ในเมื่อสมาพันธ์อู่ซิ่งไม่ได้ระบุพิกัดแน่ชัด ก่อนหน้าจึงมีคนหลายกลุ่มแยกย้ายกันตามหาที่ตั้งของสุสานไปทั่วเขาเหมิงซาน
ไม่ว่าจะเป็นเขาที่สูงร่วมหมื่นเมตร หรือจะเป็นหุบเขาที่ลึกนับพันเมตร ก็ไม่ปรากฏร่องรอยของสุสานที่ว่าเลยแม้แต่น้อย
และแล้ว ฝูงชนที่กระเหี้ยนกระหือรือก็เริ่มสงบใจลงได้ เปลี่ยนมาเฝ้ารอให้สมาพันธ์อู่ซิ่งออกมาแสดงตน
เหมือนครั้งก่อนๆ ฉินจิ่วเกอไม่ได้ออกมาชี้แจงหรือมีแผนการพิเศษใดๆ
ตอนเข้าสู่เขตหวงห้ามของเขาพิรุณเซียน มันทั้งกินทั้งดื่มจนหนำใจ ทั้งยังหาที่หลับนอนได้ และก็ไม่ได้ไปเตือนใคร
พวกที่ตื่นเต้นจนสติกระเจิงเหล่านี้ ก็เปรียบเหมือนคนจมน้ำ ต่อให้มีฟางเส้นเดียวลอยอยู่บนผิวน้ำ ก็ยังต้องกุมเอาไว้ในมือให้แน่น
ฉินจิ่วเกอไม่เคยทำเรื่องเปล่าประโยชน์มาก่อน จึงไม่มามัวพร่ำอะไรให้เสียเวลา
ตะวันออกเขาเหมิงซาน ทุ่งหญ้าเขียวขจี ศิลาแปลกตาละลาน
แต่ก็ไม่มีใครมีแก่ใจมาชื่นชมทิวทัศน์อันงดงาม วันต่อมา เป็นอย่างที่ทุกคนคาด สมาพันธ์อู่ซิ่งเริ่มทยอยปรากฏตัวออกมา
ในฐานะหนึ่งในสี่ขุมอำนาจสูงสุดของเมืองเทียนเอิน มรดกของพวกมันจึงเก่าแก่ที่สุด และเป็นเจ้าถิ่นที่เป็นชนพื้นเมืองมาแต่เดิม
ระดับพลังยุทธ์ของผู้นำตระกูลทั้งห้าสวีหม่าฟางหลู่เฝิงไม่ได้ด้อยไปกว่าประมุขจวง
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเจ้าสมาพันธ์และบรรดาอาวุโสสูงสุดเหล่านั้น พวกมันต่างก็เป็นตัวตนที่ถือครองพลังอันสุดสูง ยืนอยู่เหนือพวกปลาซิวปลาสร้อยทุกตัว
พอเห็นสมาพันธ์อู่ซิ่งมาอย่างอาจหาญ ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปขัดขวางหรือขึ้นเสียงใส่
ผืนธงโบกสะบัด กลีบบุปผาโปรยปรายทั่วสี่ทิศ
ไป๋หลี่ชิงเฉิงส่งยิ้มลวงวิญญาณอันเป็นเอกลักษณ์อยู่เนืองๆ นางสวมอาภรณ์สีแดงที่เผยให้เห็นลาดไหล่ขาวผ่อง ใบหน้ามีม่านมุกหงส์ปิดพรางเอาไว้ ค่อยๆ ร่อนกายลงจากบนฟ้า
ทุกตารางนิ้วบนร่างนางราวกับถูกปั้นแต่งขึ้นด้วยฝีพระหัตถ์แห่งสวรรค์
เพียงแค่ดวงตากระจ่างใสดุจหงสาคู่นั้นก็งดงามอย่างหาที่ติไม่ได้แล้ว เพียงได้ยลก็เหมือนถูกสะกดวิญญาณ
พริบตาที่สบตากับฉินจิ่วเกอ นัยน์ตาของอีกฝ่ายก็ทอประกายดั่งอสนีบาต สื่อความหมายว่าพวกเราเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน
จวงฟานและเจ้าเป้าจ้องมองฉินจิ่วเกอด้วยนัยน์ตาร้อนผ่าว อิจฉาริษยาอยู่หลายส่วน เจ้าเด็กนี่ถึงกับได้รับสายตาจากโฉมงามระดับนั้น
ต่อให้เป็นเพียงชั่วพริบตา กระดูกทั่วร่างท่านก็ต้องอ่อนยวบ กระทั่งกระทะทองแดงยังยินดีกระโจนลงไป
“เหล่าวีรชนทุกท่าน บ่าวขอคำนับต่อทุกท่านในที่นี้” ไป๋หลี่ชิงเฉิงแสดงความนอบน้อมถ่อมตน รอบตัวรายล้อมด้วยสตรีรับใช้ในชุดดำ จึงทำให้นางดูเหมือนบุปผางามที่บานชูช่ออย่างโดดเด่น
