เมื่อเห็นว่าปากของคนตรงหน้ากำลังขยับเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ฉินปู้เข่อก็ตบหน้าหมี่เฉินอี้
“ท่านยังจะมาทำนิสัยเช่นนี้อยู่อีกหรือ? เมื่อท่านต้องการบางอย่างจากหม่อมฉันก็พูดตามตรงเลยสิ ท่านจะทำหน้าตาเจ้าเล่ห์นี้เช่นนี้ให้ใครดู?!”
นางยกมือขึ้นแล้วชี้ไปรอบ ๆ “ท่านคิดว่าข้าตาบอดหรือ ที่นั่น ที่นั่น ที่นั่นและที่นั่น รวมทั้งถนนสองสายที่เข้าสู่ตำหนักเฮ่อเจียงล้วนมีคนของท่านอยู่บนต้นไม้ใหญ่ทุกต้น มีสายตาหลายคู่จับจ้องมา แต่ข้าอึดอัดเกินกว่าจะโต้ตอบ!”
ไม่ว่าหมี่เฉินอี้จะใจเย็นเพียงใด แต่ขณะนี้เขาก็ยังไม่อาจใจเย็นได้
คนของเขาทุกคนชำนาญเรื่องพรางตัวโดยเฉพาะคนที่ซ่อนอยู่ในตำหนักเฮ่อเจียง พวกเขาเป็นองครักษ์ที่เก่งในการซ่อนร่องรอยและลมหายใจ พวกเขามักจะแอบเข้าไปในห้องของคนอื่น แม้ว่าพวกเขาจะซ่อนอยู่ในตู้ตรงหน้าคนอื่นก็จะไม่ถูกค้นพบได้โดยง่าย
เว้นแต่กำลังภายในของคนผู้นี้จะสูงมากเสียจนสามารถตรวจจับได้แม้กระทั่งลมหายใจที่อ่อนที่สุด
หญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงหน้าเขามีกำลังภายในที่ลึกล้ำตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้หรือ?!
เขากำข้อมือของฉินปู้เข่อไว้แน่นและแอบตรวจกำลังภายในของนาง
“เจ้าไม่มีกำลังภายในหรือ? เจ้าไร้ซึ่งศิลปะการต่อสู้แม้แต่วิชาตัวเบาอย่างนั้นหรือ?!” หมี่เฉินอี้ตกใจยิ่งกว่าเดิม แล้วนางรู้ได้อย่างไรว่ามีคนอยู่บนต้นไม้ใกล้ ๆ?!
เมื่อนึกถึงตอนก่อนที่นางจะเข้ามาในตำหนัก เด็กสาวก็ตรงมายังต้นไม้ที่เขาแอบยืนอยู่ราวกับว่าเขาอยู่ในสายตาของนางมาโดยตลอด
ฉินปู้เข่อดึงข้อมือออกจากมือของเขา “หม่อมฉันไม่เข้าใจว่าท่านมีกำลังภายในลึกลับแบบใด แต่หม่อมฉันเห็นด้วยตาตัวเอง หม่อมฉันมีตาเหมือนแมวที่มองเห็นได้ชัดเจนนักในตอนกลางคืน”
สุดท้ายก็ต้องขอบคุณระบบ รสชาติของ ‘เยลลี่แจ๋วแหวว’ นี้ดีมากและสรรพคุณก็โดดเด่นนัก หลังจากกินแล้วตาของฉินปู้เข่อก็กลายเป็นเหมือนตาหมาผสมไทเทเนียม พร้อมเครื่องฉายรังสีอินฟราเรดของมนุษย์
ภายในรัศมีหนึ่งหรือสองร้อยเมตร ไม่ว่าจะปกปิดด้วยผ้านวมกี่ชั้นและประตูกี่บาน นางก็สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในได้อย่างชัดเจน
พูดง่าย ๆ ก็คือนอกจากผลข้างเคียงเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการมีราคาแพง ก็ไม่มีใครที่จะไม่เลือกผลิตภัณฑ์ไฮเทคส่วนใหญ่ที่ระบบผลิตได้ในปัจจุบัน
หมี่เฉินอี้ก้มลง มองตาของนางอย่างระมัดระวัง มองแล้วมองอีก
ตาวิเศษเช่นนี้คืออะไร สามารถมองเห็นได้ไกลและชัดเจนนัก
“มองพอแล้วหรือยังเพคะ ถ้าพอแล้วหม่อมฉันจะได้กลับ ฮึ่ม! น่าเบื่อชะมัด” ฉินปู้เข่อผลักเขาออกไปแล้วเหยียดแขนออกเพื่อรักษาสมดุล จากนั้นก็แกว่งตัวจากกลางกิ่งไม้ไปที่ลำต้น แล้วใช้แขนโอบลำต้นไว้และค่อย ๆ ไต่ลงมาด้วยเท้าของนาง
นางไม่สามารถทะยานขึ้นมาได้ แต่ก็ยังสามารถไต่ลงไปได้
“สาวน้อย เดี๋ยวก่อน” หมี่เฉินอี้ขมวดคิ้วและจ้องมองฉินปู้เข่ออยู่นานพลางครุ่นคิดในใจแล้วพูดว่า “เจ้าต้องการจะทำอย่างไรกับต๋งเหม่ยจิง ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไรและเจ้าจะทำอย่างไรให้นางพูดว่านางหลอกใช้ข้า วันนี้ข้าก็ควรจะแก้แค้นด้วย”
ฉินปู้เข่อปัดฝุ่นบนร่างกาย “ไม่ต้องการแล้วเพคะ บัดนี้หม่อมฉันไม่สนใจแล้ว หากพลาดครั้งนี้จะมีครั้งใหม่อีก หม่อมฉันไม่รีบเพราะยังมีโอกาสอีกเยอะเพคะ”
บัดนี้หมี่เฉินอี้รู้สึกขายหน้าเล็กน้อย สำหรับสาวน้อยผู้นี้ เขาไม่มีไพ่ตายอยู่ในมือ
“หากเจ้าคิดเช่นนั้น หลังจากที่ต๋งเหม่ยจิงพ่ายแพ้ในครั้งนี้ นางจะยิ่งจัดการเจ้าให้หนักขึ้นอย่างแน่นอน แทนที่จะให้โอกาสศัตรูเอาชีวิตรอดและหวนกลับมาแก้แค้น จะเป็นการดีกว่าที่จะล้มนางในคราวเดียวเพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคต!”
หมี่เฉินอี้ให้คำแนะนำที่น่าดึงดูดใจนัก สาวน้อยผู้นี้ฉลาดนักและควรยอมรับข้อเสนอของเขา
เพียงแต่เขาไม่รู้ตัวว่าเขาจะถูกทุบเสียเอง
ฉินปู้เข่อหยุดชะงักจริง ๆ และมองไปยังห้องมืดที่ต๋งเหม่ยจิงนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับนางกำนัลทั้งสาม
“เจ้าต้องการทำอะไรข้าก็จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ แต่เจ้าต้องให้น้ำห้ามเลือดอีกสองสามขวดแก่ข้า” หมี่เฉินอี้เสนอข้อแลกเปลี่ยน
ฉินปู้เข่อกลอกตาและกางมือออก “หม่อมฉันเอามาแค่ขวดเดียวเพคะ”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไปรับมันหลังจากกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว” เนื่องจากไม่มีทางอื่นที่จะโกงได้แล้ว เขาก็สามารถกลับไปพร้อมกับขวดยาวิเศษอีกสองสามขวด อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถเอาขวดเล็ก ๆ ครึ่งขวดที่ซ่อนอยู่ในตำหนักออกมาศึกษาได้อยู่
“ในเมื่อเสด็จอาต้องการจะช่วยอย่างจริงใจ หม่อมฉันจะยอมตกลงก็ได้เพคะ” ฉินปู้เข่อยกยิ้ม แม้จะยังไม่มีความคิดที่ว่าจะได้ของราคาถูกก็ตาม
“เจ้าต้องการจะทำอย่างไร”
ดวงตาของฉินปู้เข่อฉายแววเป็นประกาย “แน่นอนว่ามันคือ ‘หนามยอกเอาหนามบ่ง’ นางจัดการเราอย่างไร เราก็จะเอาคืนอย่างนั้นเพคะ”
นางชอบการแก้แค้นมาก
“ไม่มีปัญหา! เดี๋ยวก่อน ข้าจะตามองครักษ์มาสักสองคน และรับรองได้เลยว่าแต่ละคนมีประสิทธิภาพเต็มเปี่ยม แล้วฝูงชนจะได้มองเห็นพวกนางได้”
ฉินปู้เข่อกลอกตาอย่างไม่อดทน “เป็นผู้ชายแท้ ๆ ท่านช่วยมีจริยธรรมต่อส่วนรวมมากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่”
หมี่เฉินอี้ “…”
เรื่องนี้เกี่ยวกับจริยธรรมต่อส่วนรวมด้วยหรือ?!
“ท่านก็รู้ว่าเห็นหน้าต๋งเหม่ยจิงแล้วแตงกวาแข็งหรือไม่ หากท่านหาองครักษ์สองคนมาก็จะไม่ถือเป็นการทำร้ายคนอื่นหรือ หากเขาเริ่มตื่นเต้นแล้วต้องเห็นหน้านาง พวกเขาจะไม่ตกใจกลัวหรือเพคะ”
หมี่เฉินอี้หน้าแดงก่ำในความมืดมิด เขากลอกตาอย่างเงียบ ๆ แล้วมองเป้ากางเกงของตน
ในขณะนี้เขารู้สึกว่าเขาแก่ลง และไม่อาจตามความคิดของเด็กได้ทัน
เขายังมีความปรารถนาที่จะสอนบทเรียนให้กับสาวน้อยผู้นี้ นางไปเรียนรู้มาจากใคร สิ่งที่อยู่ในหัวของนางทำให้ดูต่างไปจากสตรีอื่นทุกคน
ทันใดนั้นหมี่เฉินอี้ก็นึกถึงสาวน้อยตัวเล็กที่แสร้งทำเป็นกระต่ายขาวตัวเล็ก ๆ ต่อหน้าเขา อย่างน้อยสตรีผู้นั้นก็สุภาพและอ่อนโยน
คนตรงหน้าเขานั้นดุดันเกินไป และเขาไม่อาจยอมรับได้ชั่วขณะหนึ่ง
“ให้คนของท่านที่ซ่อนอยู่บนต้นไม้ลงมาและจุดไฟเตียงอุ่นในห้องฝั่งนี้ และเติมถ่านในห้องด้วยเพคะ” ฉินปู้เข่อสั่งและพาหมี่เฉินอี้ไปที่ห้องเพื่อจุดเทียน
“จากนั้นหม่อมฉันขอรบกวนเสด็จอาที่เก้าให้ช่วยถอดเสื้อผ้าของสตรีที่อยู่บนพื้นเหล่านี้ด้วยเพคะ”
“ข้าหรือ?!” คราวนี้หมี่เฉินอี้ตกใจจนลืมใช้คำว่า “ข้าผู้นี้” ไปเสียด้วยซ้ำ
ไม่เรียกองครักษ์และปล่อยให้เขาถอดเสื้อผ้า สตรีผู้นี้จะปล่อยให้เขาออกรับด้วยตนเอง
“อืม เช่นนั้นท่านทำไปก่อนเถิดเพคะ แล้วให้คนไปส่งข่าวให้น้องสาวสามสุดที่รักของหม่อมฉันมาคนเดียว”
ฉินชิงเหยียนพยายามอย่างหนักและคุกเข่าเพื่อหลอกนาง แล้วละครเรื่องใหญ่นี้จะขาดนางไปได้อย่างไร
หมี่เฉินอี้เอื้อมมือออกไปอย่างยากลำบากเพื่อปลดกระดุมเสื้อของต๋งเหม่ยจิง เขาใช้เวลานานในการปลดเสื้อของนางอย่างไม่เต็มใจ และชุดชั้นในของนางครึ่งหนึ่งก็ถูกปลดออก เผยให้เห็นหน้าท้องของนาง
“หม่อมฉันขอถามเสด็จอาว่าท่านเคยเปลื้องผ้าสตรีมาก่อนหรือไม่?!” ฉินปู้เข่อมองภาพตรงหน้าที่ดูเหมือนกับไม่ได้ถอดเลย
“แน่นอนสิ และข้าก็ถอดมันออกแล้ว!” ใบหน้าของหมี่เฉินอี้เปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง เพราะเขาถูกสาวน้อยดูถูกเหยียดหยาม
“หลีกไปให้พ้น!” ฉินปู้เข่อก้าวไปข้างหน้าแล้วถอดกระโปรงของต๋งเหม่ยจิง และผ้าตรงหน้าท้องที่เปิดออกครึ่งหนึ่งก็ถูกฉีกออกจนเผยให้เห็นทั้งหมด
จากนั้นนางก็ฉีกเสื้อผ้าของนางกำนัลทั้งสองที่อยู่ถัดจากนาง และใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมผูกมือของนางกำนัลไว้กับหัวเตียง
“เอาล่ะ ต่อไปหม่อมฉันต้องรบกวนเสด็จอา…”