ตอนที่ 213 เปิดกว้าง
ลั่วเฉินเริ่มมีน้ำโห “ข้าจะไปทำอย่างไรได้ หากข้ามีวิธี ก่อนอื่นข้าจะทุ่มหินใส่หัวเจ้าเป็นลำดับแรก”
ตูม!
เหนือศีรษะมีเสียงดังขึ้นคราหนึ่ง เสียงดังจากภูติผีอันพิโรธ
ทั้งสามคนพอได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเหนือศีรษะ แสงไฟรอบด้านก็มืดหม่นลงไปฮวบฮาบ ในอากาศมีแรงกดดันหนาหนักทาบทับลงมา
พวกมันรีบยกมือป้องเหนือศีรษะ วิ่งหนีออกจากศูนย์กลาง
ลั่วเฉินเคลื่อนไหวดั่งแมลงปอแตะผิวน้ำ ซ่งเล่อราวหงส์เหิน ฉินจิ่วเกอเหมือนลาที่ถูกถีบจนกลิ้งเกลือก
คนทั้งสามเพิ่งหลบออกด้านข้างได้ไม่นาน ก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนขนานใหญ่ตามมา ปรากฏว่าศิลาดำกลับยุบยวบลง ก่อนจะสลายกลายเป็นฝุ่น จากนั้นจึงมองไปยังที่ที่พวกมันอยู่เมื่อครู่ด้วยความกลัวไม่หาย ตรงนั้นกลับมีโลงจันทราสีทองอมม่วงขึ้นแทนที่
หากช้ากว่านี้อีกเพียงนิด เกรงว่าคนทั้งสามคงถูกโลงที่ว่าบดขยี้จนเป็นเศษเนื้อไปแล้ว
โลงศพสีทองอมม่วงหลังนั้นให้ความรู้สึกชั่วร้ายน่าอึดอัด
บนโลงคือภาพสามสิบหกอสรพิษยักษ์เขมือบกลืนดวงจันทร์
รวมถึงศีรษะมนุษย์ที่กองเป็นภูเขาเลากาใต้คมเขี้ยวอสรพิษ และธารโลหิตใต้หาง
มีสตรีสำส่อนที่ถูกงูจับตัว แขนขาปัดป่ายยกสูง คอบิดจนศีรษะหันไปอยู่ข้างหลัง
เพียงแค่คิดก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า เหมือนหัวใจตกสู่โพรงน้ำแข็ง
โลงศพสีทองอมม่วงนี้ไม่มีฝาโลง ฉินจิ่วเกอกวาดตามองไวๆ คราหนึ่ง พบว่าในนั้นมีราชันอสุภนอนอยู่ราวกับมีชีวิต
“เป็นอสุภสวรรค์!” มือที่ชักกระบี่ออกมาของลั่วเฉินพลันอ่อนปวกเปียก เสียงแผ่วโหย
“ซวยซ้ำซวยซ้อน!” หัวใจที่สิ้นหวังอยู่แล้วของซ่งเล่อยิ่งทอแววสิ้นหวังมากกว่าเดิม แค่ซากศพสามพันที่โผล่มาก่อนหน้า พวกมันก็ไม่อาจขึ้นสวรรค์ได้แล้ว
เพดานวิหารเทพมีโลงศพร่วงโครมลงมา ด้านในมีอสุภสวรรค์ที่มองยังไงก็ไม่ใช่ตัวดีอยู่ ตอนยังมีชีวิตคงไม่วายเป็นมหายุทธ์กลั่นดวงธาตุขั้นสูงสุด มีเทพแห่งการฆ่าล้างเช่นนี้อยู่ สามพันผีศพก่อนหน้าไม่อาจนับเป็นอย่างไรได้
ฉินจิ่วเกอเขย่งเท้าพยายามเพ่งมองรูปลักษณ์ของอสุภสวรรค์ตัวนั้น
นอกจากใบหน้าที่ซีดขาว ทุกอย่างก็เหมือนกับคนมีชีวิต ต่างจากอสุภดินที่แห้งเหี่ยว เจ้าหมอนี่คล้ายกำลังนอนหลับอยู่มากกว่า
ราชันอสุภตนนี้สูงเจ็ดฉื่อ บนหัวสวมมงกุฎมังกรหงส์ท่องเวหาสมัยก่อนบรรพกาลไว้ บนศีรษะมีขนปักษาเสียบประดับไว้สองข้าง
กล่าวกันว่าในสมัยไท่หวง ผู้คนและสัตว์อยู่ร่วมกัน นับถือวิหคเป็นจ้าว เท่าที่ดูก็คงไม่ผิด
ราชันอสุภสวมอาภรณ์ตัวยาวที่ถักทอขึ้นจากขนปักษาสีขาว ดูไปคล้ายมนุษย์นก ตรงเท้าสวมไว้ด้วยรองเท้าปลายแหลม
มันกำลังหลับใหลอยู่ในโลงด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ขนคิ้วแต่งแต้มด้วยหลากสีสัน หว่างคิ้วมีแอ่งโลหิตที่ราวกับกำลังไหลหยาดหยดออกมา!
