วมก็ค่อยรับมาอีกหนึ่งก้อน”

ฉินจิ่วเกอส่ายหน้าไปมา ถึงอย่างไรคนที่จะมาใช้บริการก็ไม่ใช่ตัวเองอยู่แล้ว ก็เลยพูดได้อย่างปราศจากแรงกดดันใดๆ

ประมุขจูเอ่ยถามด้วยความตะลึง “แล้วถ้าฝ่ายนั้นไม่ยินยอมเล่า? ”

ฉินจิ่วเกอยกกำปั้นกระแอมไออยู่สองครา “เราคือผู้มีอารยะ ไม่อาจแก้ปัญหาด้วยกำลัง หากฝ่ายนั้นไม่ยินยอม ก็ไม่ต้องออกมา ปล่อยไว้สักพักเดี๋ยวก็คงคิดได้เอง”

“ซี๊ดด! ” คนทั้งห้าผงะไปเสียหลายก้าว จากนั้นพลันตระหนักได้ว่าข้างหลังก็คือส้วม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงยืนกรานไม่ขออยู่ใกล้ฉินจิ่วเกออีกเด็ดขาด

เลือดเย็น! นี่มันคือการฆ่าคนโดยประหารจิตใจก่อน กลยุทธ์นี้เลือดเย็นโดยแท้

“อีกอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนเข้าส้วมแล้วไม่ทำธุระ เราต้องคิดค่าบริการเป็นรายชั่วโมง เลี่ยงไม่ให้เกิดความยุ่งยาก เรื่องนี้สำคัญยิ่ง คิดราคาตามเวลาที่ใช้ ส่งเสริมให้ทุกคนรีบทำธุระรีบไป นี่เองก็เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดในย่านการค้าเช่นกัน”

“อ้อ” ห้าชนชั้นกลั่นดวงธาตุถึงบางอ้อ

ที่แท้การประหยัดงบประมาณต้นทุนที่ว่าก็คือการฉ้อฉลดักอุ้มนี่เอง แต่เป็นในแบบที่มีภาพลักษณ์ดูดี อันที่จริงก็ไม่ต่างไปจากวิธีการของพวกกุ๊ยอันธพาลเท่าไรเลย จะต่างก็แค่ผู้อื่นปล้นชิงดักฆ่าเท่านั้น

“เข้าใจตรงกันนะ? ” ฉินจิ่วเกอรู้สึกวางใจไม่ลง เหตุไฉนสีหน้าแววตาของพวกมันถึงได้ดูชั่วร้ายขนาดนั้น เจตนาเดิมของตนคืออยากให้พวกมันเพิ่มช่องทางให้มากขึ้นเท่านั้นเอง

คนทั้งห้าผงกศีรษะ คันไม้คันมือจะแย่แล้ว “เข้าใจแล้ว! ”

“งั้นก็ตามนี้” ที่จริงฉินจิ่วเกอก็ไม่คิดยืนอธิบายอยู่หน้าส้วมอีกต่อไป ก็ถือว่าพวกมันเข้าใจแล้วก็แล้วกัน

แต่มันก็ยังอดที่จะเอ่ยย้ำอีกทีไม่ได้ “แล้วก็เรื่องระเบียบการบริหารภายในเมือง ให้พัฒนาไปตามแบบแผน ‘ในกวดขันนอกหละหลวม’ ภายในเขตเมือง ห้ามไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงลักขโมยอย่างเด็ดขาด ให้แขกที่มาเยือนเมืองของพวกเรารู้สึกว่าที่นี่ก็คือเมืองที่สงบสุขปลอดภัยที่สุด”

ฉินจิ่วเกอกำหมัดแลบลิ้นเลียฟัน “พอถึงเวลารื้อสร้างก่อเมือง จำต้องมีพวกที่ขัดต่อกฎระเบียบ ทันทีที่มีคนต่อสู้ขัดขืนกฎที่เราวางไว้ หากพบเห็นให้ประหารทิ้งทันที เพื่อเป็นการประกาศอำนาจศักดา”

สี่ประมุขผงกศีรษะเห็นพ้อง วิธีการรวบรัดซื่อตรงนี้สมเหตุสมผลดี

ตราบใดที่อำนาจการออกกฎและการเก็บภาษียังอยู่ในมือ การสร้างอำนาจนั้นจะไปไหนเสีย

“ว่าแต่ประมุขน้อย ในเข้มงวดนอกหละหลวม แล้วการจัดการแบบหละหลวมที่ว่านี้มันเป็นแบบไหนกัน? ”

