ยามนั้น ปรากฏคนผู้หนึ่งผลักเปิดประตูพรรคหลิงเซียวออกมา ปัดกวาดบันไดทางขึ้นเขาทั้งสามร้อยขั้น
คนผู้นั้น ก็คือสวีเซิ่งเจ้าเก่านั่นเอง
นับแต่ติดตามอาวุโสใหญ่และฉินจิ่วเกอเข้าสู่พรรคหลิงเซียว สวีเซิ่งเคี่ยวกรำจิตปณิธาน ขัดเกลากระดูกเลือดเนื้อ หิวโหยถึงผิวหนัง ว่างเปล่าตลอดร่าง
ในที่สุดก็ทะลวงผ่านกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งสู่ขั้นสาม ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีน่าอวยพรโดยแท้
ระหว่างกระบวนการนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดการฝึกฝนจากอาวุโสใหญ่
ส่วนอาวุโสสอง คนวุ่นวายกับการนอน อาวุโสสามยุ่งอยู่กับการนับเงินทอง
อาวุโสสี่ไม่ว่างเว้นจากการจุดเตาโอสถ อาวุโสห้าจมจ่อมอยู่กับการอยู่ในโลกของตนเอง อย่าไปสนใจเลยจะดีกว่า
ฉินจิ่วเกอยินดีปรีดาแทนสวีเซิ่งอย่างแท้จริง ผู้ฝึกตนอิสระที่สามารถฝึกฝีมือถึงกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่งโดยปราศจากการหนุนเสริมจากค่ายพรรคตระกูลใด ที่จริงไม่ใช่เรื่องง่าย
ดูท่าแล้วที่มันเข้ามายังพรรคหลิงเซียวสองปีกว่า มิใช่ไม่ได้ประโยชน์อันใด อย่างน้อยสามารถยกระดับขอบเขตพลังฝีมือช่วงใหญ่
สามดวงธาตุ หากไปอยู่ในกองกำลังเมืองเทียนเอิน สามารถเป็นอาวุโสน้อย ดูแลแหล่งทำเงินของพรรคได้สามสี่แห่ง
ทว่า สวีเซิ่งเมื่อทะลวงด่านสามดวงธาตุ ศักดิ์ฐานะของมันในพรรคหลิงเซียว เรียกได้ว่าไม่มีความก้าวหน้าใดๆ
นอกจากช่วยอาวุโสสามคัดลอกหนังสือ อาวุโสสี่เฝ้าเตาโอสถ
นับแต่ทะลวงด่านสามดวงธาตุ ตัวสวีเซิ่งได้รับมอบหมายหน้าที่เพิ่มอีกอย่าง ก็คือดูแลความสะอาดประตูทางเข้าพรรค
ประตูใหญ่ปากทางเข้าเขาหลิงเซียวนี้ ก็ไม่ต่างจากใบหน้าอันโตใหญ่ของพรรค
อาวุโสสองผู้รักหน้าตายิ่งชีพ แน่นอนว่าย่อมจุกจิกจู้จี้ เพียงอนุญาตกลั่นดวงธาตุขึ้นไปเท่านั้นเป็นคนทำความสะอาด ด้วยกังวลว่าจะแปดเปื้อนมาถึงหน้าตาของมันเอง
ดังนั้น ทุกวี่วัน สวีเซิ่งรับคำสั่งอาวุโสสอง มากวาดพื้นอยู่ในที่นี้
และก็พอดีกับฉินจิ่วเกอที่ด้านล่างผู้กำลังร้อนรนจนมือเท้าพันกัน เมื่อเห็นสวีเซิ่ง มีหรือจะไม่ลากอีกฝ่ายมา
สวีเซิ่งผู้นี้ ฉินจิ่วเกอชมชอบมันยิ่ง
คนที่ทนทรมาทรกรรมได้โดยไม่บ่นว่า ร่ำรวยมากมารยาท แถมมันยังเคยพบเห็นวิธีการทำพลุไฟมาก่อน
หากไปลากตัวมันมา ทั้งสามารถให้มันช่วยประกอบโคมลอย โยนไฟใส่ร่างสร้างความเฉิดฉายให้แก่มัน
เมื่อถึงตอนนั้น โคมไฟลอยสูงมอดไหม้ ตัวมันล่องลอยมาตามลม ทั่วทิศทางปรากฏพลุไฟกระจ่างจ้า มิใช่ยิ่งมีสไตล์หรอกหรือ?