“ดูนั่น อสุภดินฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์แล้ว!” ซ่งเล่ออุทานเสียงหลง มีอสุภดินที่ฟื้นสภาพกระโดดลงจากด้านบนและกำลังพุ่งปรี่เข้าหาคนทั้งสาม
ท่อนแขนแข็งทื่อของพวกมันกวาดวาดสำแดงพลัง เพียงแค่เล็บมือที่งอกเงยก็ยาวไม่ต่ำกว่าสองฉื่อ เหมือนเปลือกไม้แห้งกรัง เข่าที่แข็งทื่อลั่นกระแทกพื้น ลอยตัวเข้าหาคนทั้งสามหมายจะกัดทิ้ง แต่ก็ถูกซ่งเล่อใช้มีดเกล็ดงูต้านรับไว้
แคร่ก!
ฟันเหล็กสองแถวกระทบกับมีดเกล็ดงู กระทั่งฝากรอยฟันตื้นเขินเอาไว้
ซ่งเล่อสะกดความคลื่นเหียนเอาไว้ มันรีบพลิกฝ่ามือเป็นรูปครึ่งวงกลม เปลี่ยนทิศทางมีดให้บั่นศีรษะของอสุภดินตัวนั้น รวมทั้งสะบั้นลำคอของมันให้แตกหัก
อสุภดินร่วงลงกับพื้น ตอนยังมีชีวิตแม้จะเป็นยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลสูงสุด แต่เพราะเน่าเปื่อยมานานล้านปี ต่อให้ตอนนี้ลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขาได้ สัมปชัญญะของมันก็ไม่มีวันเทียบเท่าตอนมีชีวิตอยู่เด็ดขาด
วินาทีที่อสุภตัวนั้นถูกซ่งเล่อสังหาร ในกะโหลกก็มีประกายสีม่วงขนาดเล็กพุ่งวาบออกมา
ด้วยระดับความเร็วที่คนทั้งสามไม่อาจมองเห็น พุ่งหายเข้าไปในโลงศพ ซึมหายเข้าไปตรงบาดแผลบริเวณหว่างคิ้วของราชันอสุภ
คนที่ไม่รู้อาจนึกว่าตอนที่ราชันอสุภมีชีวิตอยู่จะต้องมีดวงตาที่สามงอกเงยอยู่บนหว่างคิ้วเป็นแน่
ประกายแสงแหวกว่ายผ่านปากแผลบนหว่างคิ้ว และหายไปในที่สุด
ครึก
นิ้วมือของราชันอสุภกระดิก ใบหน้าไร้สีเลือดยามนี้ก็เริ่มมีเส้นเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย
ซ่งเล่อถึงแม้จะโค่นล้มอสุภดินไปได้ตัวหนึ่ง แต่ด้านหลังก็ยังมีสหายของมันทะยานเข้ามาอย่างไม่มีวันจบสิ้น รอยแผลบนผิวหนังของพวกมันกลาดเกลื่อนถ้วนทั่วเหมือนรอยย่นยามขมวดคิ้ว
“พวกมันมีเยอะเกินไป เอาไฟจากคบเพลิงมาเผาพวกมันเถอะ!”
ของทุกอย่างที่เกิดในยุคโฮ่วเทียน ตามธาตุทั้งห้าทองไม้น้ำไฟดิน จะต้องมีดาวข่มที่เท่ากันหรือหลากหลายกว่าอยู่ด้วย เพลิงนรกคือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่จอมปรภพเก้านรกภูมิใช้ในการจัดการสังสารวัฏ และเป็นศัตรูทางธรรมชาติกับราชันปีศาจเหล่านี้
จับจ้องไปทางกระถางเพลิงสีเขียวมรกต ลั่วเฉินเตะอสุภที่ปลายเท้าสองตัวไปให้พ้นทาง “พวกเจ้ายื้อพวกมันไว้ก่อน ข้าจะลองดูว่าสามารถหลอมพวกมันได้หรือไม่”
เคร้ง!