“คิดหาวิธีดึงดูดให้เหล่ากองโจรทั้งหลายมาสุมซ่อนใกล้ๆ เมืองเทียนเอินเข้าไว้ หรือไม่ก็หาทางก่อตั้งกองกำลังลับๆ เอาไว้ซะ” ฉินจิ่วเกอกล่าว “จำไว้ว่า จะขาดกองโจรไปไม่ได้ ทั้งยังต้องมีคนของพวกเราแฝงอยู่ด้วย”

ประมุขหยางคิดแล้วตอบ “ทำแบบนี้พวกเราก็จะสามารถคุ้มกันกองคาราวาน และเก็บศิลาวิญญาณก้อนใหญ่ไปด้วยได้? ”

กลับเห็นฉินจิ่วเกอยกนิ้วส่ายไปมา

“การปกครองบรรพตสละฟ้าตั้งอยู่บนบรรทัดฐานสองประการ ประการแรกในเข้มงวดนอกหละหลวม แปลว่านอกเมืองจะฆ่าหรือช่วงชิงสินค้าล้วนสามารถ แต่ห้ามเป็นในเมืองเด็ดขาด ประการที่สอง หัดยืมมีดโจรสังหารโจร เช่นนี้ตำแหน่งของพวกเราก็จะเสถียรมั่นคง”

“พวกโจรย่อมไม่หวังให้เจ้าถิ่นอย่างพวกเราโอบล้อมสังหารพวกมันอยู่แล้ว ดังนั้นหากมีตรงไหนที่หละหลวม โจรพวกนี้ก็จะไปรวมตัวกันที่ตรงนั้น ที่พวกเราไม่ไปแยแสสนใจโจรภูเขานอกเมืองเหล่านี้ก็เพื่อปล่อยให้พวกมันได้กระจายอำนาจออกไปโดยมีพวกเราเป็นจุดศูนย์กลาง”

“พอเราไม่ไปจัดการ พวกมันก็จะสามารถฆ่าคนปล้นชิงได้ดั่งใจ ทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการสนับสนุนพวกเราอย่างลับๆ และจะค่อยๆ ขยับขยายเข้ามาใกล้บรรพตสละฟ้าของพวกเราโดยไม่รู้ตัว ทางเราก็แค่ชุบเลี้ยงคนที่จะไปเป็นผู้นำออกมาสักกลุ่ม แค่นี้ก็สามารถควบคุมโจรเหล่านี้ไว้ในกำมือได้แล้ว”

“แม้แต่โจรก็ยังมีประโยชน์? ” ประมุขโหวเกาหัวจนหนังศีรษะแทบเปิดก็ยังคิดไม่ออกว่ามีประโยชน์ยังไง

“แน่นอน ช่ำชองชำนาญ สามลัทธิเก้าสถาบัน ไม่มีที่ใดที่พวกมันไม่รู้ โจรพวกนี้หูตากว้างไกล รอพวกมันขยับขยายเข้าใกล้พวกเราเมื่อไร ถึงตอนนั้นก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากพวกมันให้คอยควบคุมเหตุการณ์นอกเมือง ทั้งยังสอบถามสถานการณ์ความเป็นไปของขุมกำลังต่างๆ ได้อีกด้วย”

“เช่นนี้แล้ว ยังต้องฆ่าโจรพวกนี้อยู่อีกหรือ? ” หลงเฟิงจดจำคำพูดทุกคำของฉินจิ่วเกอ ไล่ถามต่อทันที

“พอถึงระยะหนึ่ง โจรพวกนี้ก็จะไม่ฟังคำสั่งเราอีกต่อไป และนั่นก็คือเวลาที่พวกเราจะกำจัดพวกมัน แถมนี่ยังช่วยให้เราชนะใจผู้คน ยกระดับชื่อเสียงขจรขจายจนเป็นที่ครั่นคร้ามกันไปทั่ว”

“อีกอย่าง พอกวาดล้างกองโจรจนสิ้นซาก ทรัพยากรศิลาวิญญาณที่พวกมันเก็บรวบรวมมาทั้งหมดก็จะตกเป็นของเรา ส่วนการชุบเลี้ยงกองโจรขึ้นมา ที่จริงก็เพื่อเลี้ยงให้พวกมันออกไปกัดคนช่วยพวกเราสะสางเรื่องราว รอจนพวกมันอ้วนพีสมบูรณ์เมื่อไหร่ ก็ค่อยเชือดทิ้ง”

