บทที่ 7 กำจัดผู้ที่อาจเป็นศัตรูความรัก
“เจ้า เจ้านำสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใดกัน”
กลิ่นหอมของหม้อไฟฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งคุกใต้ดิน ดึงดูดให้องครักษ์ทั้งสี่นายหันมาสนใจนาง พวกเขาดึงดาบยาวในมือออกมาและชี้ไปที่ฉินปู้เข่อ
หญิงนางนี้ออกไปตั้งแต่เมื่อใดกัน แล้วไปขนโต๊ะหม้อไฟนี้มาจากไหน
ฉินปู้เข่อเคาะถ้วยด้วยตะเกียบในมือและกล่าวยิ้ม ๆ “มากินด้วยกันไหม?”
องครักษ์เหล่านี้ล้วนแต่ได้รับการฝึกวินัยจากตำหนัก ในเวลาปกติพวกเขาเป็นองรักษ์ที่มีวินัยมีระเบียบ และได้รับการฝึกฝนกันมาอย่างดีทุกคน
แต่ ณ ตอนนี้ พวกเขามองหม้อไฟสีแดงฉานตรงหน้าที่กำลังเดือดปุด ๆ กลิ่นหอมระคนเผ็ดลอยอบอวลไปทั่วคุกใต้ดิน พวกเขายืนนิ่งอยู่หน้าสุกี้หม้อไฟประหนึ่งมีรากงอกที่เท้าขยับไปไหนไม่ได้อีกแม้แต่ก้าวเดียว
“รีบเข้ามาสิ มีส่วนของพวกเจ้าทั้งสี่คนด้วยนะ!” ฉินปู้เข่อตะโกนลั่น
ทันใดนั้นก็มีองครักษ์เดินเข้าไปหยิบถ้วยตะเกียบขึ้นมาลงมือกินทันทีตามคำเชิญของนาง องครักษ์อีกสามคนก็ถูกดึงดูดด้วยกลิ่นหอมนี้เช่นกัน พวกเขาเดินเข้าไปนั่งลงข้างหม้อไฟอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ พวกเขานั่งลงและหยิบถ้วยตะเกียบขึ้นมาด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ
“อร่อยมาก เลิศรสเหลือเกิน นี่คือหม้อไฟที่อร่อยที่สุดที่ข้าเคยกินมาในชีวิตนี้เลย” องครักษ์เสี่ยวตงเอ่ยชมไม่หยุดปาก ตะเกียบในมือก็ไม่เคยหยุดนิ่งเลยสักนิด
องครักษ์ที่เหลือพากันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พวกเขาเอาแต่กินจนปากยุ่งไม่มีเวลาแม้แต่จะพูดจา
ฉินปู้เข่อเท้าคางมองชายสี่คนนี้ที่กำลังกินหม้อไฟนี้อย่างสบายอุราแล้วแสยะยิ้มมุมปาก
“กินอิ่มกันหมดแล้วเหรอ”
“พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยชายาที่เลี้ยงอาหารมื้อนี้ พวกกระหม่อมกินอิ่มกันหมดแล้ว” องครักษ์ทั้งสี่นายลุกขึ้นและประสานมือทำความเคารพฉินปู้เข่อ
“ในเมื่อกินอิ่มกันหมดแล้ว ก็ถึงคราวข้าพูดอะไรสักเล็กน้อย” ฉินปู้เข่อมององครักษ์ทั้งสี่นายด้วยสายตามุ่งร้าย “การกินของคนอื่นมั่วซั่วมีราคาที่ต้องจ่าย”
องครักษ์เสี่ยวเป่ยผงะก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว เขาดึงดาบยาวออกมาด้วยท่าทีระแวง “ท่านคิดจะแหกคุกรึ พวกเราสี่คนไม่มีทางยอมปล่อยท่านไปหรอก”
ฉินปู้เข่อกล่าวยิ้ม ๆ “ใจเย็น ใจเย็น ข้าไม่ได้โง่ขนาดที่จะแหกคุกโดยเอาชีวิตเข้าแลกหรอก”
ตอนนี้นางเป็นชายาอ๋อง นางจะหนีไปไหนได้ อีกอย่างอ๋องเจ็ดคือชายในฝันของนาง นางยังไม่ได้จุมพิตเขาสักครั้งเลยนะ!