นอกจากสุสานบรรพชนเฒ่าสุญญตาที่ปรากฏขึ้นสู่หล้าแล้ว ยังมีความงามของไป๋หลี่ชิงเฉิงที่เป็นของขึ้นชื่อของเมืองเทียนเอิน
วันนี้ได้มาเห็น ต่อให้เป็นยอดยุทธ์ที่ชราเฒ่า ช่วงล่างของมันก็ยังต้องร้อนเป็นไฟ เกิดความกำหนัดที่จะย่ำยีโฉมงามระดับนี้ให้สาแก่ใจ
“แม่นางไป๋หลี่ ไม่ทราบสุสานสุญญตาที่ท่านว่านั้น อยู่ที่ใด? ”
จอมทรราชนัยน์ตาแดงก่ำ แสร้งทำท่าอ่อนน้อมถ่อมตน อาภรณ์เป่งพองบนตัวสะกดกลิ่นคาวเลือดไม่ให้กระจายออกไป
“ย่อมต้องมีอยู่แล้ว และเพื่อไม่ให้เกิดการจลาจล พวกเราจึงจัดตั้งข่ายปราณเอาไว้”
ฝ่ามือของไป๋หลี่ชิงเฉิงเกิดประกายสว่าง จนกระทั่งเส้นแสงลับหาย ในฝ่ามือจึงปรากฏเจดีย์องค์เล็กอันประณีตขึ้นแทนที่ ทั้งยังแผ่ระลอกไอวิญญาณหนึ่งเดียวกับฟ้าดินออกมา
ศาสตราศักดิ์สิทธิ์! ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางที่สมาพันธ์อู่ซิ่งประกาศออกมาเองว่าได้รับมาจากภายในสุสาน เจดีย์แปดสมบัติแปลงวิญญาณ!
สีหน้าของเจ้าเป้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน “หากจะใช้ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางทำลายสื่อสัมผัสภายใน อย่างน้อยต้องเป็นกลั่นดวงธาตุขั้นสาม พรสวรรค์ของสตรีนางนี้ กระทั่งกดศีรษะของทุกคนที่นี่จนจมมิด”
เจี๋ยชางที่เป็นพวกทระนงก็ยังต้องถอนใจออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เทียบกันทางพรสวรรค์กับศักยภาพ มันยังขาดแคลนอยู่มากจริงๆ
“ไป! ”
เจดีย์แปดสมบัติแปลงวิญญาณหลุดลอยจากมือ ก่อนผนึกเอาแสงทั้งแปดไว้กับตัว เปิดช่องมิติ ไม่นานกลั่นดวงธาตุนับสิบจากสมาพันธ์อู่ซิ่งก็ทยอยเข้ามาห้อมล้อม และส่งพลังวิญญาณเข้าไป พลังระดับนี้ใกล้เคียงกับเก้าดวงธาตุสูงสุด หรือกระทั่งเหนือกว่า
ฉินจิ่วเกอหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะยกมือทาบหน้าตัวเองไว้ไม่ยอมเปิดเผย
คาดว่าอีกไม่นาน สุสานสุญญตาที่ว่าก็คงจะเผยสู่ผืนพิภพ
หากตอนนี้มันเลือกที่จะเปิดโปง นอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร ยังจะถูกพรรคโลหิตนภาฆ่าล้างอีกต่างหาก
แต่ถ้าไม่ห้ามเอาไว้ วันนี้ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ล้วนต้องถูกกำจัดทิ้งจนแทบไม่เหลือรอด
ต่อให้ใจด้านชาเหมือนศิลา ฉินจิ่วเกอก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อชีวิตนับไม่ถ้วนตรงหน้ามันได้
หากนำร่างของผู้ที่กำลังจะตกตายเรียงรายออกไป คงปกคลุมเขาเหมิงซานลูกนี้ได้มากกว่าครึ่ง
บัดซบ ทางฝั่งสี่ประมุขไฉนยังไม่มีการเคลื่อนไหวอีก หรือว่ายอดฝีมือจากเผ่าทั้งสามจะตายห่ากันไปหมดแล้ว?