วาจาประดานี้ ย่อมไม่ใช่คำพูดที่น่ายกย่องเป็นแน่ หากเอาไปพูดกับเผ่ามนุษย์หรือเผ่ามาร ฉินจิ่วเกอย่อมไม่กล้า มีแต่บรรพตสละฟ้าที่ตนเป็นราชันอยู่จึงจะสามารถเอ่ยออกมาได้อย่างไม่นำพา

“ใช้บรรพตสละฟ้าเป็นศูนย์กลาง ล่อให้กองโจรทั้งหลายเข้าหา แล้วกองโจรจากทั่วสารทิศก็จะรุมล้อมเข้ามา ที่จริงก็ไม่ต่างจากศูนย์กลางการระเบิด ปล่อยสะเก็ดออกไปทั่วสี่ทิศแปดทาง เช่นนี้ก็สามารถลักลอบเข้าสู่อาณาเขตของกองกำลังใหญ่ๆ กลับกลายเป็นผงาดขึ้นอำนาจ”

ขอเพียงทำสำเร็จ อาณาเขตร่วมหมื่นลี้โดยรอบก็จะถูกบรรพตสละฟ้าเหยียบย่ำไว้แทบเท้า พอมีรากฐานตรงนี้แล้ว ก็จะสามารถผนึกควบรวมเผ่าพิสดาร ชุบเลี้ยงเสริมอำนาจแก่พวกมัน

กลยุทธ์ยืมมีดโจรสังหารโจรนี้ เป็นก้าวที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูบรรพตสละฟ้า

ขอเพียงทำได้ดี ในอาณาบริเวณโดยรอบ หากมีคลื่นลมก่อหวอดที่ตรงไหน ล้วนไม่อาจเล็ดลอดไปจากสายตาของบรรพตสละฟ้าได้เด็ดขาด

ต่อให้มีคนคิดกวาดล้างเผ่าพิสดารอยู่จริง ก็ยังสามารถโยกย้ายรากฐานได้ในเวลาอันสั้นที่สุด

หากมีศิลาวิญญาณ ก็เท่ากับครอบครองทรัพยากรมหาศาล บรรพตสละฟ้าคิดล่มจมยังทำได้ยาก

ฉินจิ่วเกอกล่าวจบไปแล้ว สี่ประมุขขุนเขาและหลงเฟิงก็ยังย่อยข้อมูลอยู่อย่างช้าๆ

วาจาทำนองนี้ช่างน่าแตกตื่นเกินไปหน่อยแล้ว ชั่วร้ายเกินไปหน่อยแล้ว สี่ประมุขขุนเขายิ่งรู้สึกยอมรับในตัวฉินจิ่วเกอจากก้นบึ้งของจิตใจมากขึ้นไปอีก

บางที มันอาจไม่ใช่แค่ฟื้นฟูบรรพตสละฟ้าเพียงอย่างเดียว หากแม้แต่เผ่าพิสดารเองก็ด้วย!

ปิดตาทบทวนอย่างช้าๆ ฉินจิ่วเกอเองก็ไม่แน่ใจว่าตนคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่

มันคิดแค่ว่า หากสามารถรวมตัวผู้ที่มีสายเลือดมนุษย์และอสูรขึ้นมาได้ เช่นนี้ก็จะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่มันจะมอบให้แก่ศิษย์น้องเล็ก

จากนั้น หยางหลิวสองประมุขก็เริ่มจัดแจงให้ศิษย์บรรพตสละฟ้าปะปนเข้าสู่กิจการของพวกโจรภูเขา ไปๆ มาๆ ระหว่างสองฝ่าย ดึงดูดให้กองโจรหลั่งไหลกันเข้ามา ส่วนหลงเฟิงก็รับหน้าที่ติดต่อกองคาราวาน โดยเฉพาะสาขาในเมืองซวนอู่ที่ฉินจิ่วเกอไว้วางใจ

ส่วนจูโหวสองประมุขได้ถูกฉินจิ่วเกอใช้ให้ไปซ่อมบำรุงตัวเมือง ยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุผู้สามารถเคลื่อนภูผาผ่ามหาสมุทรคิดสร้างเมืองที่จุประชากรนับล้านขึ้นมาสักแห่ง ยามโยกย้ายกองหินกองไม้ปริมาณมหาศาลย่อมเป็นเรื่องง่าย

ส่วนเรื่องค่ายกลพิทักษ์เมือง ที่จริงนับเป็นปัญหาอยู่บ้าง ฉินจิ่วเกอเลยต้องโยกย้ายที่ทำการหลักของบรรพตสละฟ้าไปไว้บนตีนเขาแก้ขัดไปก่อน แล้วปักหลักอยู่ในเมือง ชดเชยเรื่องการขาดแคลนค่ายกลพิทักษ์เมืองไปพลางๆ