“เสี่ยวเป่ย เจ้าไปนำไพ่นกกระจอกมาซิ อยู่ในคุกใต้ดินมันน่าเบื่อเกินไป เรามาเล่นกันสักสามสี่ตาดีหรือไม่ ใครแพ้ต้องออกไปดูต้นทาง”
เสี่ยวเป่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ที่นี่คือคุกใต้ดิน ข้าน้อยคือคนที่ต้องคอยเฝ้าท่านไว้ ข้าไม่อนุญาตให้ท่านทำเรื่องเช่นนี้เป็นอันขาด”
ฉินปู้เข่อไม่ได้เอ่ยคำใด นางกล่าวคำพูดเมื่อกี้ซ้ำอีกรอบในหัว
และก็เห็นเสี่ยวเป่ยที่ปากบอกว่า ‘ไม่มีทาง ไม่ได้เด็ดขาด’ ได้หันหลังไปแล้ว ทั้งยังวิ่งออกไปนอกคุกอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวเขาก็หยิบไพ่นกกระจอกจากที่พักของตัวเองมา
“พี่เสี่ยวเป่ย…” องครักษ์ที่เหลือตาโตอ้าปากค้างมองภาพตรงหน้า และพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง “พี่นี่ไม่มีหลักการเอาเสียเลยนะ”
เสี่ยวเป่ยมองไพ่นกกระจอกในมือด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เขาเองก็ไม่ได้อยากทำเช่นนี้ แต่ไม่รู้เหตุใดร่างกายถึงไม่ยอมเชื่อฟัง
“คนที่ไม่มีหลักการยังมีพวกเจ้าด้วย มา มาให้หมด เสี่ยวเป่ยดูต้นทาง ที่เหลือนั่งลงและเล่นไพ่นกกระจอกกับข้า”
ฉินปู้เข่อเอ่ยปากออกคำสั่ง เสี่ยวตงและองครักษ์อีกสองนายนั่งลงและยอมเล่นไพ่นกกระจอกกับนางแต่โดยดี
หลังจากผ่านไปสี่ตา ฉินปู้เข่อมองเศษเงินสามก้อนที่อยู่ตรงหน้าอย่างมีความสุข
เสี่ยวเป่ยมองถุงใส่เงินและพูดเสียงแผ่วเบา “พระชายา เลิกเล่นเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่มีเงินแล้ว”
ฉินปู้เข่อสะบัดผม “เจ้าออกไปดูต้นทาง”
คนอื่นต่างดื่มด่ำอยู่ในเสน่ห์ของมรดกวัฒนธรรมของชาติ และสู้รบอย่างเอาเป็นเอาตายกับฉินปู้เข่อ
“ท่านอ๋องมา แม่นางอู๋เยว่เข็นท่านอ๋องมาแล้ว” ในขณะที่พวกเขากำลังสู้กันอย่างออกรส เสี่ยวเป่ยก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“รีบเก็บเร็ว” ฉินปู้เข่อแยกไพ่นกกระจอกออกเป็นสี่กองอย่างรวดเร็ว เสี่ยวตง เสี่ยวหนัน เสี่ยวซีเอาไปคนละกอง
ส่วนฉินปู้เข่อรีบซ่อนกองไพ่นกกระจอกตรงหน้าไว้ใต้กองหญ้าที่ปูบนพื้นในห้องขัง
เมื่อซ่อนเสร็จ ประตูของคุกใต้ดินก็ถูกเปิดออก
หมี่โม่หรู่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น และถูกเข็นเข้ามา
ฉินปู้เข่ออดอุทานไม่ได้ ชายในฝันก็คือชายในฝันเช้าตรู่แบบนี้ก็ยังหล่อเหลา
“ท่านอ๋อง ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ” ฉินปู้เข่อเก็บสายตาอันเต็มไปด้วยความหลงใหล และทำท่าหวาดผวา
เมื่อคืนนางทำให้ชายในฝันต้องกระอักเลือดจนหมดสติไป วันนี้เขาต้องมาลงโทษนางเป็นแน่
เมื่อเห็นท่าทางเย็นชาของเขาแล้ว หรือว่า…
เขาจะร่างหนังสือหย่าให้กับตนเอง? นี่นางจะโดนหย่าตั้งแต่วันที่สองของการแต่งงานเลยหรือนี่
ฉินปู้เข่อไม่กล้าพูดอะไร นางเพียงมองหมี่โม่หรู่ด้วยท่าทางน่าสงสาร
หมี่โม่หรู่ไม่พูดจา เขาเข็นตัวเองเข้าไปใกล้ฉินปู้เข่อช้า ๆ และหรี่ตามองนางอย่างพิจารณา
ตอนนี้เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก โรคไอนี้อยู่กับเขามานานนับ 15 ปีแล้ว
หลายปีมานี้เขาหาหมอมานับไม่ถ้วน ไม่มียาใดเกิดผลเลย ไม่ว่าจะหมอเทวดาจากแห่งหนใดล้วนแต่บอกว่าไม่อาจรักษาเขาให้หายได้ ทำได้เพียงคอยระวังอย่าให้เป็นหวัด
ระวังการกิน ไม่แตะของหวานเย็น และหากกระอักเลือดก็จะสลบไปหลายวัน ต้องรักษานานกว่าครึ่งเดือนถึงออกนอกตำหนักได้
เขาจำได้ว่าเมื่อคืนหลังจากฉินปู้เข่อให้เขาได้ดื่มน้ำที่ทั้งหวานทั้งเผ็ดแล้วเขาก็กระอักเลือดจนหมดสติไป
เช้านี้ตื่นมาเขารู้สึกหน้าอกโล่งขึ้นเยอะ หายใจเป็นจังหวะมั่นคงขึ้นด้วย หมอหลวงในตำหนักยังบอกว่าโรคไอของเขาหายขาดแล้ว เมื่อมาตรวจร่างกายให้เขา
เดิมทีเขาก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่หลังจากนั้นเขาสั่งให้อู๋เยว่เข็นเขาออกจากห้องนอน ปกติแล้วหากกระอักเลือดออกมาจะไม่สามารถตากลมตอนเช้าได้ หากโดนลมเข้าก็จะไอไม่หยุด แต่ครั้งนี้เขากลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
จากนั้นเขาทดลองดื่มชาเย็น ๆ เข้าไปหนึ่งถ้วยก็ไม่มีอาการใด
หรือว่าฉินปู้เข่อเอายาวิเศษให้เขาดื่มจริง ๆ
หลังจากนั้นเขาให้หมอหลวงตรวจสอบของภายในขวดเขียว หมอหลวงบอกว่ามันเป็นเพียงน้ำหวานธรรมดา ไม่มียาใดภายในขวด
“เจ้ารักษาเป็นหรือ?”
ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้นมองหมี่โม่หรู่ แสงแดดยามสาดส่องเข้ามาในคุกใต้ดินกระทบลงบนแผ่นหลังของเขา ราวกับโอบล้อมร่างกายของเขาเอาไว้ ยิ่งขับให้ผิวของเขานั้นดูงดงามยิ่งขึ้น
ใบหน้ามีเลือดฝาด แววตาสดใสสุกสกาว ไม่ซีดเซียวเหมือนตอนก่อนหมดสติไปเมื่อคืน
‘ติ๊ง’
“ได้รับความนิยมเลิศรส 899 แต้ม”
เสียงระบบจักรกลดังสะท้อนอยู่ในหัว
ดูท่าน้ำสุขสันต์แก้ไอจะออกฤทธิ์แล้ว
ฉินปู้เข่อรู้สึกสบายใจ และเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องพบว่าโรคไอของตัวเองหายดีแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่หมี่โม่หรู่ต้องพยักหน้าน้อย ๆ ยื่นขวดสเปียร์ไปตรงหน้า และซักถามออกมา “เจ้ารักษาเป็นหรือ? ของในนี้คือสิ่งใดกัน เป็นยาที่เจ้าปรุงเองรึ?”
หากยอมรับตอนนี้ว่านางรักษาเป็น แล้วท่านอ๋องให้หญิงสาวรักษาโรคอื่นของเขานางจะทำอย่างไร อย่างเช่นให้นางรักษาขาของเขา…
แต่ตอนนี้ในร้านค้ามีเพียงน้ำแก้ไออย่างเดียวที่ใช้รักษาโรคได้ นางยังไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรอีก
ที่สำคัญที่สุดคือเมื่อวานนางใช้ค่านิยมซื้อของไปจนหมดแล้ว ยังไม่ปลดล็อคสินค้าราคาแพงชิ้นอื่น นางจึงยังไม่รู้ว่ามีของแบบไหนอีก
แล้วตอนนี้นางควรจะรักษาเป็นหรือรักษาไม่เป็นดีล่ะ
“ท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ไม่นานหม่อมฉันเป็นหวัดและมีอาการไอ นี่คือยาน้ำที่ท่านแม่ของหม่อมฉันปรุงให้ หม่อมฉันจึงพกติดตัวมาด้วย” ฉินปู้เข่อมองหมี่โม่หรู่ด้วยสายตาจริงใจ และท่องจำกฎเหล็กข้อแรกในการโกหก
นั่นก็คือ เวลาโกหกต้องสบตาอีกฝ่าย ห้ามทำสายตาล่อกแล่ก แขนขาอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง ทั้งยังห้ามจับจมูกเพราะหวั่นใจโดยเด็ดขาด