สำรับมนตราของชายาอ๋อง [戏精王妃的魔力美食屋] – บทที่ 71 สมองของเขาพังไปแล้ว

สำรับมนตราของชายาอ๋อง [戏精王妃的魔力美食屋]

บทที่ 71 สมองของเขาพังไปแล้ว

ทันทีที่ผ้าพันแผลถูกฉีกออกก็มีเนื้อบางส่วนติดออกมาด้วย ฉินปู้เข่อก้มศีรษะลงแล้วกัดริมฝีปากแน่น น้ำตาเริ่มไหลรินออกมาอีกครั้ง

นางไม่ใช่คนชอบร้องไห้จริง ๆ แต่ครานี้นางไม่อาจส่งเสียงร้องออกมาได้ ดังนั้นจึงไม่อาจหาวิธีบรรเทาความเจ็บปวดได้นอกจากการหลั่งน้ำตา

“หากมันเจ็บ เจ้าก็ร้องออกมาเถิด” หมี่โม่หรู่มองเหงื่อเย็นที่ไหลซึมออกมาจากหน้าผากของนางแล้วพูดอย่างผ่อนคลาย

วินาทีถัดมาคนตรงหน้าของเขาก็ยืดตัวขึ้นทันที และแม้แต่น้ำตาบนใบหน้าก็พยายามกลั้นเอาไว้อย่างหนัก

ราวกับจะบอกเขาด้วยการกระทำว่าไม่รู้สึกเจ็บ

“เจ้า…” หมี่โม่หรู่ก้มศีรษะลงเพื่อทำแผลแล้วนึกถึงคำพูดของนาง “เมื่อสักครู่เจ้าตะโกนเสียงดังเกินไปหรือไม่ เจ็บจนไม่อาจส่งเสียงได้แล้วหรืออย่างไร?!”

อืม นั่นเป็นเหตุผลที่ดี

ฉินปู้เข่อพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเอามืออีกข้างจับคอของตนเพื่อแสดงว่านางเจ็บคอเพราะการตะโกนดังเกินไปจริง ๆ

“ข้าจะขอให้หมอหลวงในตำหนักช่วยตรวจคอของเจ้า แล้วสั่งยาแก้เจ็บคอให้สองขนาน” หมี่โม่หรู่ทายาแล้วเป่าลมเย็นลงบนแผลเบา ๆ เพื่อบรรเทาการระคายเคืองแผลเพราะยา

ฉินปู้เข่อส่ายหัวอย่างรุนแรงอีกครั้ง เสียงของนางปกติดี แต่คงจะไม่ดีหากหมอหลวงเห็นความผิดปกติ

โชคดีที่หมี่โม่หรู่ไม่ได้ตั้งใจจะเจาะลึกเรื่องนี้

“หากไม่ต้องการให้ตรวจก็แค่พักผ่อนในตำหนักสักสองสามวัน รอจนกว่าเจ้าจะส่งเสียงได้แล้วค่อยออกไป”

ฉินปู้เข่อไม่ได้ตระหนักถึงความผิดปกติในประโยคนี้ นางพยักหน้าแล้วเม้มริมฝีปากและมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังทายาให้นาง

นี่เป็นการตบหัวแล้วลูบหลังใช่หรือไม่ เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าทุกครั้งที่เขาโกรธโดยไม่มีเหตุผลแล้วเขาจะปฏิบัติต่อนางอย่างดี

เอ่อ…

ไม่ใช่ทุกครั้งที่ไม่มีเหตุผล อย่างไรก็ตามสองสามครั้งแรกนางเป็นฝ่ายยั่วยุเขาก่อน ตอนแรกเขียนจดหมายหย่า จากนั้นก็ถูกจับได้ว่าแอบปีนกำแพงแล้วก็มาถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน

แต่ดูเหมือนหมี่โม่หรู่จะเรรวนอยู่เสมอ นางจึงไม่รู้ว่าจะเผลอพูดอะไรยั่วยุเขาอีกหรือไม่

ฉินปู้เข่อมองแผงขนตางอนหนาของเขา และทันใดนั้นก็รู้สึกถึงร่องรอยของความคับข้องใจในหัวใจของตน

ช่างน่าหงุดหงิดนัก เห็นได้ชัดว่าเขาคิดผิดแต่สุดท้ายนางก็กลายเป็นใบ้

“ยังโกรธอยู่หรือ?” หมี่โม่หรู่ถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง

“คราวนี้ข้าเข้าใจเจ้าผิด ข้าคิดว่าปิ่นปักผมสีทองเป็นของหมั้นที่อ๋องจั่วเสียนมอบให้เจ้า”

ฉินปู้เข่อจ้องกระหม่อมของชายตรงหน้านางและไร้ปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะหนึ่ง

ชายผู้นี้กำลังแสร้งทำเป็นขอโทษนางหรือไม่?! นางหูหนวกตาบอดหรือ?!

ดังนั้น…

ฉินปู้เข่อตกตะลึงอีกครั้ง เขาหึงหวงจึงขว้างปิ่นปักผมทิ้งอย่างไม่มีเหตุผลหรือ?!