ฉินจิ่วเกอลอบกระทืบเท้าอย่างขัดใจ ตนพยายามถึงที่สุดแล้ว หากสถานการณ์ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน คงไม่แปลกที่มันจะเป็นคนเลือดเย็นเฝ้ามองชีวิตตายจากไป
“ทุกท่าน ช่วยข้าอีกแรงหนึ่งที! ”
ในตอนนั้นเอง จากห้วงลึกของแผ่นเปลือกโลกใต้เขาเหมิงซาน ต้นกำเนิดพลังวิญญาณขุมใหญ่พลันพวยพุ่งออกมา
ต้นกำเนิดพลังวิญญาณแปรสภาพเป็นม่านพลังเบาบางชั้นหนึ่ง ครอบคลุมเขาเหมิงซานไปถึงครึ่งลูก คล้ายคลึงกับข่ายปราณสมัยต้นบรรพกาลที่มีบันทึกไว้ในตำราโบราณอย่างยิ่งยวด เป็นลักษณะของพันธนาการ
“แม่นางไป๋หลี่ พวกเรามาช่วยท่านแล้ว! ”
สี่พี่น้องตระกูลเถี่ยคำรามออกมาพร้อมกัน เข้าร่วมในนามของพรรคทรราช
ต่อจากนั้น ค่ายพรรคเดชมารและเขาพิรุณเซียนก็ยื่นมือเข้าช่วยติดๆ กัน
ข่ายปราณลักษณะนี้ มีจุดประสงค์เพียงเพื่อป้องกัน ไม่ใช่จู่โจม จึงปลอดภัยไร้กังวล ทุกคนจึงวางใจ
ในที่นี้มีกลั่นดวงธาตุอยู่ร้อยท่าน พิสุทธิ์ไพศาลอีกหนึ่งพัน ยามลงมือพร้อมกัน ย่อมผนึกเป็นขุมพลังสุดแกร่งกร้าวที่กวาดสะพัดไปทั่วอาณาเขตเทียนเอินหลายล้านลี้
ตูมม!
ประหนึ่งเขาไท่ซ่านถล่มล่ม ประกายวิญญาณรวมรั้งกลับคืนสู่เจดีย์แปดสมบัติแปลงวิญญาณ
ไม่มีใครที่ไม่ส่งแรงช่วยเหลือ เพียงแต่จะส่งกี่มากน้อยเท่านั้น
พลังจู่โจมนับไม่ถ้วนเชื่อมประสานหลอมรวม เชื่อมผู้ฝึกตนแต่ละคนไว้กับเจดีย์แปดสมบัติแปลงวิญญาณ
ฉินจิ่วเกอที่ปะปนไปกับฝูงชนเองก็ลงมือเช่นกัน แต่มันที่ฝึกเคล็ดหมื่นมารทมิฬมานั้น ย่อมมีสัมผัสที่เฉียบไวต่อวัตถุที่เป็นของผู้ฝึกวิชาปีศาจ หลังจากที่ส่งพลังเข้าสู่ภายในเจดีย์แล้ว ฉินจิ่วเกอสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีไอมืดขุมหนึ่ง เคลื่อนตัวผ่านเจดีย์เข้าสู่ภายในร่างของตน
ไอมืดขุมนั้น เทียบกับปลิงดูดเลือดในท้องทุ่งแล้วยังน่าหวาดสะพรึงยิ่งกว่า ขอเพียงส่งพลังเข้าไปในเจดีย์ พลังขุมนั้นก็จะชำแรกเข้าไปในร่างในชั่วพริบตา โดยที่ไม่ถูกตรวจพบ
กระทั่งว่าแม้แต่เก้าดวงธาตุสูงสุดก็ยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ
ไม่ดีแล้ว!
