บทที่ 9 วสันตโอสถ
แต่เล็กจนโตนางก็ไม่เคยทนท่าทีเสียงอ่อนเสียงหวานของฉินปู้เข่อได้ เพียงแค่เห็นก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดี และอยากเข้าไปสั่งสอนนางให้หนัก ๆ เพื่อระบายความโกรธทั้งหมดไปที่นาง
เมื่อวานหากไม่ใช่เพราะฉินปู้เข่อ เรื่องที่นางกำลังตั้งครรภ์คงไม่ถูกเปิดเผย นางคงไม่ต้องอับอายต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย และไม่ต้องโดนท่านพ่อตำหนิทั้งคืน ทั้งยังต้องเข้าวังมาขอขมาฮองเฮาอีก
“เมื่อคืนหลังจากท่านพี่กลับห้องไปแล้ว องค์รัชทายาทได้จัดพิธีแต่งงานให้ข้าและอ๋องหลี่ชิน ตามกฎมณเฑียรบาล วันถัดไปจากวันแต่งงาน ข้าต้องมาถวายบังคมฮองเฮา”
ฉินปู้เข่อก้มหน้ากะพริบตาปริบ ๆ บีบน้ำตาออกมาสองสามหยดด้วยท่าทางโศกเศร้า “เมื่อคืนข้าไม่สมควรพูดแบบนั้น เพราะมันทำให้ท่านพ่อโกรธท่านพี่…”
อ๋องหลี่ชิน!? อยู่ ๆ อารมณ์ของฉินเสวี่ยเหลียนก็ดีขึ้นมาทันใด การจัดการให้ฉินปู้เข่อแต่งงานกับอ๋องหลี่ชินคนขี้โรคอายุสั้นเช่นนี้ แสดงว่าหัวใจขององค์รัชทายาทยังคงมีนางอยู่เต็มหัวใจ และหาทางแก้แค้นให้นาง
ฉินปู้เข่อลอบมองสีหน้าของนางอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าสีหน้านางเริ่มผ่อนคลาย ก็รีบเดินไปคล้องแขนฉินเสวี่ยเหลียนมาพร้อมกล่าวว่า “ท่านพี่ ข้าพยุงท่านขึ้นบันไดดีกว่า อย่างไรเสียตอนนี้ท่านพี่ก็ท้องอยู่ นี่คือทายาทขององค์รัชทายาทเชียวนะ หากองค์ฮองเฮารู้เข้าต้องดีใจแน่ ๆ”
ฉินเสวี่ยเหลียนก้มหน้าลงแค่นเสียงเยาะเย้ย ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ “เอามือที่เหมือนกีบหมูของเจ้าออกไปซะ!”
พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมานางก็รูสึกแปลกประหลาดเล็กน้อย ดูเหมือนฉินปู้เข่อจะไปร่ำเรียนวิชามนต์ดำมา ถึงได้สามารถควบคุมการพูดการจาของนางได้
รอให้นางหาหลักฐานได้ก่อนเถอะ นางจะทำให้ฉินปู้เข่อตายตกไปโดยไร้ดินกลบหน้า
ฉินปู้เข่อก้มหน้าปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลหยดลงมา “ท่านพี่ ข้าสำนึกผิดไปแล้วจริง ๆ เมื่อวานท่านพี่พูดถูก ข้าไม่คู่ควรเคียงข้างกับองค์รัชทายาท ท่านให้อภัยข้าเถิด บัดนี้ท่านตั้งครรภ์อยู่ ฐานะสูงส่งไร้ผู้ใดเทียบเทียม ข้าต้องรับใช้ท่านเป็นอย่างดีอยู่แล้ว”
ฉินเสวี่ยเหลียนเหล่มองฉินปู้เข่อที่ร้องไห้น้ำตานอง พลันกระตุกมุมปาก
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในจวนมหาเสนาบดี ปกติแล้วที่ที่นางไปเยือน ฉินปู้เข่อมักจะหลบซ่อนตัว หากช่วยไม่ได้จริง ๆ และทั้งสองต้องปรากฏตัวขึ้นในที่เดียวกัน นางมันจะหลับอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่ง ร่างกายสั่นสะท้าน ไม่พูดไม่จากับตนเอง
เมื่อรู้ว่าในท้องของนางมีลูกขององค์รัชทายาทก็เริ่มที่จะรู้ความแล้วหรือ
โถงหลักตำหนักเฟิ่งเสียง ฮองเฮามองฉินเสวี่ยเหลียนและฉินปู้เข่อตรงหน้าด้วยแววตาเย็นชา และเผยสีหน้ารำคาญออกมา
นางไม่ได้สนใจลูกอนุที่อ๋องหลี่ชินรับเข้าตำหนักมา หากแต่เป็นทายาทสายตรงของเสนาบดีที่แอบล่อลวงเซวียนเอ๋อร์ เพียงเห็นรอยยิ้มก็รับรู้ได้ว่านางเสแสร้งไม่น้อย
ฉินปู้เข่อถวายบังคมข้างกายฉินเสวี่ยเหลียนอย่างว่าง่าย
“ชายาอ๋องหลี่ชินเพคะ นี่คือสิ่งที่องค์ฮองเฮาประทานให้” ข้าหลวงอาวุโสฟางรั่วยื่นกล่องผ้าไหมกล่องหนึ่งให้ฉินปู้เข่อ
ภายในนี้บรรจุอะไรฮองเฮาเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ก็แค่ของที่นางสั่งให้ฟางรั่วหามาเพื่อประทานให้เป็นพิธีเท่านั้น
ฉินปู้เข่อรับกล่องผ้าไหมมาและคุกเข่าลงด้วยความซาบซึ้ง พร้อมทั้งหมอบกราบองค์ฮองเฮาสามครั้ง และคำนับอีกเก้าครั้ง แสดงความขอบคุณและซาบซึ้งในใจตนเองด้วยท่าทีหวาดกลัว
ฉินเสวี่ยเหลียนเห็นกิริยาของนางแล้วรู้สึกขายหน้าไม่น้อย นางยื่นมือออกมาเล็กน้อย หงซิ่วข้างกายก็ยกกล่องของขวัญใบใหญ่เดินเข้าไป
“ฮองเฮาเพคะ นี่คือปะการังหยกที่ท่านพ่อของหม่อมฉันได้มาจากพ่อค้าต่างแดน ได้ข่าวว่าฮองเฮาชอบเครื่องประดับหยก หม่อมฉันจึงตั้งใจนำมาถวายให้ฮองเฮาได้เชยชม”
ตอนนี้นางเพียงหมั้นหมายกับหมี่เซวียนเท่านั้น หากเรื่องที่นางท้องไม่ถูกเปิดโปง ไม่ช้าหรือเร็วนางก็ต้องได้เป็นชายาองค์รัชทายาท เพียงแค่ตอนนี้กลัวแต่ฮองเฮาจะตัดสินว่านางให้ท่า และลักลอบมีสัมพันธ์กับเขา จนนางไม่อาจกู้ชื่อได้อีก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือร่างกายของนางรอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จะรอให้ผู้คนดูออกว่านางท้องกับองค์รัชทายาทแล้วแต่งงานไม่ได้!