“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นข้าได้ตั้งกฎให้เจ้าแล้ว ข้าบอกให้เจ้าเป็นกุลสตรีและอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับชายอื่นตามใจชอบ” เสียงของหมี่โม่หรู่ขัดจังหวะภวังค์ของฉินปู้เข่อ

ฮ่า ฮ่า

นางเข้าใจว่าเขาโกรธนางเพียงเพราะเขารู้สึกว่านางไม่เชื่อฟัง และท้าทายอำนาจของท่านอ๋องเช่นเขา

ฉินปู้เข่อไม่อาจละสายตาที่ประหลาดใจเล็กน้อยของนางกลับคืนมาได้ และกลอกตาไปมาสองสามครั้ง

“แต่วันนี้ข้าจะพูดบางอย่างและข้าหวังว่าพระชายาจะจำมันไว้” เมื่อแผลได้รับการทำความสะอาดแล้ว หมี่โม่หรู่ก็ดึงแขนเสื้อของนางลงปิดบาดแผลอย่างอ่อนโยน

เอ๋? ฉินปู้เข่อเหลือบมองหมี่โม่หรู่อย่างสงสัย วันนี้เขาจะพูดอะไร

“ในเมื่อช่วงสองสามวันนี้เจ้าไม่อาจออกไปไหนได้ ดังนั้นก็ให้นางกำนัลของตำหนักชั้นในมอบหน้าที่จัดการตำหนักชั้นในให้เจ้า” หมี่โม่หรู่หยิบถ้วยชาขึ้นจิบ “ผ่านไปหลายวันแล้วตั้งแต่ที่เจ้าเข้ามาในตำหนัก เนื่องจากเจ้าเป็นพระชายาจึงต้องดูแลกิจการของตำหนักชั้นใน”

ฉินปู้เข่อจ้องเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“ช่วงสองสามวันนี้ลองคิดดูด้วยตัวเองแล้วกัน หากเจ้าไม่เข้าใจอะไรบางอย่างก็สามารถถามนางกำนัลของตำหนักชั้นในเมื่อเจ้าพูดได้”

เมื่อพูดจบหมี่โม่หรู่ก็เคาะโต๊ะเบา ๆ แล้วประตูก็เปิดออกและอู๋เหินก็เดินเข้ามา

“ช่วงนี้ต้องใส่ใจบาดแผลและห้ามเปียกน้ำอีก”

คนผู้นั้นไปไกลแล้ว และฉินปู้เข่อไม่อาจโต้ตอบได้อย่างเต็มที่

คนผู้นี้มอบการจัดการลานด้านในของตำหนักให้นางหรือ?

เขาเลิกหวาดระแวงนางแล้วหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าการขว้างปิ่นปักผมสีทองของนางในวันนี้เป็นขั้นตอนการทดสอบครั้งสุดท้าย?!

“พระชายา” ซวงหวนยื่นมือออกไปแล้วส่ายหน้า “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือเพคะ?”

ฉินปู้เข่อมองกลับไปที่ซวงหวนแล้วจับมือของนางอย่างหงุดหงิด และสัมผัสใบหน้าที่บวมของนางเบา ๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลและเปียกโชกไปด้วยน้ำตาตั้งแต่แรก

หมี่โม่หรู่ทำร้ายนางหรือ!

ฉินปู้เข่อกัดแก้มของนาง ชายผู้นี้ปลิ้นปล้อนเกินไป!

“อู๋เยว่ตบข้าน้อยและท่านอ๋องได้ให้บทเรียนแก่นางแล้วเพคะ” ซวงหวนปลอบโยนนางแผ่วเบา “ข้าน้อยควรเอาผ้ามาประคบเพคะ”

ฉินปู้เข่อเริ่มสับสนอีกครั้ง หมี่โม่หรู่สอนบทเรียนอู๋เยว่เพื่อช่วยซวงหวนหรือ?!

วันนี้สมองของคนผู้นี้พังเพราะเสียงของนางใช่หรือไม่?

เป็นเวลาสามวันติดต่อกันแล้วที่ฉินปู้เข่อนั่งอยู่ใกล้กำแพงสวนเฉินอวี้โดยมีถาดใส่ธัญพืชอยู่ในมือทุกวัน นางมองขึ้นไปที่ต้นไม้โค้งบนรั้วพลางกินเมล็ดแตงโมด้วยความงุนงง

และทันทีที่นางตื่นลืมตาขึ้น นางก็สั่งให้ซวงหวนย้ายเก้าอี้ไปวางไว้ตรงนั้นตั้งแต่เช้าจรดค่ำราวเจ็ดหรือแปดชั่วยามต่อวัน

เนื่องจากนางพูดไม่ได้ ลานในสวนเฉินอวี้จึงเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ซวงหวนมองฉินปู้เข่อที่โดดเดี่ยวและอ้างว้างเล็กน้อยบนเก้าอี้ และสาปส่งเจ้านายของนางหลายร้อยครั้งในใจว่าเป็น “คนไร้หัวใจ!”

