กลิ่นเหมือนกระดาษทองจุดเพลิง
ถึงแม้ว่าร่างกายของหมี่เฉินอี้จะสะอาดสะอ้าน และบนมวยผมของฝูหลิงจะไม่มีผงกระดาษจุดเพลิงสีทองหลงเหลืออยู่ก็ตาม แต่กลิ่นของพวกเขากลับเหมือนมันไม่มีผิด
วันนี้ลมค่อนข้างแรง กลิ่นของฝูหลิงกับหมี่เฉินอี้จึงชัดเจนมากขึ้นภายใต้ลมหนาวที่พัดผ่านไปมาถึงสองสามครั้ง
โดยเฉพาะหมี่เฉินอี้ หากนางไม่ได้พุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ฉินปู้เข่อคงไม่มีวันได้กลิ่นเหล่านี้ หากนางก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังเขาเพียงอย่างเดียว
มันช่วยไม่ได้ที่นางดันมีจมูกรับกลิ่นเหมือนสุนัข
ฉินปู้เข่อกางผ้าเช็ดหน้าในมือออก และพร้อมที่จะอ่านข้อความบนกระดาษต่อไป
กระดาษแผ่นนั้นถูกไฟเผาจนมอดไหม้ และตัวอักษรที่อยู่บนกระดาษมีขนาดเล็กมาก มีเพียงคำว่า ‘หมี่’ เท่านั้นที่ยังคงไม่จางหายไป ขณะที่คำสองคำที่ถัดมานั้นช่างเลือนรางเหลือเกิน
เอ่อ…
ให้ตายเถิด
แล้วกระดาษล่ะ
นางไม่ทันได้ซ่อนมันไว้ในแขนเสื้อ เพียงแต่รีบยัดกระดาษแผ่นนั้นเข้าไปในผ้าเช็ดหน้าอย่างร้อนรน มันจะปลิวหายไปได้อย่างไร!
หมี่เฉินอี้ที่อยู่บนรถม้าอีกคันหนึ่งคลี่กระดาษที่ถูกไฟไหม้อีกครึ่งหนึ่งออกมาจากมือของเขา ก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
สาวน้อยผู้นั้นช่างแสร้งทำตัวโง่เขลาได้เก่งนัก แต่ก็ไม่รู้ว่านางจะสามารถแสดงแบบนี้ไปได้นานอีกแค่ไหน ดูเหมือนว่าการไปที่พระราชวังน้ำพุร้อนครั้งนี้จะสนุกยิ่งขึ้นเสียแล้ว
เมื่อฉินปู้เข่อกลับมาที่วัง นางก็ลืมเกี่ยวกับกลิ่นของกระดาษทองจุดเพลิงและกระดาษที่มอดไหม้ไปจนหมดสิ้น นางไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ได้ จึงรีบวิ่งไปที่หอสมุดเพื่อรับคำชมเชยจากหมี่โม่หรู่
วันนี้นางได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในตำหนักถังหลี และนางอาจจะได้เป็นผู้โปรดปรานของพระสนมเสียนผินอีกครั้งในอนาคต
นางได้กล่าวทักทายพระสนมเสียนผินเป็นครั้งที่สองในงานเลี้ยงอันเลื่องชื่อย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ครั้งนั้นนางได้กลิ่นของพระสนมเสียนผินอย่างชัดเจน แม้ว่าพระสนมเสียนผินจะใช้ผงแป้งจำนวนมากกลบกลิ่นกายอย่างจงใจก็ตาม แต่นางกลับยังคงได้กลิ่นกายลอยออกมา
นางมีเค้กกำมะหยี่สีแดงอยู่ในระบบที่มีคุณสมบัติช่วยกลบกลิ่นตัว แต่เนื่องจากมันมีราคาสูงมาก นางจึงไม่สามารถสะสมความนิยมเลิศรสเพื่อซื้อมันได้เสียที
หลังจากที่ซือต๋ากับฮูหยินฉินกินน้ำตาลดำปลูกขนเข้าไปแล้ว ความนิยมของนางก็ทะยานขึ้น จนนางสามารถซื้อเค้กก้อนนี้ได้สำเร็จ และวันนี้ที่นางได้เข้าไปยังพระราชวัง นางจึงวางแผนที่จะไปเยี่ยมเยียนพระสนมเสียนผินที่ตำหนักถังหลีและเอาเค้กก้อนนี้ไปให้พระสนมโดยตรง
“หม่อมฉันบังเอิญเจอท่านอาฝูหลิงหลังจากออกมาจากตำหนักเหลียนหลีเพคะ หม่อมฉันนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่นานแล้ว จึงขอติดตามท่านอาฝูหลิงไปที่ตำหนักถังหลีด้วย…” ฉินปู้เข่อเพิ่งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตำหนักเหลียนหลีจบ และกำลังจะเข้าสู่ประเด็นสำคัญ
ทว่าหมี่โม่หรู่ที่กำลังฟังเรื่องราวที่นางเล่าด้วยท่าทีนิ่งสงบและอารมณ์ดี กลับกลายเป็นเย็นชาขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่คาดคิด “วันนี้ใครปล่อยให้เจ้าเข้าไป”
ฉินปู้เข่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ผิดแปลกไป และน้ำเสียงของนางก็แผ่วเบาลงเล็กน้อย “หม่อมฉันแค่เดินผ่าน…”
นางไม่ค่อยเห็นหมี่โม่หรู่เย็นชาและพูดชัดถ้อยชัดคำแบบนี้ เพราะตั้งแต่ที่นางพยายามหลบหนีและเอ่ยถึงจดหมายหย่า หมี่โม่หรู่ก็ดูสงบขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“แล้วใครอนุญาตให้เจ้าไปเข้าเฝ้านาง”
ฉินปู้เข่อจ้องมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า “ท่านไม่ได้รับสั่งหม่อมฉันว่าไม่ให้ไปเข้าเฝ้านางนี่เพคะ! นอกจากนี้นางก็เป็นเสด็จแม่ของท่านและเป็นแม่พระสวามีของหม่อมฉันนะเพคะ จะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ!”
เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ดูเหมือนว่านอกจากงานเลี้ยงอันเลื่องชื่อย่างฤดูใบไม้ผลิแล้ว หมี่โม่หรู่ก็ไม่เคยริเริ่มไปเข้าเฝ้าพระสนมเสียนผินที่พระราชวังเลย แม้แต่ตอนที่มีพิธีเสกสมรส นางก็เป็นคนเดียวที่เข้าร่วมพิธีทางการ
แม้ว่าทัศนคติของหมี่โม่หรู่ที่มีต่อพระสนมเสียนผินครั้งเมื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังจะค่อนข้างสุภาพอ่อนน้อม รู้จักวางตัว ทั้งที่ตามจริงกลับดูเฉยเมยยิ่งนัก
“เอาล่ะ คราวหน้าเจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังตำหนักถังหลีอีก นอกจากจะได้รับอนุญาตจากข้า” บรรยากาศรอบตัวของหมี่โม่หรู่ดูเย็นชายิ่งนัก ก่อนที่เขาจะย้อนคิดกลับไปถึงความเศร้าหมองในอดีต
ฉินปู้เข่อหมดความสนใจที่จะพูดต่อ และเดินลอดช่องออกจากสวนชิงอวี้ไป
“ก็ไม่รู้ว่าท้องฟ้าจะส่องสว่างหรืออับแสง ใครจะไปรู้เล่าว่าประโยคนั้นจะกลายเป็นฟ้าผ่า!” นางไม่ชอบที่สีหน้าของหมี่โม่หรู่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ซึ่งนั่นทำให้นางรู้สึกราวกับว่านางกำลังเดินขึ้นไปบนป่าทึบในภูเขาที่เต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้องที่ซ่อนอยู่ โดยไม่สามารถรู้ได้เลยว่าประโยคไหนจะไปจุดชนวนอารมณ์ของเขา
‘วันนี้’ อีกแล้ว วันนี้คือวันอะไรกันแน่
ฉินปู้เข่อคิดเกี่ยวกับคำพูดของหมี่โม่หรู่และพึมพำกับตนเอง ทำไมวันนี้แม่หญิงทั้งหลายถึงได้แปลกประหลาดนักนะ
“น้องสะใภ้กลับมาจากวังเร็วจังนะ” หมี่ฉงตะโกนดังลั่นมาจากระยะไกล ครั้นเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปเข้าปากทางเข้าของสวนเฉินอวี้
ดวงตาของฉินปู้เข่อเป็นประกาย และกวักมือเรียกหมี่ฉงให้เข้ามา
“เสด็จพี่สาม หม่อมฉันอยากถามสักหน่อยเพคะ วันนี้คือวันอะไรหรือ”
หมี่ฉงวางมือลงบนไหล่ของนาง และกล่าวว่า “วันครบรอบหนึ่งร้อยห้าสิบวันที่เจ้าแต่งงานเข้าตำหนักอ๋องหลี่ชิน? หรือว่า…”
หมี่ฉงจ้องมองมาที่หน้าท้องของฉินปู้เข่อ และกล่าวออกมาแกล้มหยอกล้อ “เป็นวันที่เจ้ากำลังจะให้ข้ากลายเป็นเสด็จลุง”
“ให้ตายเถอะ จริงจังหน่อยสิเพคะ!” ฉินปู้เข่อจ้องมองเขาและเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะมองสำรวจรอบข้างและเอนตัวเข้าไปหาเขา “วันนี้ใครตายหรือเพคะ”