ปะการังหยกสูงครึ่งเมตรตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าฮองเฮา แสงสีแดงเรืองรองใสแจ๋วไร้ซึ่งสิ่งปนเปื้อน เป็นของชั้นยอดที่หาได้ยาก
ฮองเฮาลอบสังเกตกิริยาของบุตรีจวนมหาเสนาบดีสองคนตรงหน้าอยู่ในใจเงียบ ๆ
คนหนึ่งขี้กลัว คนหนึ่งสง่างาม ดูท่าอย่างไรเสียลูกสาวสายตรงก็คือลูกสาวสายตรง ลูกอนุจึงไม่อาจเทียบบารมีได้
ในเมื่อฉินเสวี่ยเหลียนคนนี้หมั้นหมายกับเซวียนเอ๋อร์แล้ว ช้าเร็วก็ต้องกลายเป็นชายาองค์รัชทายาท นางไม่อาจกัดไม่ปล่อยเรื่องที่ฉินเสวี่ยเหลียนท้องก่อนแต่ง อีกอย่างเซวียนเอ๋อร์เองก็ต้องการการสนับสนุนจากมหาเสนาบดีฉินในด้านราชการ ลูกสายตรงเป็นชายาองค์รัชทายาทก็ย่อมดีกว่าลูกอนุ
ตอนที่มหาเสนาบดีฉินเสนอให้ลูกอนุแต่งงานกับองค์รัชทายาทนางก็ไม่ได้เต็มใจนัก บัดนี้ถือว่าสมดั่งปรารถนาแล้ว
“อืม ไม่เลว” ฮองเฮาพยักหน้าเล็กน้อย
ฉินปู้เข่อยืนอยู่อีกด้าน ก้มหน้าไม่พูดจาและมองฉินเสวี่ยเหลียนด้วยสายตาเป็นกังวล นางทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างทว่าก็มิยอมเอื้อนเอ่ย ท้ายที่สุดแล้วดูเหมือนนางจะตัดสินใจได้จึงเอ่ยขึ้น “ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันขอรางวัลจากฮองเฮาสักอย่างได้หรือไม่เพคะ”
ฉินเสวี่ยเหลียนตกใจ เอื้อมมือไปกระตุกแขนเสื้อฉินปู้เข่อหยุดนางไม่ให้พูดต่อ มีอย่างที่ไหนกันเพิ่งได้พบฮองเฮาก็เอ่ยขอรางวัลเลย
เมื่อเงยหน้ามองก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ สีหน้าฮองเฮาที่เพิ่งจะดีขึ้นก็ดูย่ำแย่ลงอีกครั้ง
ฉินปู้เข่อคุกเข่าลงอย่างอ่อนช้อยพร้อมกล่าวว่า “ฮองเฮาเพคะ โปรดประทานที่นั่งให้ท่านพี่เถิดเพคะ ตอนนี้ท่านพี่ตั้งครรภ์อยู่ ไม่สมควรจะยืนนาน”
เมื่อนางพูดเช่นนี้ สีหน้าฮองเฮาก็อึมครึมลงกว่าเดิม
ฉินเสวี่ยเหลียนแทบอยากจะพุ่งเข้าไปตบปากของฉินปู้เข่อ นางคิดว่ายังว่าตนขายหน้าไม่พอใช่หรือไม่ กลัวคนนอกยังรู้ละเอียดไม่พอเหรอ นี่นางจงใจยั่วให้ฮองเฮาโกรธหรืออย่างไรกัน
ดูเหมือนฉินปู้เข่อจะไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าของฮองเฮา นางช้อนสายตาใสสกาวขึ้นและพูดเสียงแผ่วเบา “ฮองเฮาเพคะ ตอนนี้ท่านพี่ท้องลูกขององค์รัชทายาทอยู่ นี่เป็นลูกคนแรกขององค์รัชทายาท ฉะนั้นแล้วต้องดูแลให้ดี ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นพระโอรสด้วยเพคะ”
สีหน้ามืดมนของฮองเฮาฉายแววสดใสขึ้น นางไม่ได้เพิ่งอยากเป็นเสด็จย่าเท่านั้น อีกอย่างหากเป็นโอรสจริง ๆ ต้าเซี่ยก็จะมีหลานชายองค์แรกในราชวงศ์ เมื่อถึงตอนนั้นตำแหน่งทายาทของเซวียนเอ๋อร์ก็จะยิ่งมั่นคงกว่าเดิม
ถึงนางจะโกรธฉินเสวี่ยเหลียนที่หน้าไม่อายลอบมีความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาท แต่เมื่อคำนึงถึงเด็กในท้องแล้วนางก็ใจอ่อนลงเล็กน้อย
“พวกเจ้าจัดที่นั่งให้คุณหนูฉินด้วย”
ฉินเสวี่ยเหลียนคิดไม่ถึงว่าประโยคเดียวของฉินปู้เข่อ จะสามารถเอาใจฮองเฮาได้จนเปลี่ยนอารมณ์ ทำให้นางสบายใจขึ้นในบัดดล ดูท่าขอเพียงมีลูกในท้องอยู่ ฮองเฮาก็จะสนับสนุนให้นางได้เป็นชายาองค์รัชทายาท
หลังจากเดินออกมาจากโถงหลักตำหนักเฟิ่งเสียงแล้ว ฉินปู้เข่อเองก็เดินตามติดฉินเสวี่ยเหลียนมาไม่ห่าง และพูดด้วยความไม่สบายใจ “ท่านพี่เดินคนเดียวแบบนี้น้องไม่สบายใจเลย ให้น้องไปส่งท่านพี่ขึ้นรถม้าเถิด”
ฉินเสวี่ยเหลียนเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ย “ตั้งแต่น้องรองแต่งงานไปก็ฉลาดขึ้นเยอะเลยนะ วันนี้เจ้าทำได้ไม่เลว”
ฉินปู้เข่อพูดด้วยท่าทีนอบน้อม “น้องเป็นห่วงสุขภาพของท่านพี่จริง ๆ ถนนเส้นนี้มีหินกรวดเยอะเต็มไปหมด ท่านพี่เดินช้า ๆ ระวังขาจะพลิกเอาได้นะเจ้าคะ”
“เฮอะ ถ้าก่อนหน้านี้เจ้าฉลาดหน่อย หากรู้จักเอาอกเอาใจผู้อื่นบ้าง สมัยอยู่ที่จวนคงไม่ต้องโดนรังแกขนาดนั้นหรอก”
“ท่านพี่สั่งสอนได้ถูกแล้ว” ฉินปู้เข่อรับคำ บัดนี้พวกนางเดินมาถึงสวนดอกไม้เล็ก ๆ ด้านหน้าตำหนักเฟิ่งเสียงแล้ว
นางจงใจเดินให้ช้าลง หากลองคำนวณเวลาดูก็น่าจะถึงแล้ว
ฉินปู้เข่อเอียงคอเล็กน้อย หางตาเหลือบไปเห็นเงาสีแดงหม่น
นางพยุงแขนฉินเสวี่ยเหลียน และจงใจพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
“ท่านพี่ หลังจากพ้นวันนี้ไปแล้วท่านพี่ต้องทำตามที่สัญญาไว้กับน้องนะ”
ฉินเสวี่ยเหลียนผงะ “ข้าไปสัญญาอะไรกับเจ้า”
“ท่านพี่ ท่านบอกว่าขอเพียงข้าไม่พูดเรื่องที่ท่านใช้วสันตโอสถกับใคร และช่วยพูดเข้าข้างท่านพี่ต่อหน้าฮองเฮา ท่านก็จะให้แม่ใหญ่ทำดีกับท่านแม่ข้าไม่ใช่หรือ” ฉินปู้เข่อพูดออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน
“บัดนี้ข้าแต่งออกจากจวนมหาเสนาบดีแล้ว เหลือเพียงท่านแม่อยู่ในจวนแต่ผู้เดียว หากแม่ใหญ่ยังปฏิบัติกับท่านแม่เฉกเช่นแต่ก่อน…ท่านแม่…ร่างกายท่านแม่คงจะรับไม่ไหว…”
ฉินปู้เข่อกดเสียงให้แผ่วลง น้ำเสียงโศกเศร้าและน้ำตาบนหน้านั้นเข้ากันได้ดีอย่างไม่อาจหาที่เปรียบ
ในความทรงจำของนาง เจ้าของร่างและมารดาอนุหลัวมีชีวิตในจวนมหาเสนาบดีที่ยากลำบาก
ฮูหยินฉินปฏิบัติกับอนุหลัวและฉินปู้เข่อประหนึ่งสาวใช้ในจวน แม้แต่ที่อยู่อาศัยยังอยู่ที่ห้องพักรวมของสาวใช้
เพื่อเลี้ยงดูฉินปู้เข่อให้ดี อนุหลัวทำงานที่ฮูหยินฉินสั่งมาแต่เพียงผู้เดียว เพียงเพื่อให้ฉินปู้เข่อรักษามือสองข้างของตัวเองไว้ ไม่ให้นางมือสากตั้งแต่อายุยังน้อย
ฉินเสวี่ยเหลียนถลึงตาใส่ฉินปู้เข่อ “วสันตโอสถอะไรกัน เจ้าอย่ามาพูดเหลวไหลในวังเช่นนี้นะ ขืนบังอาจพูดซี้ซั้วอีกข้าจะฉีกปากเจ้าให้ขาดเป็นชิ้น ๆ เลย”