เทพเซียนจุติลงสู่หล้า เมฆาหลากสีคลอเคลีย
ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของพระเอก ทั้งยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียว ย่อมไม่อาจอัปลักษณ์จนเกินไป
สวีเซิ่งที่กำลังก้มหน้าก้มตากวาดพื้น พลันสัมผัสความรู้สึกพิกลคล้ายปวดฉี่กะทันหัน ไม้กวาดในมือจู่ๆ ก็ร่วงลงพื้น
พอดีกับสายตามองเห็นศิษย์พี่ใหญ่ที่ตายไปสองปีแล้วของพรรคหลิงเซียวปรากฏร่าง ยืนอยู่ต่อหน้ามันทั้งตัวเป็นๆ แยกเขี้ยวขาววาววับที่ประดับมุมปากทั้งสองข้าง
“อ๊ากกก!”
สวีเซิ่งไม่เสียเวลาคิดมาก กวาดเอาหิมะที่ร่วงพื้นกองหนึ่ง ทุ่มใส่ฉินจิ่วเกอ
พร้อมกับเสียงร่ำร้องน่าเวทนาสายหนึ่ง ศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวผู้ตกตายก่อนวัยอันควร น้ำตาบนใบหน้าของสวีเซิ่งผู้กวาดพื้นก็หลั่งนองเสื้อผ้า
ฉินจิ่วเกอกุมจมูกโชกเลือด ลากสวีเซิ่งออกไปไกล เนื่องด้วยโลหิตที่หลั่งไหลถูกกองหิมะภายใต้อากาศหนาวเย็นกลบทับถมหมดสิ้น คนไม่สะดวกกับการเรียกค่าเสียหายและเทียบยาอุ่นๆ เป็นศิลาวิญญาณได้
จากนั้นฉินจิ่วเกอถ่ายทอดแผนการต่อสวีเซิ่ง
แต่ที่สวีเซิ่งคิด คือทั้งหมดนี้เรียกว่ารับประทานอิ่มหนำไร้เรื่องราวกระทำชัดๆ (กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ เลยหาเรื่องไร้สาระ)
เซอร์ไพรส์ของพรรคหลิงเซียวในคืนนี้ ทั้งต้องอบอุ่นหากไม่หลั่งเลือด รักใคร่หากมิใช่รักร่วมเพศ
สรุปแล้ว ฉินจิ่วเกอมีข้อเรียกสองประการ คือต้องออกมาสวยและประหยัดงบ
สวย ก็เพื่อขับเน้นความงามสง่ามากบารมีของมัน
ประหยัด ก็เพื่อสนองต่อนโยบายการออมเงินของอาวุโสสาม ทั้งหมดนี้ล้วนแต่สำคัญสิ้น
สวีเซิ่งผู้ออกมากวาดลานหน้าพรรค วรยุทธ์ขั้นสามกลั่นดวงธาตุ นับเป็นแรงงานไร้ต้นทุนแถมยังใช้งานง่าย
สุภาพบุรุษฉินผู้ปราดเปรื่อง มีหรือจะปล่อยมันไป
สวีเซิ่งยืนถือไม้กวาดท่ามกลางกองหิมะพูนสูง ปากพ่นลมหายใจขาวมัวออกมาเบาๆ
ไอหยา นอกจากยอดฝีมือจะเยอะแล้ว ฮวงจุ้ยพรรคยังอัปมงคลอีกด้วย
เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนี้ สวีเซิ่งก็รู้สึกถึงลมทมิฬมาได้เนืองๆ
ฉินจิ่วเกอลากตัวสวีเซิ่งมาด้วยกันอย่างตื่นเต้นยินดี กลัวว่าอีกฝ่ายจะวิ่งหนี