ในความเห็นของนาง เป็นเพราะท่านอ๋องสร้างปัญหาอย่างไม่มีเหตุผลและทำให้พระชายาต้องโศกเศร้า มิฉะนั้นพระชายาจะนิ่งเงียบอยู่สามวันและไร้ซึ่งอารมณ์ร่าเริงได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ซวงหวนก็ไปเติมชาร้อนให้ฉินปู้เข่ออีกครั้ง และยื่นให้กับนางอย่างขะมักเขม้น “พระชายาเพคะ เมล็ดแตงโมมีฤทธิ์ร้อนเกินไป ดื่มชาเยอะ ๆ เถิดเพคะ”

ฉินปู้เข่อจิบชาแล้วถอนหายใจยาวในใจ

เอ๊ะ…

หากคืนนั้นนางปีนขึ้นไปบนต้นไม้โค้งงอนี้ได้ นางคงเดินทางไปทั่วโลกอย่างอิสระด้วยดาบของนางนานแล้ว และนางจะไม่จำเป็นต้องกิน ‘สายไหมทะลุกำแพง’ และไม่ต้องถูกบังคับให้เสียเสียงไปเป็นเวลาสามวัน

วันที่ข้าพูดไม่ได้ช่างเงียบสงัดและเจ็บปวดเสียจริง

ดวงตะวันค่อย ๆ ลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก ลมเย็นพัดโชยผ่านมายามเย็น ทำให้ใบไม้จากต้นไม้โค้งปลิดปลิวไปตามสายลม

เมื่อลมเริ่มกระโชกแรง ฉินปู้เข่อก็เหลือบมองและใส่เมล็ดแตงโมสองเม็ดสุดท้ายไว้ในมือของนาง จากนั้นก็ถ่มเปลือกแตงโมลงบนพื้นในลักษณะที่ไม่เหมาะสม

“เอาเมล็ดแตงโมมาให้ข้าอีก”

ในที่สุดก็ครบเจ็ดสิบเจ็ดชั่วยามแล้ว แทบขาดใจตาย!

ซวงหวนรีบหยิบเมล็ดแตงโมออกมาอีกกล่อง ฉินปู้เข่อหยิบขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเดินออกจากสวนเฉินอวี้

“พระชายา ท่านจะออกไปข้างนอกหรือเพคะ?” ซวงหวนวางกล่องเมล็ดแตงโมในมือลงแล้ววิ่งออกไปกับนาง

ฉินปู้เข่อยืนอยู่บนทางเดินฝั่งขวาของสวนเฉินอวี้แล้วมองขึ้นไปที่ต้นไม้เหนือหัวของนาง ต้นไม้ต้นนี้ควรจะเป็นสายพันธุ์เดียวกับต้นไม้โค้งนอกรั้วและยังคงเขียวชอุ่มในฤดูใบไม้ร่วง

“หวนหวนน้อย ข้าต้องทำอย่างไรหากต้องการเชิญคนมาที่ตำหนักในฐานะแขก”

“ท่านเพียงแค่ส่งเทียบเชิญไปเพคะ”

ฉินปู้เข่อหันไปมองซวงหวนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ช่วยข้าส่งเทียบเชิญไปให้แขกตอนนี้เลย”

“ตอนนี้หรือเพคะ? ปกติแล้วจะต้องส่งเทียบเชิญล่วงหน้าหนึ่งวัน จากนั้นแขกจะมาหาในเช้าวันรุ่งขึ้นเพคะ”

ฉินปู้เข่อบุ้ยปากแล้วเอ่ยว่า “ข้าต้องการชวนใครสักคนมารับประทานอาหารเย็น หลังอาหารเย็นเราก็จะเล่นไพ่นกกระจอกและพูดคุยกัน วันเล็ก ๆ นี้ช่างสมบูรณ์แบบ”

………………………………………………………………………..

สำรับมนตราของชายาอ๋อง [戏精王妃的魔力美食屋]

สำรับมนตราของชายาอ๋อง [戏精王妃的魔力美食屋]

Status: Ongoing
เธอแค่ออกมาหาอะไรกินแก้หิวตอนดึก แต่อยู่ดี ๆ ก็ทะลุมิติและฟื้นขึ้นมาพบว่าตนเองอยู่ในร่างของชายาอ๋องขี้โรคผู้อ่อนแอ ไหนจะระบบบ้า ๆ ที่ติดตัวมาอีกหญิงสาวที่ออกมาหาอะไรกินยามค่ำคืน จู่ ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุทะลุมิติมายังยุคจีนโบราณเมื่อฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในร่างของ ‘ฉินปู้เข่อ’สตรีที่งดงามและปราดเปรื่องอันดับหนึ่งแห่งต้าเซี่ย ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงว่าที่พระชายาขององค์รัชทายาท แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจับพลัดจับพูลได้แต่งงานกับ ‘หมี่โม่หรู่’ อ๋องเจ็ดผู้ขี้โรคแทนการทะลุมิติครั้งนี้นางไม่ได้มาตัวเปล่า แต่มาพร้อมกับ ‘ระบบวิเศษ’ ที่เมื่อเก็บแต้มได้ตามเป้าหมายจะสามารถแลก ‘อาหาร’ วิเศษไว้ใช้ในยามคับขัน

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท