ตอนที่ 202 งานประมูล
เฉีียนหยุนเองก็คาดไม่ถึง อันติงหลันมาแย่งห้องจากมัน แต่ตัวเองกลับมาอยู่กับฉินจิ่วเกอ มันในยามนี้คิดเข้าก็ไม่ได้ ออกก็ไม่ดี ได้แต่ยืนค้างอยู่กลางทางเดิน
แล้วมันก็นึกขึ้นได้ว่ามันมาจับผิดคน จะกลับไปโดยไม่บรรลุจุดหมายไม่ได้ ซ่งเล่อและฉินจิ่วเกอล้วนแล้วแต่เป็นหนามตำตาของมัน ส่วนใครอันดับหนึ่งหรือสองนั้น แน่นอนว่าย่อมเป็นเจ้าคนแซ่ฉินที่น่ารังเกียจที่สุด ซ่งเล่อนั่นไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือมันอยู่แล้ว
เฉียนหยุนเก็บท่าทีจองหองลงไป ปลุกภาพสุภาพเรียบร้อยออกมา ปัดฝุ่นตามทางเดินก่อนปิดประตูอย่างเบามือ ไม่หลงเหลือรอยเท้าหรือเสียงฝีเท้า เดินย่องด้วยปลายเท้าเข้าไปซะด้วยซ้ำ
มันย้ายเก้าอี้มาหนึ่งตัว นั่งจ้องตาฉินจิ่วเกอกับซ่งเล่อ
คราครั้งนี้ราวกับสายฟ้าพายุฝนพัดกระหน่ำซัด ทั้งยังราวกับมังกรร่วงมรณะ ปราศจากซึ่งการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ฉินจิ่วเกอปรายตา เรียกหาซ่งเล่อดื่มสุราต่อ
ในเมื่อเป็นของฟรี จากทฤษฎีประหยัดงบในกระเป๋าของฉินจิ่วเกอแล้ว ย่อมต้องดื่มให้สาแก่ใจ ดื่มอย่างตายอดตายอยาก ดื่มจนท้องแตกตายให้สาสม
เฉียนหยุนท่วงท่าดูแคลน ยกเท้าวางบนโต๊ะ “ศิษย์น้อง งานประมูลกำลังมาถึง เจ้าเล็งอะไรไว้บ้าง รีบบอกศิษย์พี่มาฟังดู เจ้าอยู่แต่ฝ่ายใน ทรัพยากรไม่เพียงพอ ข้าเข้าใจได้”
ซ่งเล่อไม่ออกปาก กลับเป็นฉินจิ่วเกอฟังแล้วในใจลุกฮือ มองดูเฉียนหยุน “ไม่ว่าอะไรก็บอกได้หมดจริงๆ?”
เฉียนหยุนรีบเอาขาวางลงบนพื้น จัดแจงท่านั่ง วีรชนไม่ดื่มน้ำจากโจร นี่คือซ่งเล่อ มิใช่สุภาพชนคนขี้โอ่ที่ไหน
ในใจของมันมั่นใจ ขอเพียงตนเองผงกศีรษะ เจ้าคนต่ำช้าที่เบื้องหน้าต้องเผยความไร้ยางอายไร้ขอบเขตของมันออกมาแน่นอน
ดังนั้นมันเร่งอธิบาย “แน่นอนว่าเจ้าสามารถบอกข้าได้หมด แต่ข้าแม้เป็นศิษย์สายตรง แต่มีต้นทุนทรัพยากรไม่น้อย เงินส่วนเหลือมีไม่มากเท่าใด บอกออกมานั้นบอกได้ แต่ซื้อหาเป็นอีกเรื่อง”
ฉินจิ่วเกอร้องเ-ี่ย ออกมาคำหนึ่ง ยกนิ้วขึ้นชี้ “เจ้าเป็นตัวอะไร? เรานายน้อยยังต้องพึ่งพาเจ้าซื้อหาให้?”