หลังวางมาตรการเบื้องต้นจนแล้วเสร็จ ฉินจิ่วเกอก็ไม่ได้ไปก้าวก่ายในรายละเอียดยิบย่อย

ในแง่ทฤษฎีก็คือการขัดเกลาฝีมือ ดูว่าแต่ละคนมีประสิทธิภาพในการทำงานขนาดไหน

แต่ในความเป็นจริง มันก็แค่ขี้เกียจ ก็เลยประกาศว่าจะปิดด่านสักระยะ แล้วหมกตัวอยู่ในห้อง ตื่นมากิน กินแล้วหลับ แล้วก็ตื่นมากินอีก สุขกว่านี้หามีไม่

เวลาสามเดือน ผ่านไปไวเหมือนโกหก

พอถึงเวลาสิ้นสุดโครงการ สี่ประมุขก็รู้สึกกระชุ่มกระชวยยิ่ง รีบเสนอหน้าบานๆ เหมือนดอกเก๊กฮวยมาขอให้ฉินจิ่วเกอช่วยประทานชื่อเมืองให้

ฉินจิ่วเกอหยิบปากกาขึ้นมาจรดลงไปเป็นสามตัวอักษรยึกยือ ดูไปเหมือนไก่เขี่ย

ตัวอักษรนี้ใหญ่บนลีบล่าง ซ้ายไปทางขวาไปทาง สี่ประมุขพอได้เห็น ก็รู้สึกประดักประเดิดสุดประมาณ ไม่ทราบควรประเมินลวดลายอักษรนี้อย่างไรดี

ท้ายที่สุดก็เป็นหลงเฟิงที่ซึมซาบแก่นแท้แห่งความไร้ยางอายมาจากประมุขน้อยอยู่บางส่วนเอ่ยยอสรรเสริญมาอย่างไม่เก็บงำ ในน้ำคำยังเยินยอถึงความมีอัตลักษณ์ทางลายมือของประมุขน้อย ฉินจิ่วเกอพับเก็บปากกา เดินกลับไปจำศีลต่อที่ห้อง ส่งมอบหน้าที่ประกาศชื่อเมืองใหม่ให้แก่ประมุขหยาง

*เมืองอวี่เกอ (เพลงพิรุณ)

นามกวีชวนฝัน สัญลักษณ์คู่แท้ ฉินจิ่วเกอรู้สึกว่าตัวเองช่างมีพรสวรรค์ทางศิลป์จริงๆ

สี่ประมุขขุนเขาจนใจ ขอเพียงฉินจิ่วเกอมีความสุข จะใช้ชื่อเมืองเงินไหลนองทองไหลมา หรือเมืองวาสนาล้นอะไรก็ได้ทั้งนั้น ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็ไม่อาจวัดประเมินได้ด้วยสามัญสำนึกทั่วไปอยู่แล้ว

สามารถตั้งชื่ออวี่เกออันเป็นนามที่มีความหมายได้เช่นนี้ที่จริงก็ถือเป็นการวิวัฒนาการทางสติปัญญาและคุณภาพบุคคลมากแล้ว

ผ่านไปสามเดือน การบูรณะเมืองอวี่เกอก็เป็นอันสิ้นสุด ตัวเมืองเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ส่วนฉินจิ่วเกอก็นอนจำศีลตลอดสามเดือนเต็ม

ในระยะเวลานี้ หวังซานก็เรียกสหายพรรคพวก และบรรดาพ่อค้าวาณิชมาจากเมืองซวนอู่ ช่วยฉินจิ่วเกอรวบรวมกองคาราวานได้หลายขบวน

ประเด็นคือตนติดหนี้เจ้าเด็กนี่อยู่ จะไม่ช่วยก็ไม่ได้

สี่ประมุขขุนเขามาถึงป่าโบราณ ใช้พลังชั้นกลั่นดวงธาตุเสาะหาโอสถสมุนไพร จนกระทั่งตะวันโด่ง ถึงค่อยนำผลผลิตเต็มกระบุงในวันนี้เดินทางกลับมาแลกเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณกับสองเผ่ามนุษย์และอสูร

เหล่าพ่อค้าขนย้ายสินค้ามาหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโอสถสมุนไพร สินแร่ ขนสัตว์ หรือดวงธาตุสัตว์อสูร พอเดินทางมาถึงเมืองอวี่เกอ บรรพตสละฟ้าก็มาเหมาซื้อในราคาดี กองคาราวานที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นโกยก็เลยเทียวไปเทียวมา ชื่อเสียงก็แพร่สะพัดลือเลื่อง ดึงดูดให้ผู้คนมาเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ

คนที่นี่โง่เขลา เงินดี รีบมา!

