ตอนที่ 50 พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
ยิ่งกว่านั้นคือบัดนี้มีผู้พบเห็นหลายคน จึงเป็นโอกาสดีที่เหล่านางกำนัลจะแพร่กระจายข่าว
ในห้องโถงใหญ่ เมื่อฉินชิงเหยียนปรากฏตัวข้างกายฮูหยินฉินด้วยใบหน้าอันบวมแดง ฮูหยินฉินก็โกรธจัด
คิดไม่ถึงเลยว่าฉินปู้เข่อจะลองดีกับนาง เสวี่ยเหลียนถูกไล่ออกจากเมืองหลวงก็เพราะนาง แล้วชิงเหยียนก็ถูกนางรังแกในวันนี้!
ดูเหมือนว่าการลงโทษในวันคืนเหย้าวันนั้นจะเบาเกินไป!
ฮูหยินฉินหาข้ออ้างตามฉินชิงเหยียนไปยังโถงทิศตะวันตก
นางเหลือบมองฉินชิงเหยียนระหว่างเดินไป นางต้องการหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าจึงพูดว่า “พ่อของเจ้าต้องการให้เจ้าอวดโฉมของเจ้าต่อหน้าอ๋องจั่วเสียน แต่ดูใบหน้าของเจ้าตอนนี้สิว่าเจ้าจะยังอวดโฉมได้อีกหรือไม่ ในอดีตที่ผ่านมาเจ้ากับเสวี่ยเหลียนรังแกสตรีผู้นั้นในตำหนักอยู่เป็นประจำ ทว่าบัดนี้เจ้ากลับถูกนางตบ ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!”
ในโถงทิศตะวันออก มีคนแจ้งเหตุและผลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้หมี่โม่หรู่ทราบแล้ว
ตั้งแต่วาจาหยาบคายของฉินชิงเหยียนที่มีต่อฉินปู้เข่อในตอนเริ่มต้น ไปจนถึงปฏิกิริยาของฉินปู้เข่อและคำพูดของลู่ชูอี้ เรื่องราวทั้งหมดลอยเข้าหูของหมี่โม่หรู่คำต่อคำ
“น้องเจ็ด เจ้าไม่ไปดูหน่อยหรือ?” หมี่ฉงกล่าวด้วยความกังวลเล็กน้อย “น้องสะใภ้ของข้ามีพละกำลังมาก นางจึงไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องการต่อสู้ แต่ฮูหยินฉินแก่แล้ว…”
“พี่ชายสาม ท่านต้องการเดิมพันกับข้าหรือไม่” หมี่โม่หรู่เริ่มสนุก “หากแม่นางเข่อขับไล่ฮูหยินฉินและฉินชิงเหยียนออกไปได้ ท่านจะต้องพานางไปกินปูขนที่หมิงเทาเยี่ยน หากแม่นางเข่อพ่ายแพ้…”
“ข้าพนันได้เลยว่าน้องสะใภ้ของข้าจะพ่ายแพ้!” หมี่ฉงเอ่ยตัดบท
เขาได้รู้มาบ้างเกี่ยวกับชีวิตของฉินปู้เข่อและแม่ของนางในจวนมหาเสนาบดี อายุฮูหยินฉินเท่านี้แล้วและการจัดการภายในจวนนั้นไม่ธรรมดา แม้ว่าน้องสะใภ้จะฉลาดแต่ก็คงไม่อาจรอดพ้นจากความโหดร้ายของหญิงชราได้
“พระชายาหลี่ชินยิ่งใหญ่นักหรือ!” ฮูหยินฉินเข้ามาส่งเสียงทันทีที่นางก้าวเข้าไปในประตูโถงทิศตะวันตก นางส่งเสียงดังพร้อมเดินไปหาฉินปู้เข่อเพื่อคว้าข้อมือของหญิงสาวเอาไว้
“โอ้ ที่แท้ก็เป็นฮูหยินฉินมาเอง” ฉินปู้เข่อขยับตัวหนีเพื่อหลบมือของนางอย่างว่องไวแล้วยกยิ้มสดใส “หากท่านมีเรื่องอะไรจะพูดก็พูดมาที่นี่ ข้าไม่คิดจะออกไปพูดคุยกับท่านข้างนอก”
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่นางถูกหญิงชราใช้ ‘ดอกเหมยหมื่นจุด’ ฟาด บัดนี้เพียงแค่เห็นหลังของฮูหยินฉิน นางก็รู้สึกราวกับว่ามีเข็มทิ่มแทงร่างกายของนางเสมอ
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อสักครู่นี้พระชายาหลี่ชินตบหน้าชิงเหยียน ข้าอยากถามพระชายาว่าเพราะเหตุใด!”
ฉินปู้เข่อมองฮูหยินฉินด้วยความขบขัน ดูเหมือนว่าฉินชิงเหยียนจะบอกแค่เพียงว่านางถูกตบหน้า แต่ไม่ได้บอกฮูหยินฉินว่าเพราะเหตุใดนางจึงถูกตบหน้า
“ท่านป้า ข้าเกรงว่าท่านจะถูกลูกสาวของตนเองใช้เป็นเครื่องมือ ข้าทำไปเพราะคำนึงถึงจวนมหาเสนาบดีและท่านพ่อของข้าทั้งสิ้น หากข้าไม่บอกให้น้องสามหุบปากเสีย นางก็อาจจะทำให้จวนมหาเสนาบดีถูกโจมตีได้”
ฮูหยินฉินมองกลับไปที่ฉินชิงเหยียนที่ยืดตัวขึ้นทันทีแล้วพูดอย่างไม่มั่นใจ “ท่านแม่ ข้าจะทำบางสิ่งที่เป็นอันตรายต่อจวนมหาเสนาบดีได้อย่างไร แต่มันเป็นเพราะนางต่างหากที่ใส่ร้ายพี่สาวของข้าและทำให้จวนมหาเสนาบดีอับอายขายหน้า!”