เฉียนหยุนเคยเข้าไปตึกลงทัณฑ์ ถูกอาวุโสหยุนหลีสั่งสอนไปรอบหนึ่ง ร้อนถึงเฉียนตัวตัวต้องจ่ายเงินออกมหาศาลเพื่อซื้อชีวิตมันกลับมา ดังนั้นช่วงนี้มันเองก็ยากไร้ หากประหยัดได้ก็ต้องประหยัดไว้
อันติงหลันยกมือผลักไสฉินจิ่วเกอ “ข้ามีศิลาวิญญาณ อีกเดี๋ยวเจ้าชอบอะไรก็ซื้อเลย”
วะว้าว ฉินจิ่วเกอมองอันติงหลันด้วยดวงตาคลอน้ำ รู้จักกับนางมารร้ายนี้มานานปานนี้ วาจาประโยคนี้ของนางจึงซาบซึ้งใจคนที่สุด
“ล้อเล่นรึเปล่า ข้าก็มีเงิน!” ฉินจิ่วเกอลูบกระเป๋า ล้วงเอาศิลาวิญญาณแตกหักออกมา กระแทกวางลงบนโต๊ะอย่างฮึกหาญ “นี่เงิน!”
ภายในแววตาของซ่งเล่อเปล่งประกายดั่งดวงดาราวิบวับ “มีเงินจริงๆ ด้วย!”
อันติงหลันมองดูฉินจิ่วเกออย่างดูแคลน คิ้วโค้งราวจันทร์เสี้ยวเลิกขึ้นสูง ดวงหน้ากลมราวผลแตงยามนี้บังเกิดสีหน้าไม่น่าดู สามารถบีบเค้นศิลาวิญญาณจนแหลกเหลวเยี่ยงนี้ นับว่ามีความสามารถอยู่
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง
พร้อมกับเสียงนาฬิกาตีบอกเวลา งานประมูลที่รอฤกษ์ยามมานานก็ได้โอกาสเริ่มขึ้น
“ทุกท่าน โปรดอยู่ในความสงบ”
เหมียนเหล่ายืนอยู่บนเวทีประมูล ในฐานะกลั่นดวงธาตุอันขาดแคลนในเมืองนี้ ศักดิ์ฐานะของมันไม่ด้อยไปกว่ามู่หยวนเลย
เสียงจ้อกแจ้กจอแจทั่วบริเวณเงียบสงบลงทันควัน ไม่มีใครกล้าไม่ไว้หน้ากลั่นดวงธาตุผู้นี้
“แค่กแค่ก” เหมียนเหล่ากระแอมกระไอ เคลื่อนไหวด้วยทีท่าไม่ช้าไม่เร็วหากนุ่มนวลสง่างาม “งานประมูลครั้งนี้ เป็นสมาคมนักจัดวางค่ายกลและสมาคมนักปรุงยาร่วมกันจัดขึ้น รายได้จะนำมาฟื้นฟูทรัพยากรทางการทหารหลังการบุกของสัตว์อสูร”
“โอ!”
ผู้เข้าร่วมและผู้ฝึกตนอิสระ รวมถึงบรรดาตระกูลค่ายพรรคต่างๆ ล้วนเปลี่ยนสีหน้า
สมเป็นสองสมาคมที่ขึ้นชื่อว่าทรงเกียรติภูมิที่สุดบนทวีป งานประมูลนี้อย่างน้อยมีมูลค่าร่วมสิบล้านศิลาวิญญาณ การทุ่มเทเงินทองมากมายปานนี้ออกมาได้ตาไม่กะพริบ มีเพียงสองสมาคมนี้เท่านั้น
เหมียนเหล่ามองไปทั่วสี่ทิศอย่างพอใจ รับทราบต่อความรู้สึกของฝูงชน ชายแขนเสื้อกว้างสะบัดพึ่บ แท่นหยกสำหรับการประมูลก็พลันปรากฏบงกชสีดำขลับขึ้นหนึ่งดอก
“โอสถวิญญาณระดับสี่ บงกชผาทมิฬ ยกระดับพลังสัมผัสของพิสุทธิ์ไพศาลอย่างมหาศาล โดยเฉพาะพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด สามารถช่วยบ่มเพาะแกนทารกวิญญาณ ยังมีคุณอย่างมากต่อการบ่มสร้างเทวะ ราคาเปิดประมูล ห้าพันศิลาวิญญาณระดับต่ำ”
เมื่อประกาศออกมาว่าผลกำไรของครั้งนี้จะใช้เพื่อความสงบของคลื่นสัตว์อสูร ทั้งบริเวณคึกคักทันควัน ชื่อเสียงเกียรติภูมิของสองพรรคพุ่งทะยานแตะเพดานโดยไร้ร่องรอย
“หกพัน” ซ่งเล่อกำลังรอคอยการทะลวงด่านของตน บงกช ผาทมิฬอาจมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ได้
“แปดพัน”
คนที่ส่งเสียงตามมาคือลูกสมุนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายฉียนหยุนที่นั่งไขว่ห้างในยามนี้
มันก็แค่หมั่นไส้ซ่งเล่อ เลยต้องการขัดขา สำหรับบงกชทมิฬอะไรนี่ มันไม่ได้สนใจ
“คุณชายเฉียน ช่างมีเงินจริงๆ น้องสาวเจ้า ยอดเยี่ยม!”