หลังใช้เคล็ดหมื่นมารทมิฬ ฉินจิ่วเกอก็ขับเคลื่อนพลังขั้วลบภายในร่างให้ห่อหุ้มไอมืดที่บุกรุกเข้ามาไว้ในตันเถียน
สี่ประมุขขุนเขาเคยถูกเฒ่าเสียเยว่ฝังกู่บงการเทพไว้ในร่าง บงการชีวิตพวกมัน
ฉินจิ่วเกอตอนที่ช่วยสี่ประมุขคลายผนึกของกู่บงการเทพนั้น ย่อมมีโอกาสได้แตะสัมผัสถึงความลับชิ้นนี้ของพรรคโลหิตนภาเข้า
ตอนที่กำลังย่อยสลายพลังมืดขุมนั้นในจุดตันเถียน ฉินจิ่วเกอก็สัมผัสได้ทันทีว่า ที่มาของไอมืดและกู่บงการเทพมาจากแหล่งเดียวกัน
การที่พรรคโลหิตนภาใช้ของแบบนี้ ย่อมต้องไม่ใช่เพื่ออำนวยพรให้ทุกคนมีอายุยืนยาวอะไรเทือกนั้นแน่
หลังย่อยสลายพลังมืดขุมนั้นดีแล้ว ฉินจิ่วเกอกลับพบว่าร่างของมันได้รับประโยชน์ไม่น้อย เส้นชีพจรในร่างเปลี่ยนเป็นหนาทนขึ้นกว่าเดิม เทียบกับการหล่อเลี้ยงด้วยไอวิญญาณจากศิลาวิญญาณระดับต่ำนับแสนก้อนยังดีเสียกว่า
ถึงว่าทำไมวิถีแห่งการฝึกปรือของผู้ฝึกวิชาปีศาจถึงได้ชั่วร้ายขนาดนี้ ที่แท้ก็มีความเกี่ยวเนื่องกันนี่เอง
“ส่งมือมาให้ข้า! ” ฉินจิ่วเกอคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของหลงเฟิง
เจ้าหมอนี่ก็ซื่อบื้อดีเหลือเกิน ถึงกับตั้งใจส่งพลังเข้าไปเสียขนาดนั้น ในร่างจึงมีไอพลังมืดนี้สะสมอยู่ไม่น้อย
ฉินจิ่วเกอไม่ใช่พระมาจากไหน จึงไม่จำเป็นต้องช่วยให้ครบทุกคน
แต่เจ้าหนูหลงเฟิงผู้นี้ยังติดเงินมันอยู่ เพราะงั้นจึงตายไม่ได้
ส่วนคนที่เหลือ ฉินจิ่วเกอไม่กล้า ทำแบบนั้นมีแต่จะเปิดเผยว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ รนหาที่ตายยิ่ง
“เจ้าทำอะไร? ”
หลงเฟิงชะงักไปเล็กน้อย แต่สีหน้ายังคงราบเรียบเช่นเคย ฉินจิ่วเกอใช้จิตใจคนต่ำช้า คาดเดาว่าเจ้าหมอนี่รับประกันไม่มีทางอายุยืนยาวแน่นอน
“มัวพูดพล่ามอะไรอยู่ได้ รีบส่งมือมาให้เร็ว” ฉินจิ่วเกอกำชับเสียงห้วน ท่าทางเอาจริง
“อ้อ”
ชาวบรรพตสละฟ้า ต่างก็รู้ฐานะผู้ฝึกวิชาปีศาจของฉินจิ่วเกอกันดี เพราะงั้นตอนที่ฉินจิ่วเกอส่งเคล็ดหมื่นมารทมิฬเข้าสู่ร่างของมัน หลงเฟิงจึงไม่รู้สึกแปลกใจ และไม่ได้ต่อต้าน
ฉินจิ่วเกอนิ่งมองสีหน้าหลงเฟิงอยู่ครึ่งค่อนวัน “สีหน้าของเจ้าทำข้าอารมณ์เสียจริงๆ ทำอย่างกับว่าข้าไปแย่งเต้าหู้เจ้ากินอย่างนั้นแน่ะ ยังไม่รีบยิ้มให้ปู่น้อยเจ้าอีก อย่าลืมว่าเจ้าติดเงินข้าอยู่”
หลงเฟิงพลันฉีกยิ้มดุจสายลมวสันต์ให้แก่ฉินจิ่วเกอทันที เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมความจริงใจยิ่ง
ฉินจิ่วเกอส่งระลอกพลังหมื่นมารทมิฬเข้าไป ครั้นแล้วหลงเฟิงถึงได้รู้ ว่าภายในจุดตันเถียนของตนกลับมีไอพลังมืดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่อาจทราบ ราวตัวอ่อนหนอนแมลงแฝงในกระดูก
ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติก็ยังไม่น่าห่วง แต่กับเวลาเช่นนี้ก็ไม่ต่างไปจากระเบิดเวลาที่พอถึงเวลาก็จะระเบิดออกจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
กินเต้าหู้?