ฉินจิ่วเกอใช้บรรทัดตารางนิ้วกระแทกเล็บยาวทั้งสิบของอสุภดินจนหลุดกระจาย “น้องรองวางใจเถอะ ข้าและซ่งเล่อจะยื้อเวลาให้เจ้าเอง”
แผ่นหลังของซ่งเล่อมีรอยเลือดเพิ่มขึ้นสองรอย จมูกบนใบหน้าเผือดขาวย่นเข้าหากันเล็กน้อย “รีบหน่อยก็ดี!”
“ได้”
ลั่วเฉินไม่แยแสซากอสุภที่ออกอาละวาดอยู่อีก เพียงพุ่งตัวเข้าหาแถวกระถางเพลิง กระถางแต่ละใบจุไว้ด้วยน้ำมันศพจนเต็ม แต่ละใบหนักราวหนึ่งพันจิน ผิวน้ำมีระลอกสีครามเขียวกระเพื่อมไหว
หลังเอามาได้เก้าใบ ลั่วเฉินที่ห้อมล้อมอยู่กลางวงเพลิงก็โคจรเคล็ดลมปราณเพื่อเชื่อมต่อกับเพลิงโลกันตร์
“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า!” หัตถ์อสูรยักษ์ฟาดกระแทกซากอสุภจนปลิดปลิว แต่ไม่อาจทำลายพวกมัน มีเพียงแขนขาที่หักสะบั้น ก่อนจะลุกกลับขึ้นมาอย่างโงนเงน เปล่งเสียงคำรามราวสัตว์อสูร
“พี่ฉิน แทงใส่หลิงไถของพวกมันเลย!”
ส่วนคมโค้งบนมีดเกล็ดงูในมือซ่งเล่อจี้แทงเข้าใส่ตำแหน่งหว่างคิ้วของซากอสุภทุกตัวที่บุกเข้ามา
สัมปชัญญะที่หลงเหลืออยู่ในหลิงเถ พอถูกมีดทะลวง ไอม่วงขนาดเล็กจ้อยก็จะพุ่งหายเข้าไปในโลงศพ พร้อมกับซากอสุภที่เน่าสลายไป
บรรทัดตารางนิ้วจัดอยู่ในอาวุธประเภทไร้คม
ฉินจิ่วเกอพอได้ฟังคำพูดของซ่งเล่อก็พลิกบรรทัดในมือแล้วสะบัดใส่ศีรษะของอสุภดินที่พุ่งเข้ามา
ซากอสุภสะท้านเฮือก เหลือเพียงของเหลวเน่าเหม็นเอาไว้บนพื้น
ปงปง!
ซากอสุภดินที่ถูกทำลายหลิงไถถูกฉินจิ่วเกอเตะโด่งออกจากวงต่อสู้ จากนั้นภายในความมืด เล็บคมกริบทั้งสิบก็แหวกตัดมิติออกมา
ภายในเก้านรกภูมิที่บรรยากาศขุ่นมัวสะกดทับ เป็นไปไม่ได้ที่จะเหาะเหิน
ฉินจิ่วเกอเห็นจากปลายหางตา แผ่นหลังเกร็งขมึง เล็บทั้งสิบแทงทะลุเข้ามาจนถึงเนื้อหนังภายใน
เมื่อปราศจากซึ่งกายาอมตะทองคำของกลั่นดวงธาตุ กายเนื้อจึงไม่อาจต้านรับการจู่โจมอันคมกริบเช่นนี้ได้ แม้จะถูกพลังวิญญาณสลายพลังไปหนึ่งส่วนสองส่วน แต่ก็ไม่อาจปกป้องเอาไว้ได้ทั้งหมด
“อึก!” ฉินจิ่วเกอครางด้วยความเจ็บแสบ พลิกตัวสองตลบกลางอากาศ หักท่อนแขนทั้งสองของซากอสุภดินที่ลอบจู่โจม
เล็บทั้งสิบติดคาอยู่ในเนื้อ ซ้ายขวาหน้าหลังข้างๆ ล้วนเต็มไปด้วยหนามเล็บมือเล็กใหญ่ปักคา
ฉินจิ่วเกอต้องถลกหนังตัวเองออกมาชั้นหนึ่ง จึงจะเอาเล็บที่ปนเปื้อนพิษศพออกไปจากตัวได้ ไอวิญญาณสูบหายไปจากตัวจนเกลี้ยงเกลา
“เร่งมือหน่อย!” ซ่งเล่อถูกซากอสุภดินสามตัวกดดันรุกไล่จนต้องกลิ้งไปห้าตลบ เล็บที่ยืดยาวของพวกมันแทบจะทิ่มทะลุนัยน์ตามันอยู่แล้ว
ลั่วเฉินยามนี้กำลังนั่งอยู่เหนือเพลิงโลกันตร์ทั้งเก้า ได้ยินเสียงสัตว์อสูรกู่ร้องด้วยความพิโรธดังมาจากในร่างอยู่เป็นพักๆ