ฉินจิ่วเกอโน้มกายไปเบื้องหน้า ฝ่ามือวางบนเข่า พลิกมือชูนิ้วโป้งให้อีกฝ่าย
เฉียนหยุนไม่เข้าใจ ตนเองบอกราคา แล้วเกี่ยวอันใดกับน้องสาวเล่า
เมื่อใคร่ครวญถึงรอยยิ้มไม่ปกติของอันติงหลันที่ข้างๆ เฉียนหยุนก็ทำเป็นไม่ได้ยิน สองมือกอดอก ทำสีหน้าเป็นคุณชายสูงส่งสุดยอดเหนือโลกา
“หมื่นห้า” ฉินจิ่วเกออ้าปากลั่นวาจา
“สองหมื่น” เฉียนหยุนยามนี้เหมือนสุนัขงับถูกเนื้อ ไม่ปล่อยวาง ไม่ว่างเว้น
ซ่งเล่อแอบดึงแขนเสื้อฉินจิ่วเกอ บงกชทมิฬเป็นโอสถระดับสี่ แต่ไม่มีมูลค่าร่วมสองหมื่น นี่ถือว่าแพงไป
“ได้ เจ้าเอาไปเถอะ”
ฉินจิ่วเกอลอบคำนวณกระเป๋าเงินของตนเอง ครั้งนี้ที่ออกจากพรรคไป ยังฝืนนับได้ร่วมล้านศิลาวิญญาณระดับต่ำ หากมากกว่านี้มันเองก็ไม่มีปัญญาควักจ่ายได้
ส่วนสมบัติพิสดารเช่นผลอู๋เลี่ยง นับแต่เชื่อมกิ่งพฤกษาเข้ามาในหลิงไถ ยิ่งไม่อาจล้วงควักออกมาได้ ได้แต่ต้องเอาไว้ใช้เอง นี่ไม่ต่างจากฉินจิ่วเกอนั่งทับภูเขาสมบัติอยู่ แต่ไม่มีปัญญาหยิบออกมาได้
“ดี ชิ้นต่อไป คือสมบัติเต๋าระดับสาม ยังมีศาสตราศักดิ์สิทธิ์อีกสองชิ้น เหมาะสมต่อพิสุทธิ์ไพศาลในการใช้ยิ่ง”
สองสมาคมร่ำรวยเงินทอง สมบัติวิเศษโอสถทั้งหลายต่างเรียงหน้าออกมาเติมไม่หยุดยั้ง เสริมสร้างพลังความฮึกเหิมแก่ขุมกำลังป้องกันเมืองยิ่ง
เมืองขนาดเมืองซวนอู่นี้ มีประชากรนับแสน แต่นับไปนับมา ยังเค้นพิสุทธิ์ไพศาลออกมาได้แค่ไม่กี่ร้อยคน ส่วนกลั่นดวงธาตุยิ่งมีแค่สี่ แค่นี้ก็รู้ว่าการทะลวงด่านยากเย็นแค่ไหน
ที่ยังติดค้างอยู่ปราณสุริยันขั้นสูงสุดยิ่งมีหลายร้อย
“โอสถระดับหกช่วยเสริมสร้างเฉียนคุน เพิ่มประสิทธิภาพการทะลวงด่านพิสุทธิ์ไพศาลไปกลั่นดวงธาตุได้สองเท่า!”