ส่งยิ้ม?
มันเรื่องอะไรกันเนี่ย
เจ้าเป้าที่ยืนรับฟังอยู่ข้างๆ เกิดความฉงนใจจนต้องหันมามอง แล้วก็เห็นภาพฉินจิ่วเกอที่กำลังดึงข้อมือของหลงเฟิงเอาไว้ คนทั้งสองดูใกล้ชิดพันไล้พันขื่อกันอย่างไม่น่าไว้ใจ
จากนั้นหลงเฟิงก็ฉีกยิ้มราวบุปผา เป็นยิ้มที่สดใสเหมือนกำลังชื่นชมความงามบางอย่าง
“เยี่ยม! ” เจ้าเป้าอุทานกับตัวเองเสียงเบา
เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ ที่แท้พี่ฉินก็มีรสนิยมเช่นนี้เอง นั่นก็แปลว่า อีกฝ่ายไม่มีวันมาแย่งความโปรดปรานไปจากแม่นางไป๋หลี่ของมันได้
เท่ากับลดคู่แข่งไปแล้วหนึ่งคน เจ้าเป้าร่ำร้องยินดีอยู่ในใจ รู้สึกจิตใจพลันกระปรี้กระเปร่าขึ้นหลายส่วน
ฉินจิ่วเกอได้ยินการเคลื่อนไหว พบเห็นเจ้าเป้ากำลังหรี่ตาอย่างมีเลศนัย เมื่อนั้นมันก็แทบพุ่งเข้าไปควักลูกตาอีกฝ่ายออกมาแล้วเหยียบๆๆ ให้เละคาเท้าไปเลย
จวงฟานเองก็เห็นเต็มสองตา ปิดผนึกไว้ในใจ
พอถึงเวลาเลือกคู่ครอง ฉินจิ่วเกอก็ไม่มีอะไรให้ต้องห่วง ที่จริงนับเป็นเรื่องมงคลยิ่งใหญ่ของชีวิต จะเป็นรองก็แค่การเลื่อนขั้นและร่ำรวยมีเงินทองเท่านั้น
เจ้าเป้าและจวงฟานมองตากัน ต่างเข้าใจความคิดกันและกัน ปากขยับเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
มีกลอนบทหนึ่งเป็นข้อพิสูจน์: แม้กายาไร้สองปีกโผบินหา แต่วิญญาณเชื่อมประสานข้ามขุนเขา
ฉินจิ่วเกอรู้สึกแขยงเต็มพิกัด เจ้าสองหน่อนี่ ใช่กินอะไรผิดสำแดงมาหรือไม่? หรือถูกไอมืดแล่นสู่หัวใจ พิษร้ายกัดกินถึงสมอง?
หันกลับมาดูอีกที พบว่าตัวเองยังรั้งข้อมือของหลงเฟิงเอาไว้ ต่างฝ่ายต่างเกาะกุมมือกันและกัน ขาดก็แค่จับจูงวิ่งเต้นกันไปในทุ่งดอกลิลลี่เท่านั้น
เพียะ!