เพลิงนรกเก้าขุมกำลังแผดผลาญร่างกายมัน ทุกรูขุมขนทุกแผ่นหนังบนตัวล้วนเจ็บแสบแทบพองไหม้
มหาอสูรล้างโลกา บรรพชนสัตว์อสูรแห่งยุคไท่หวง ตัวเป็นพยัคฆ์เศียรเป็นมังกร หางเป็นหงส์เท้าเป็นเต่า
มหาอสูรล้างโลกาผู้อยู่เหนือโลกหล้าบัดนี้กำลังกู่เสียงคำรามอยู่ในหลิงไถของลั่วเฉิน บีบเพลิงโลกันตร์ไร้สภาพไว้ในช่องว่าง ทั้งสองฝ่ายยื้อยุดกันไปมาเนิ่นนาน
ฉินจิ่วเกอตัดใจกล้ำกลืนความเจ็บปวดเขวี้ยงศิลาวิญญาณระดับต่ำหมื่นก้อนออกไป เกิดเป็นหมอกที่กั้นขวางซากอสุภเหล่านั้นไว้ข้างนอกชั่วคราว จากนั้นรีบสูดรับไอวิญญาณเข้าร่าง
ซากอสุภมืดมัวมหาศาล ไม่กลัวเป็นตาย
ศิลาวิญญาณหมื่นก้อนเพียงต้านได้แค่ครู่คราว พริบตาก็ถูกกรงเกล็ดสีดำเคลือบพิษศพฉีกทลาย
เห็นดังนี้ ฉินจิ่วเกอก็สะกดเลือดที่กำลังจะทะลักออกจากปากไว้แล้วเขวี้ยงศิลาวิญญาณระดับต่ำออกมาอีกสามแสน นี่ไม่ใช่การต่อชีวิตอีก แต่เป็นการเขวี้ยงเงินทิ้ง ทุกวินาทีศิลาวิญญาณนับพันล้วนถูกใช้หมดไป
“พี่ฉิน แบบนี้ยื้อได้ไม่นานหรอก!” ซ่งเล่อยามนี้มีแผลเกลื่อนตัว บดผงยาแล้วโปะลงบนแผล ต่อให้มันจะไหลทิ้งตามโลหิตที่ไหลนองอยู่ตลอดเบาก็ตาม
ฉินจิ่วเกอลมหายใจห้วนสั้น ตาพ่นเพลิงทมิฬออก “ไม่ไหวแล้ว!”
หมื่นมารทมิฬพิษร้าย อาบย้อมโลหิตท่วมทั่วฟ้า
เส้นแบ่งความเป็นตายที่ปรากฏขึ้นไม่ได้ทำให้ฉินจิ่วเกอหวั่นไหว คนทั้งสองฆ่าฟันซากอสุภจนเรียกได้ว่าซากศพกองสุมดั่งภูเขาเลยด้วยซ้ำ
“หมื่นมารทมิฬ!”
เส้นทางแห่งปีศาจ ขัดเกลาและดูดกลืน
ยิ่งไม่ต้องพูดว่าในเก้านรกภูมิใต้ผืนโลกนี้ คือสถานที่อันมืดมัวเปี่ยมพลังหยิน เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ในอุดมคติของผู้ฝึกวิชาปีศาจ ที่สามารถกลายเป็นทักษะวิชาอันบริสุทธิ์นับไม่ถ้วน
ไม่รอให้ซ่งเล่อได้ตอบสนอง ศิลาวิญญาณอีกสามแสนก็สูญไป
บนตัวฉินจิ่วเกอคือชุดเกราะทมิฬ บนหัวคือวงแหวนปีศาจยาวสามฉื่อที่พุ่งเข้าใส่กลางวงของซากอสุภดิน
“กลืน!” สองมือฟาดใส่กะโหลกของอสุภดินสองตัว ไอม่วงสองสายวนรอบฉินจิ่วเกออยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะพุ่งหายเข้าไปในโลงศพอีกครั้ง
เนตรสวรรค์บริเวณหว่างคิ้วของราชันอสุภยิ่งมายิ่งดูมีชีวิตชีวา เส้นเลือดไหลเวียน
หากมองดูจะพบว่ามันเป็นสีดำและสีขาวเหมือนตาดำและตาขาว ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างเหมือนดวงตา ขาดแค่
ด้วยการหนุนเสริมของเคล็ดลมปราณผู้ฝึกวิชาปีศาจขั้นเจตจำนงสวรรค์ ฉินจิ่วเกอก็เหมือนเสือติดปีก เพียงพริบตาก็เขมือบกลืนพลังแง่ลบของอสุภดินนับไม่ถ้วนมาเป็นของตน ซ่งเล่อที่ยืนอยู่ใจกลางผลักอสุภออกไปให้พ้นตัว ตาเหม่อค้าง
พี่ฉินเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ?
โฮก!
ไม่รอให้ซ่งเล่อได้พูดอะไร อีกฝั่งหนึ่งลั่วเฉินที่นั่งอยู่เหนือเพลิงนรกและถูกเผาจนแทบจะดำไหม้ มรดกปลายบรรพกาลมหาอสูรล้างโลกาในสายเลือดของลั่วเฉินในที่สุดก็ถูกปลุกกระตุ้น
อสูรเทวะฟ้าประทานตัวสูงใหญ่เปี่ยมพลังสุดไพศาลกำลังลอยคว้างอยู่เหนือศีรษะ สะกดข่มการแพร่ขยายของเพลิงนรกอันเย่อหยิ่ง
อสูร สายเลือดเผ่าอสูร?
ซ่งเล่อไม่อยากเชื่อ ไม่นานก็หัวเราะเสียงขื่นออกมาสองคำ ความกระจ่างใสกลับคืนสู่นัยน์ตา
ไม่คิดกังขาอีก ซ่งเล่อก็เงื้อมีดเกล็ดงูในมือต่อสู้แลกชีวิตกับอสุภดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับฉินจิ่วเกอ
ช่างปะไร ในเมื่อพวกมันคือสหายของตน แล้วจะไปใส่ใจให้ได้อะไรขึ้นมา
ขัดเกลาจิตใหม่ มรรคาจริงแท้รูปแบบไหน ไหนๆ ก็พัวพันกับพวกมันแล้ว เช่นนั้นก็ปิดตาแล้วไปให้สุดเลยแล้วกัน!
ฉินจิ่วเกอหลอมสกัดอสุภดินในมือ ร่างหมุนคว้างอยู่บนพื้นอย่างสวยงามอยู่สองสามรอบ รู้สึกปลอดโปร่งผ่อนคลาย โซ่ตรวนหนึ่งเดียวได้คลายออกทันทีที่ซ่งเล่อตัดสินใจว่าจะบุกต่อโดยไม่ล้มเลิกกลางคัน
คนทั้งสองหลังชนกัน จ้องตรงไปที่ซากอสุภดินที่ห้อมล้อมด้วยแววตาห้าวหาญ ทุกสิ่งรอบตัวเงียบสงัดอยู่สามลมหายใจ
สหายทั้งสองสบตากันอย่างรู้ใจ จากนั้นบนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มชนิดว่าเป็นอันรู้กันขึ้นมา
แล้วจู่ๆ ฉินจิ่วเกอก็เข้าใจขึ้นมา ว่าคำว่า “ผ่อนโล่งสบาย” นั้นแปลว่าอะไร ขาดแค่กระดาษบางๆ ก็สามารถแง้มพรายความหมายที่แท้จริงออกมาได้
“หมื่นมารชำแรก!”
“เทพราชันทลายสวรรค์!”
หนึ่งดำหนึ่งขาว หนึ่งสว่างหนึ่งมืดมิด
สองขั้วอันแตกต่าง กลับประสานกันอย่างกลมกลืน
ความดีและความชั่ว เป็นคู่และปรปักษ์ กำเนิดและขับเคี่ยวซึ่งกันและกัน ผสานหนุนเสริม
ต่างเส้นทางจุดหมายเดียวกัน ต่างข้องเกี่ยวกันมา!
“สำแดง!”
ฉินจิ่วเกอและซ่งเล่อไร้ซึ่งไอวิญญาณ ได้แต่ใช้สองมือเปล่าๆ ต้านรับกรงเล็บทั้งสิบของซากอสุภดินเอาไว้อย่างดื้อด้าน
คนทั้งสองถูกซากศพรุมล้อมชนิดมืดฟ้ามัวดิน ขณะที่กำลังเข้าตาจนอยู่นั้น แสงเทวะขุมหนึ่งก็จุติลงด้านนอกตำหนัก
เป็นแสงสีคราม กระจ่างเหมือนอากาศ ล่องลอยเหมือนผิวน้ำ ชดช้อยเหมือนสายลม ประดุจดั่งกล้วยไม้หอม