“เกราะเมฆาวิเศษ ต่ำกว่าพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด สามารถทานรับการโจมตีสิบกระบวนท่าไม่เข้า”
“ทักษะท่าร่างเงาลี้ลับเหินทะยานระดับเจ็ด พิชิตชัยศัตรู”
เหมียนเหล่านำเสนอสมบัตินับไม่ถ้วน ลานประมูลคึกคักเร่าร้อน แต่ละคนแข่งขันกันจนหน้าดำหน้าแดง อึกทึกวุ่นวาย
ฉินจิ่วเกอไม่สนใจทักษะยุทธ์หรือลมปราณเท่าใด ซ่งเล่อเองก็ได้มรดกตัวประหลาดมาแล้ว วิชากำลังภายในเองก็บรรลุระดับเก้าขั้นสูงสุด ในเมืองซวนอู่ยิ่งไม่มีใครทำได้เช่นนี้
ส่วนลั่วเฉิน ยังคงท่าทีสองหูแขวนไว้นอกหน้าต่าง ปิดตาแน่นสนิท
ระหว่างนั้นของที่ฉินจิ่วเกอลั่นปากประมูลล้วนถูกเฉียนหยุดตัดหน้าเพิ่มราคาสิ้น ส่งผลให้ฉินจิ่วเกอคันในหัวใจ คิดตบอีกฝ่ายสักรอบ
“สมบัติชิ้นต่อไปนี้ มีความน่าสนใจอยู่บ้าง แม้แต่นักปรุงยาระดับสี่อย่างเราผู้เฒ่ายังไม่อาจมองทะลุถึงความพิสดาร”
เหมียนเหล่าเอ่ยคำ สะบัดชายเสื้อ ก้อนแร่สีดำก็ร่วงหล่นลงมา รูปลักษณะดูคล้ายอุกกาบาต บนพื้นผิวยิ่งเกลื่อนไปด้วยรอยตะปุ่มตะป่ำขนาดเท่าเม็ดถั่วเรียงราย คนมากมายเห็นแล้วต้องเบ้หน้า
ก้อนแร่ขนาดเท่าฝ่ามือ หนักหมื่นจิน เหมียนเหล่าได้แต่ต้องถือไว้ในมือ ไม่กล้าวางบนโต๊ะด้วยเกรงแท่นหยกจะพังเสียหาย
“สมบัติชิ้นนี้สมควรตกทอดมาจากยุคบรรพกาล มีความพิสดารลี้ลับเต็มสิบ เป็นยามที่เราผู้เฒ่าได้มาจากยามท่องไปใกล้เมืองเทียนเอิน ส่วนตัวมันคือธาตุวัตถุใด เราเองก็เคยเชื้อเชิญนักจัดวางค่ายกลมา กลัยไม่อาจแยกแยะได้ เพียงแต่ทราบว่าวัตถุนี้มีความแกร่งระดับเดียวกับศาสตราศักดิ์สิทธิ์”
กล่าวจบ มันก็ชูก้อนแร่ในมือขึ้น ทอดถอนใจชั่วครู่ พื้นผิวดำขลับภายใต้แสงอาทิตย์สะท้อนประกายยิบยับราวกับหิ่งห้อย
ประกายของก้อนแร่ ลึกล้ำราวจักรวาล ยิ่งเพ่งพินิจพิศดู ยิ่งดูเหมือนหัตถ์มหึมาไร้รูปสองข้าง ลากพาตัวท่านเข้าสู่ทะเลแห่งดารา
ฉินจิ่วเกอคืนสู่ภาวะ ยืดหลังตรงทันที “ศิษย์น้อง เจ้าดูวัตถุนั้น ชอบหรือไม่?”