ใช้ทุกทรัพยากรที่มี มอบหน้าที่จุดไฟให้สวีเซิ่ง ส่วนมันรับหน้าที่ทำดินปืน ที่จริงเป็นการจ่ายงานอย่างชัดเจน ประหยัดทั้งเวลาและความลำบาก
ฉินจิ่วเกอกวาดตามองผ่าน พบว่าเหนือหน้าผากสูงชันของสวีเซิ่ง พลันปรากฏเนินเขาสูงใหญ่สีดำสีเขียวขึ้นสามลูก แลดูคล้ายถูกแตนยักษ์ต่อยเอา จนมีเสน่ห์ทัดเทียมกับเขาแหลมบนศีรษะหลงเฟิง
ฉินจิ่วเกอจับจ้องเนินเขาสามลูกอยู่นาน ก่อนจะไอกลบเกลื่อนแล้วรีบปิดปาก “ไอหยา พี่สวี หรือกระแสนิยมในทวีปตอนนี้คือการแต่งเป็นมังกร? บนศีรษะเลยต้องมีของนูนแหลมขึ้นมาอย่างนี้”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ สวีเซิ่งก็น้ำตานองหน้า เหมือนอ๋องเยว่ในอดีตที่ห้อตะบึงลงใต้ ตาเหลียวมองไปทางเหนือ*
ใบหน้าเปียกไปด้วยน้ำตา ความอาดูรเกาะกุมเต็มหัวใจ สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นเลือดระอุร้อนที่ไม่มีวันเย็นลง
“เรื่องนี้ เรื่องนี้เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเลย! ” สวีเซิ่งโอดครวญ กุมไม้กวาดด้ามเก่าในมืออย่างเศร้าสลด ลมหิมะพัดโชยหวิวๆ
“หรือมีคนทุบตีเจ้า? ” ฉินจิ่วเกออยากรู้อยากเห็นเต็มพิกัด
ไอหยา สวีเซิงเป็นถึงกลั่นดวงธาตุขั้นสาม นอกจากอาวุโสทั้งหลายภายในพรรคแล้ว นับว่าไร้คู่ต่อกรโดยแท้จริง
สวีเซิ่งไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องน่าเศร้านี้อีก จึงกะพริบตาที่แดงก่ำปริบๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากจะทำโคมไฟอะไรนั่นรึ นี่ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว ตกลงจะทำหรือไม่ทำ? ”
“ทำ ย่อมต้องทำอยู่แล้ว เจ้าทำของเจ้า ข้าทำของข้า”
“ดี เช่นนั้นก็มาทำกัน”
“ใช่ๆ ทำกัน ทำกัน” ฉินจิ่วเกอยกมือกุมอก พร่ำภาวนา
ที่จริงเนินเขาบนหัวของสวีเซิ่ง ส่วนใหญ่ล้วนต้องโทษฉินจิ่วเกอ
วันนั้น อาวุโสใหญ่ที่เห็นว่าศิษย์ของตนแม้ผ่านไปครึ่งปีก็ยังไม่กลับมา ด้วยความพิโรธโกรธาสุมทรวง จึงสั่งเรียกเหล่าอาวุโสภายในพรรคให้ไปคิดบัญชีกับสามสุดยอดเมืองเทียนเอิน
อาวุโสสี่ยืนให้กำลังใจศิษย์พี่ศิษย์น้องกระทืบทุบตีแหวกชำระกายาอยู่ห่างๆ
อาวุโสใหญ่และอาวุโสสองลงมือสังหาร สะท้านทวีปฉงหลิง
มีเพียงอาวุโสสามที่พลั้งเผลอทำศัตรูหลบรอดไป
อาวุโสใหญ่ที่พิโรธคั่ง ย่อมต้องสั่งสอนศิษย์น้องผู้น่าผิดหวังคนนี้จนช้ำนอกช้ำในต่อหน้าธารกำนัล
นับแต่นั้น หลังจากที่อาวุโสสามกลับถึงพรรค ก็อยู่ในอารมณ์ขุ่นมัวมาตลอด
ความจริงพิสูจน์แล้วว่า บุคคลที่มีอารมณ์ขุ่นมัว มักชอบหาเรื่องราวมากระทำ
นี่ก็คล้ายๆ กับการข่มขืน ปล้นชิง จับตัวประกัน วางเพลิง พฤติการณ์เหล่านี้ล้วนมีต้นเหตุมาจากการอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ
แน่นอน ในฐานะมหายุทธ์สุดจ๊าบกลั่นดวงธาตุนั้น อาวุโสสามย่อมหลุดพ้นจากรสนิยมชั้นต่ำพวกนี้ และไม่มีทางทำเรื่องสถุลแบบนั้นได้ ดังนั้นช่วงนี้อาวุโสสามจึงง่วนอยู่กับของเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่าไม้ยิงหนังสติ๊ก
ของเล่นชนิดนี้ ใช้ในการยิงขวด ยิงนกหรือสัตว์อสูรที่อยู่ห่างออกไป เป็นอาวุธที่ใช้ในการสังหารโดยไม่ต้องเห็นเลือด
อาวุโสสามเป็นคนแก่ว่างงาน นอกจากเป้าหมายในการทะลวงกฎสรรพสิ่งแล้ว คาดว่าในชีวิตนี้ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก ดังนั้นจึงชมชอบการยิงหนังสติ๊กเป็นพิเศษ
ไม่ใช่แค่เล่นไปอย่างนั้น แต่เป็นการเล่นอย่างเคี่ยวกรำ คล้ายอยากเคี่ยวกรำจนบรรลุวิถี
ศักดิ์สิทธิ์แห่งอภิปรัชญาฟ้าดิน
เนินเขาสูงสามลูกบนหัวสวีเซิ่ง ก็เป็นผลงานจากสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จของอาวุโสสามนั่นเอง
นอกจากอาวุโสบางท่าน ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ต่างก็มีศิษย์สำนักหลายคนที่ต้องรับเคราะห์กรรมกันไป
โดยเฉพาะเจ้าอ้วนน่าตายที่รูปร่างสูงใหญ่ เหมาะแก่การเป็นเป้าชั้นยอด
อาวุโสสามเหนี่ยวสาย ไอพลังควบรวมที่ตันเถียน นิ้วจับกระสุนดินเหนียว ตาหรี่ลงเป็นขีดเดียว รอยย่นกลายเป็นเรียบตึง ท่านั่งม้าถ่างออกกว้าง
ไม่ต้องพูดถึงความแม่นยำระยะร้อยก้าวอันใด สมควรเรียกเป็นเจออะไรยิงอันนั้นมากกว่า
สวีเซิ่งไม่ขอพูดต่อ มันหวาดกลัวอาวุโสสามอย่างแท้จริง โดยเฉพาะยามที่สัมผัสเทวะของมหายุทธ์กลั่นดวงธาตุครอบคลุมทั่วรัศมีหนึ่งพันเมตร
หากเกิดเหตุเหนือธรรมชาติบางอย่างแล้วอาวุโสสามเกิดรู้ว่ามีคนพูดจาลับหลังเข้า หากเป็นฉินจิ่วเกอ อาวุโสสามอาจไม่กล้าตอแยด้วย เพราะอาจารย์ของมันก็คืออาวุโสใหญ่ หรือก็คือศิษย์พี่ของมัน
แต่สวีเซิ่งที่มารดาของมารดาไม่เหลียวลุงป้าน้าอาไม่อาทรนั้น คาดว่าคงไม่มีปัญหา
ดังนั้นสวีเซิ่งก็เลยไม่ได้เสวนากับฉินจิ่วเกอว่าภายในพรรคเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เพียงหวังว่าอีกฝ่ายจะอายุมั่นขวัญยืน
รัตติกาลมาอย่างเร็วรี่ จักรวาลหลากสีสันเพียงแง้มพรายให้เห็นทวีปฉงหลิงเพียงเสี้ยวเศษ
เพียงเห็นทางช้างเผือกกึ่งหนึ่ง พาดผ่านท้องนภาคล้ายมีคล้ายไม่มี ลอยล่องอยู่บนเส้นแสงสีอำพันอันหนาวเหน็บ
อากาศหนาว ทุกคนภายใต้ผ้านวมบุหนาเดินลากสังขารมาถึงเวทีกลั่นน้ำค้าง
ลานจัตุรัสแห่งนี้กว้างยาวร้อยเมตร ยกสูงจากพื้นหลายสิบเมตร ตั้งตระหง่านไร้สิ่งกีดขวาง
จุดประสงค์คือการสะสมหยาดน้ำค้างจากสุริยันจันทราและจักรภพเพื่อให้อาวุโสสี่ใช้ในการปรุงยา
บนเวทีกลั่นน้ำค้าง ยืนไว้ด้วยคนเนืองแน่น อาวุโสใหญ่กุมมือน้อยของตงฟางฉิงอวี่ หนึ่งชราหนึ่งเยาว์วัยท่ามกลางสายลมหนาว ทอดตามองดาวดารดาษฟ้า
เจ้าอ้วนน่าตายรับหน้าที่ถกวิถีการฝึกตนกับศิษย์พี่สามหรงเคอเคอ ปลายลิ้นดอกบัวของมันไม่หยุดลงแม้ชั่วเสี้ยววินาที
ทั้งหมดนี้ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากฉินจิ่วเกอทั้งสิ้น การตกสาว สิ่งสำคัญที่สุดคือหน้าด้านไร้ยางอาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องหน้าด้านไร้ยางอายเป็นพิเศษ
หรงเคอเคอถือเป็นนางงามในพรรคหลิงเซียว เพียงแต่ผู้อื่นไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็ถูกสายตาพิฆาตของเจ้าอ้วนน่าตายขับไล่ล่าถอย
จากการมานะฝึกฝนสองปีของมัน เจ้าอ้วนน่าตายก็มาถึงปราณสุริยันขั้นสูงสุด ช่างน่าแตกตื่นร้ายกาจ
เมื่อหวนมองพิศดูเนื้อหนังเต็มหน้าของมัน นั่นมันศีรษะมารที่รับประทานคนทั้งเป็นโดยไม่เหยาะซีอิ๊วด้วยซ้ำ ไม่มีใครกล้าตอแย
ยังมีอาวุโสสี่ ตอนนี้นอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้อง
ในฐานะนักปรุงยา วิถีโอสถคือเต๋า การออกมาตากลมหิมะเพื่อหยั่งรู้มหามรรคา นักปรุงยาผู้สูงศักดิ์เช่นมันไม่อาจกระทำได้
อาวุโสสองเองก็ปิดด่านในห้องของตนเอง ทุ่มสมาธิไปกับการทะลวงด่านหยั่งรู้กฎเกณฑ์
อาวุโสใหญ่ลากตัวศิษย์น้องเล็กออกมา ยังต้องมาคอยดูว่าศิษย์ทั้งหลายเข้าแถวดีแล้วหรือไม่ รอคอยเทพยดาร่อนลงมาจากฟ้าเบื้องบน
คนที่ว่างที่สุดก็คืออาวุโสสาม เนื่องเพราะมันอารมณ์ไม่ดี
อาวุโสสามนอนขวางอยู่ปากทางเข้าห้องไม้ไผ่ที่หลังเขา สองขาแยกออก สองมือยื่นเหยียดออกซ้ายขวา
รอจนค่ำคืน อาวุโสสามที่นอนอยู่ก็ลุกนั่ง ยังคงแหงนหน้าขึ้นสู่ฟ้า สองขาแยกออกสองข้าง รักษาท่วงท่าไม่นำพาปรารมภ์
ฝ่ามือข้างหนึ่งหมุนควง ก็ปรากฏหนังสติ๊กสีเงินออกมาจากอ้อมอก รูปลักษณ์สูงส่งประณีต
ค่ำคืนลึกล้ำ หนังสติ๊กสีเงินส่องประกายวับวาบราวเกราะศัสตราอาวุธวิเศษ ยังฉาบเคลือบไว้ด้วยรังสีฆ่าฟันเลือนราง
ภายในป่า วิหคนกกาถูกทำให้แตกตื่น บินถลาเข้าสู่ส่วนลึก หายไปอย่างไร้ร่องรอย
อาวุโสสามยกหนังสติ๊กขึ้น วางลูกหนังสติ๊กสีเงิน เล็งไปทั่วสี่ทิศ
สุดท้าย ที่มองเห็นมีเพียงจักรวาลไพศาล ท้องฟ้าอันเล็กจ้อย ดังนั้น อาวุโสสามปรับเล็งหนังสติ๊ก ยิงส่งขึ้นฟ้า
นอกพรรคหลิงเซียว ฉินจิ่วเกอที่เตรียมการพร้อมสรรพ จุดโคมไฟลอยขึ้นมานับร้อยโคม
แม้เมื่อเปรียบกับสามพันโคมแล้วจะแตกต่างอย่างมหาศาล ทว่าเจตนารมณ์ ค่ำคืนนี้ย่อมเป็นค่ำคืนอันงดงามแน่นอน
ขณะกำลังเตรียมการเหินบินขึ้นฟ้า หนังตาของมันพลันกระตุกอย่างสาหัส
มองเห็นอีกาบินถลาออกมาจากภายในพรรค เศษอุนจินกสีเหลืองเล็ดออกมาหยดลงตรงหน้าของมันพอดิบพอดี สวีเซิ่งอดกังวลแทนฉินจิ่วเกอมิได้
“อย่าเลย พี่ฉิน วันนี้ท่านไม่ต้องบินขึ้นฟ้าหรอก”
สวีเซิ่งมองดูภายในพรรคยามนี้แตกซ่านบินกระจัดกระจายหนีตายแล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าอาวุโสสามออกยิงหนังสติ๊กอีกแล้ว
พวกกลั่นดวงธาตุ อยู่ว่างไร้เรื่องราว เป็นที่เข้าใจได้
เพียงแต่ที่สำคัญคือความแม่นยำของอาวุโสสาม นั่นเรียกว่าการแก้แค้นต่อมนุษยชาติและสังคมชัดๆ ไม่ต่างจากเจตนาฆ่า
เกรงว่าฉินจิ่วเกอวันนี้หากคิดเหยียบยอดโคมลอยเหินเข้าสู่พรรค ต้องประสบชะตากรรมอนาถนองเลือด
สวีเซิ่งผู้มีเมตตาคุณธรรมจึงอดออกปากกระตุ้นเตือนฉินจิ่วเกอมิได้
*ราชวงศ์จินยึดครองแผ่นดินทางเหนือ อันเป็นเขตแดนเดิมของราชวงศ์ซ่งใต้ งักฮุยหรือเยว่เฟยที่ตอนนั้นกำลังจะยึดคืนแผ่นดินทางเหนือถูกสั่งให้ถอนทัพกลับ จึงเป็นที่มาของสำนวน ห้อตะบึงลงใต้ ตาเหลียวมองไปทางเหนือ