ฉินปู้เข่อย่างเท้าดอกบัวก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า บนใบหน้าของนางประดับไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย แต่ดวงตาของฉินชิงเหยียนกลับสงบนิ่ง
“ในเมื่อน้องสามยังไม่รู้ตัว ก็ให้พี่สาวของเจ้าได้บอกว่าเจ้าทำผิดอะไร! ข้าผู้นี้เป็นพระชายาของท่านอ๋อง แต่ลูกสาวคนที่สามของตระกูลมหาเสนาบดีอย่างเป็นทางการของท่านสั่งให้คนรับใช้มาตบข้า สิ่งนี้คือความผิด!”
เมื่อนางพูดจบฮูหยินฉินก็เย้ยหยันนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม่ลูกสามคนนี้คุ้นเคยกับการกลั่นแกล้งรังแกฉินปู้เข่อในจวน พวกนางจึงเลิกปฏิบัติต่อนางในฐานะมนุษย์มานานแล้ว ดังนั้นการใช้ให้คนรับใช้มาตบนางจึงถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก
เมื่อฉินปู้เข่อเห็นว่านางไม่สนใจสิ่งที่ตนพูดเลยก็ไม่โกรธและยังคงพูดช้า ๆ ต่อไปว่า “อ๋องหลี่ชินเป็นสายเลือดดั้งเดิมของราชวงศ์ เป็นองค์รัชทายาทอันดับที่เจ็ดของฮ่องเต้ ที่เจ้าบอกว่าอ๋องหลี่ชินเป็นอ๋องที่ไม่มีผู้ใดโปรดปราน แสดงว่าเจ้ากำลังพยายามยั่วยุให้ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับท่านอ๋องร้าวฉาน หรือว่ามีคนสั่งให้เจ้าพูดเช่นนั้น?!”
ร่างกายของฉินชิงเหยียนสั่นสะท้าน ความจริงที่ว่าท่านอ๋องไม่ได้รับความโปรดปรานจากผู้ใดนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันดีในกลุ่มราชวงศ์และขุนนาง ทุกคนต่างหัวเราะเยาะท่านอ๋องมานานแล้วและไม่มีใครเคยรู้สึกว่าไม่เหมาะสม
ดังนั้นวันนี้นางจึงพูดออกมาอย่างเป็นปกติ แต่บัดนี้นางเข้าใจถึงอันตรายเบื้องหลังประโยคนี้แล้ว ไม่ว่านางจะโง่เง่าเพียงใดก็ตาม
ฉินปู้เข่อเดินไปรอบตัวฉินชิงเหยียนอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินเข้าไปกระซิบที่หูของฮูหยินฉิน “ท่านป้า ท่านคิดว่าฮ่องเต้และขุนนางทุกคนจะทำอย่างไร หากคิดว่าท่านพ่อหรือคนในจวนมหาเสนาบดีกล้าพูดถึงอ๋องหลี่ชินเช่นนี้”
ฮูหยินฉินก้าวถอยหลังไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว นางรู้ดีถึงผลที่จะตามมาจากประโยคที่ว่า ‘อ๋องที่ไม่มีผู้ใดโปรดปราน’ ที่ปรากฏขึ้น แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่โปรดปรานอ๋องผู้นี้จริง ๆ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นจะพูดถึงเรื่องนี้
ฉินปู้เข่อเดินไปข้างกายของฉินชิงเหยียนแล้วตบไหล่นางเบา ๆ นางตัวสั่นงันงกราวกับตะแกรงที่ใช้ร่อนแกลบ
“น้องสามอย่าตัวสั่นไปเลย ความผิดประการที่สามก็คือ อ๋องหลี่ชินไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังเพราะร่างกายของท่านอ่อนแอ ที่ฮ่องเต้ไม่เชิญท่านมาเป็นเพราะความเห็นอกเห็นใจที่อ๋องหลี่ชินเหนื่อยง่าย ที่เจ้าบอกว่าฮ่องเต้ไม่ทรงเชิญอ๋องหลี่ชินมางานเลี้ยงในพระราชวังมาเป็นเวลาสิบปีแล้วเป็นเพราะอ๋องหลี่ชินเป็นผู้พิการ ถือเป็นการหยามหมิ่นราชวงศ์โดยเจตนา!”
“ด้วยความผิดทั้งสามประการนี้ ไม่ต้องพูดถึงการที่ข้าตบหน้าเจ้าหรอก เพราะไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่ข้าจะขับไล่เจ้าออกจากจวนมหาเสนาบดี แล้วสั่งให้เจ้าถูกจองจำและถูกเนรเทศ!” เมื่อกล่าวจบฉินปู้เข่อก็ดูน่าเกรงขามมาก
นางรู้สึกขอบคุณละครตบตีกันในวังที่นางเคยดูในชาติก่อนเงียบ ๆ ในใจ เพราะมันทำให้นางเข้าใจและจดจำน้ำเสียงและท่าทางของ ‘องค์ชายองค์หญิง’ ได้อย่างแม่นยำ
“เป็นไปไม่ได้…” ฮูหยินฉินขยับนิ้วเย็นไปมาด้วยความเกรงกลัว ก่อนจะแค่นยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ชิงเหยียนยังเด็กนัก เจ้าก็รู้ว่านางนิสัยเสียตั้งแต่เด็กตอนอยู่ในจวน นางพูดไม่คิดเลย บัดนี้เจ้าเป็นพระชายาแล้วก็อย่าได้ลดตัวมาเปรียบเทียบกับเด็กอย่างนางเลย”
………………………………………………………………………….