เมื่อถูกฉินจิ่วเกอก่อกวนความสงบ ลั่วเฉินฝืนลืมตาขึ้น มองดูชั่วขณะด้วยความไม่สนใจ “มันกล่าวไม่ผิด เป็นสิ่งของจากบรรพกาลจริง แต่พื้นผิวที่เป็นเช่นนั้น เพราะเป็นของแตกหักเสียหายแล้ว ไม่คู่ควรเสียเงิน”
ที่จริงก็ไม่ผิด หากวัตถุนี้มีวาสนาแฝงอยู่จริง เหมียนเหลาไหนเลยจะกล้าเอาออกมาประมูล ส่วนที่ว่าเป็นของตกทอดจากบรรพกาล ก็เป็นเพียงลีลาเรียกร้องความสนใจ ก้อนศิลาสารพัดบนขุนเขา นั่นก็ผ่านเวลามานับล้านปี ยังไม่เห็นมีใครเก็บเป็นวัตถุวิเศษอะไร
งี้นี่เอง ฉินจิ่วเกอกลับลงนั่งพิงพนักเหมือนเดิม ในเมื่อพระเอกบอกงี้ เจ้าก้อนแร่นั่นไม่มีทางเป็นของดี
มองดูเฉียนหยุนทางฝั่งตรงข้าม มันกำลังใช้สายตาสุนัขที่จ้องเนื้อตาเป็นมันเฝ้าจับสังเกตตนเอง ฉินจิ่วเกอลูบปลายคางอันกลมมนสะอาดสะอ้าน เผยรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายออกมา “แสนศิลาวิญญาณระดับต่ำ”
แน่นอนว่าเฉียนหยุนก็ไม่พลาด ยกมือกล่าว “สองแสน”
ฉินจิ่วเกอเสแสร้งงทำเหมือนไม่พอใจ ยืนขึ้นเตะโต๊ะ “สามแสน”
ยิ่งเจ้าโมโหข้ายิ่งชมชอบ เฉียนหยุนคิดเช่นนี้ ไม่ยอมปล่อยวาง “สี่แสน”
ผู้เข้าประมูลทั้งหลายต่างไม่ใช่คนโง่ ของที่เหมียนเหล่าควักออกมา นอกจากหนักอย่างยิ่ง ก็ไม่มีประโยชน์อื่น แสนนึงก็ว่าแพงแล้ว
ทว่าทันทีที่ฉินจิ่วเกอเสนอราคา เจ้ากระสอบฟางข้าวไร้สมองนั่นก็ต้องออกปากตัดหน้าทุกครั้ง มูลค่าราคาพุ่งทะยาน พริบตาก็ดันขึ้นไปสี่แสน คนกว่าครึ่งล้วนหลั่งเหงื่อเย็น
เจ้ากระสอบสมองกลวงท่วงท่าสง่าสูงส่ง ยังกล้าออกมาแข่งขัน รอคอยถูกคนดัดหลัง
เมื่อได้ยินเฉียนหยุนลั่นออกมาว่าสี่แสน ฉินจิ่วเกอเบิกบานยิ่ง แยกขาออกลั่นปากว่า “หกแสน!”
ในใจของชายหนุ่มคำนวณแน่ชัด หากราคาขึ้นไปถึงแปดแสน มันย่อมเก็บมือลง ปล่อยของให้เฉียนหยุนไป อีกฝ่ายเสียเงินหลายแสนเพื่อของกะหลั่วๆ เมื่ออารมณ์ไม่ดี อาจถึงขั้นระเบิดออกต่อหน้าผู้คน
ไม่คาด ขณะมันคิดว่าแผนการกำลังจะบรรลุ เฉียนหยุนกลับกลายเป็นฝ่ายลูบคาง อ้าปากแยกเขี้ยวยิ้มร่า
เห? ฉินจิ่วเกอในใจหม่นทะมึน อีกฝ่ายใช่โมโหจนหัวเราะออกมาหรือไม่ ตระเตรียมเสียงตายแข่งขันกับมันแล้วงั้นหรือ?
เมื่อว่าราคาออกไปแล้ว ฉินจิ่วเกอรอคอยอีกฝ่ายวางเดิมพัน ไม่คาดเฉียนหยุนเก็บรอยยิ้ม โบกมือ “ในเมื่อพี่ฉินสนใจถึงขั้นยอมทุ่มหกแสน ของชิ้นนี้ก็เป็นของท่านเถอะ!”
ปงปง!
ฉินจิ่วเกอที่ยืนอยู่บนโต๊ะแทบล้มคะมำหน้าคว่ำพื้น คนร่วงพับลงมากับที่ ยังดีที่ซ่งเล่อหูตาไวคว้าไว้ทัน