ฉินจิ่วเกอสลัดมือหลงเฟิงไปให้พ้นตัวโดยพลัน จากนั้นใช้มือถูเข้ากับเสื้อตัวเองไม่หยุด
หลงเฟิงเองก็มีสีหน้าไม่สู้ดี ราวกับเพิ่งดื่มยาพิษร้ายแรงลงไป จนพิษร้ายเริ่มเสิบสานมาถึงใบหน้าจนเปลี่ยนเป็นสีดำ
ฉินจิ่วเกอที่กำลังถูมืออย่างไม่หยุดหย่อนพลันตระหนักได้ว่าการกระทำของตัวเองช่างหยาบคายถึงเพียงไหน ดังนั้นจึงหันมาฉีกยิ้มและส่งมือแห่งมิตรภาพออกไปอีกครั้ง
หวืด!
หลงเฟิงดึงมือหลบ ประหนึ่งพบเจอขอทานที่เนื้อตัวเน่าเหม็นอย่างร้ายกาจ ไม่วายยังถอยหนีไปอีกสามก้าว
ฉินจิ่วเกอโมโห “นี่มันท่าทีอะไร ลืมไปแล้วรึไงว่าเจ้าติดเงินข้าอยู่! ”
แถ่กๆๆ
หลงเฟิงเปลี่ยนเป็นรุกเข้ามาใกล้สามก้าวครึ่ง ทำสีหน้ายินยอมตามใจท่าน
“โอ! ” เจ้าเป้าและจวงฟานผู้มองทะลุทุกสิ่งอย่าง หันมาสบตากันและกัน พลางคิดในใจ ให้ตาย!
เขาเหมิงซานอันสูงใหญ่ มียอดเขาสูงหมื่นเมตร สูงเด่นค้ำฟ้า
หลังจากที่เจดีย์แปดสมบัติแปลงวิญญาณได้รับพลังวิญญาณปริมาณมหาศาล ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางนี้ก็ผ่าเปิดนภาและฟ้าดิน แยกเขาสูงหมื่นเมตรลูกนี้ออกเป็นทาง
นับแต่ยอดเขาจรดก้นเขา เกิดเป็นช่องลึกขึ้นตรงกึ่งกลาง เหมือนดวงตาของสัตว์อสูรขนาดมหึมาที่พลันลืมโพลงอย่างน่าขนลุก
ครืนน!
หินยักษ์น้ำหนักพันจินร่วงหล่นจากความสูงหมื่นเมตร ยังไม่ทันตกกระทบพื้น ก็ถูกมหายุทธ์กลั่นดวงธาตุเป่าสลายกลายเป็นผงไปก่อน
จากนั้น ยอดเขาก็ส่ายไหว ผืนพสุธาสั่นสะท้าน ยอดเขาหลักอันสูงใหญ่ของเขาเหมิงซานก็ถล่มลง พร้อมกับประตูสวรรค์บานหนึ่งที่ปรากฏขึ้นใต้กองศิลาซากสถาน
ประตูสวรรค์บานนี้ชะล้างพลังวิญญาณที่ยังแผ่พุ่งเข้ามาจนสลายไป แม้แต่ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางยังต้องเสื่อมพลังอำนาจลง
บานประตูสวรรค์ผลึกใสห้าสีอันยิ่งใหญ่ สลักลวดลายเทพเซียนสัตว์อสูรเอาไว้ คล้ายกำลังกวักมือเรียกให้เข้าไป
สูงหนึ่งร้อย กว้างสามร้อย แผ่กลิ่นอายสูงส่งเทียมฟ้า ประดุจดั่งประตูที่นำไปสู่ดินแดนแห่งเทพเซียน
“นี่ก็คือประตูทางเข้าสุสาน! ” สุ้มเสียงใสกระจ่างของไป๋หลี่ชิงเฉิงดังขึ้นในเวลานี้ แผ่ขยายออกไปทั่วทุกทาง
สายตาแดงก่ำร้อนแรงนับพันนับหมื่นคู่ พลันจับจ้องไปที่บานประตูสวรรค์ตรงหน้า จนแม้แต่ศิลาผลึกใสพวกนั้นยังต้องสะท้อนกลับมาเป็นสีแดง แทบปรากฏโลหิตหลั่งไหล
“ฆ่า!”
กลั่นดวงธาตุร้อยท่านลงมือโดยพร้อมเพรียง พลังระดับนี้แม้แต่แหวกชำระกายายังต้องร่นถอยไม่เป็นกระบวน