บรรพตสละฟ้าอึกทึกครึกโครมกันขนาดนี้ ย่อมไม่พ้นดึงความสนใจจากขุมกำลังเจ้าถิ่นหลากหลายแห่ง

หอกลืนตะวัน ตำหนักผนึกน้ำแข็ง และวังสุนัขป่าคือศัตรูคู่อาฆาตของบรรพตสละฟ้ามานานหลายปี

กองกำลังทั้งสามตั้งอยู่ในระยะพรมแดนหลายหมื่นลี้โดยรอบ เป็นกองกำลังชั้นยอดที่มีหน้ามีตา นับแต่ที่เฒ่าเสียเยว่สาบสูญไป ทั้งสามกองกำลังก็รุกคืบกลืนกินบรรพตสละฟ้าไปทีละก้าว เมืองทั้งเก้าที่ล่มสลายไปทีละแห่งๆ ตลอดจนพื้นที่เขตแดนรอบขุนเขาล้วนถูกทั้งสามตระกูลครอบครองแบ่งสันปันส่วนกันไป

พอเห็นว่าบรรพตสละฟ้าตั้งท่าจะผงาดกลับมาอีกครั้ง ทั้งสามกองกำลังย่อมไม่อาจอยู่เฉยปล่อยให้บรรพตสละฟ้าทำตามอำเภอใจ ล้อกันเล่นหรือไง ทันทีที่บรรพตสละฟ้าผงาดขึ้นมา พวกแรกที่จะต้องรับศึกหนักก็คือสามกองกำลังที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตนี้เอง

เผ่าพิสดารจะอย่างไรก็ยังเป็นเผ่าพิสดารอยู่วันยังค่ำ ต่อให้มีกฎสรรพสิ่งนั่งแท่นบัญชาการ ก็ไม่มีทางเปลี่ยนเนื้อแท้อันต่ำต้อยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดได้!

หลังการสถาปนาเมืองอวี่เกอ ทั้งสามกองกำลังก็ส่งคนมาอาละวาดก่อความชุลมุนอย่างต่อเนื่อง ไม่อาจปล่อยให้บรรพตสละฟ้าได้อยู่อย่างเป็นสุข

ใครเล่าจะคาดบรรพตสละฟ้ากลับเตรียมการตอบโต้ จัดตั้งกองกำลังรักษากฎให้คอยลาดตระเวนอยู่นานแล้ว

ใครก็ตามที่ไม่ปฏิบัติตามกฎที่วางไว้ หากพบ ฆ่าสถานเดียว!

ปราณสุริยันที่มาก่อเรื่องถูกทุบตาย พิสุทธิ์ไพศาลที่มาอาละวาดถูกผ่าร่างออกเป็นสองซีก บันดาลให้ความครั่นคร้ามที่มีต่อบรรพตสละฟ้าในใจผู้คนต้องเพิ่มพูนขึ้นมาอีกหลายส่วน

จนกระทั่งสามกองกำลังได้ส่งสองกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งมาหาเรื่องถึงในเมืองอวี่เกอ ทุกคนถึงค่อยประจักษ์ถึงภาพที่สองกลั่นดวงธาตุแปรสภาพไปเป็นเนื้อบดเละๆ สองกองไปต่อหน้าต่อตา

————————————–

*เมืองอวี่เกอ มาจากชื่อของตงฟางฉิงอวี่ + ฉินจิ่วเกอ

————————————–

พูดคุย

1. เก็บค่าเข้า แล้วก็เก็บค่าออก 5555555555555555 ชั่วช้าสารเลวมาก เลวกว่านี้มีอีกมั้ย เลวได้โล่ห์อ่ะ แล้วส้วมหลุมแบบจีน อื้อหือ ศิลาวิญญาณล้านก้อนก็ยอมอ่ะ ปล่อยข้าออกไปปปปปป

1. กลยุทธ์เลี้ยงโจรไว้รอบเมือง สรุปพี่ฉินเราชั่วกว่าโจรอีก หลอกโจรมาปล้นเงินให้ ตัวเองรอคอยตลบหลัง นางไม่ควรเป็นศิษย์พี่ใหญ่ฯ นางควรไปเป็นมาเฟีย

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท