บทที่ 203 ชี้ตัวถูกคน
คนส่วนใหญ่ในค่ายทหารนี้ย่อมเป็นคนซื่อตรงและบริสุทธิ์ใจ พวกเขาจึงคาดไม่ถึงว่าเจ้านายที่พวกเขาติดตามจะมีบุคลิกที่โหดเหี้ยม และกระทำสิ่งเลวร้าย ซึ่งทหารบางคนที่แต่งงานและมีลูกแล้วก็รับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
กระแสข่าวลือนี้ยังไม่ผ่านพ้นไป และมีคนออกมาบอกว่าอัครมหาเสนาบดีต๋งจงใจไม่ให้ทุกคนไปฆ่าศัตรูที่สนามรบ เพราะเขารู้สึกว่าทุกคนอ่อนแอเกินไป ไม่มีขวัญกำลังใจและความแข็งแกร่งแบบทหารมากพอหากเทียบกับทหารของจวนผิงเล่อเฮ่า ดังนั้นหากพวกเขาไปที่สนามรบพวกเขาก็จะตาย
ทันทีที่มีข่าวลือนี้ออกมา กอปรกับทุกครั้งที่อัครมหาเสนาบดีไม่ส่งคำสั่งทหารให้ทหารของจวนสกุลต๋งตั้งแต่เริ่มสงคราม ในหัวใจของพวกเขาก็เชื่อมั่นว่าอัครมหาเสนาบดีไม่เชื่อในความแข็งแกร่งของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกศึก และทหารจำนวนมากในค่ายก็บ่นโอดครวญ
เมื่อพวกเขาถูกเกณฑ์ทหาร เหตุผลประการแรกคือพวกเขาต้องการหาทางรอดในค่ายทหาร เพราะชีวิตไม่เอื้ออำนวยและไร้ซึ่งหนทาง ประการที่สองคือทุกคนมีความคาดหวังไม่มากก็น้อยว่าจะประสบความสำเร็จ ได้ปกป้องครอบครัวและอาณาจักร สุดท้ายคือพวกเขาทุกคนเป็นผู้ชาย การปกป้องดินแดนของชาติและปกป้องสมาชิกในครอบครัวด้วยความพยายามของตนเองถือเป็นงานที่มีเกียรติและลำบากอย่างยิ่ง
ตอนนี้ศัตรูอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว พวกเขาเฝ้าดูผู้คนจากจวนผิงเล่อเฮ่าที่อยู่ข้าง ๆ ออกไปสู้รบอย่างมีพลัง และกลับมาพร้อมกับเลือดจากการไล่สังหารศัตรูจนแตกพ่ายไปได้ ซึ่งการกระทำเช่นนี้สามารถแสดงถึงความกล้าหาญ และความรุ่งโรจน์จากชัยชนะของอาณาจักร และสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง แล้วเหตุใดพวกเขาจึงทำไม่ได้?!
ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเขารู้ดีว่าตราบใดที่พวกเขาสามารถทำผลงานโดดเด่นได้ในสนามรบ ด้วยความกล้าหาญและเก่งกาจในการต่อสู้ พวกเขาจะได้รับรางวัลสำหรับทหารหลังจากกลับไปยังราชสำนัก และแม้แต่บัณฑิตที่กล้าเผชิญหน้าก็จะได้รับรางวัล
ทหารส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ยากจน การอุทิศชีวิตของพวกเขาในสนามรบและต่อสู้อย่างหนักเพื่อฆ่าศัตรูเป็นหนทางเดียวที่จะก้าวไปข้างหน้า แต่อัครมหาเสนาบดีได้ตัดโอกาสเดียวที่พวกเขาจะได้ไป
ตั้งแต่เริ่มสงครามเห็นได้ชัดว่าพวกเขาสามารถต่อสู้ในแนวหน้าร่วมกับทหารจวนผิงเล่อเฮ่า และทำชื่อเสียงด้านการทหารได้ แต่อัครมหาเสนาบดีทำให้พวกเขาต้องซ่อนอยู่ข้างหลังทหารจวนผิงเล่อเฮ่า ทำให้พี่น้องหลายคนต้องกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ที่เลี้ยงเสียข้าวสุก
วันนี้หน่วยสอดแนมตรวจพบว่าฉีรุ่ยหู่ได้ส่งคนกลุ่มเล็ก ๆ ไปสร้างปัญหาทางด้านขวาของค่ายทหาร เหยาจ้าวจึงได้ส่งทหารกลุ่มเล็ก ๆ ไปขับไล่ข้าศึก ในขณะที่ทหารของจวนสกุลต๋งยังคงนั่งอาบแดดอยู่ตรงหัวมุม พร้อมถือดาบขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ใช้งานมาเป็นเวลานานไว้
“อาปิง” คนที่เรียกคือเฉิงเฟยที่เป็นเพื่อนของเฉิงปิง ในตอนแรกพวกเขาทั้งสองเข้าร่วมกองทัพด้วยกัน เพราะเฉิงปิงต่อสู้เก่งกว่าเขาและคารมของเขาก็ดีมาก ดังนั้นเฉิงปิงจึงกลายเป็นหัวหน้ากอง ส่วนเขายังเป็นทหารยศน้อยอยู่
เฉิงปิงนอนคาบฟางอยู่บนกองฟาง เขาเหลือบมองเพื่อนและตบที่ว่างข้าง ๆ เป็นสัญญาณให้มานอนด้วยกัน
เฉิงเฟยเดินไปหาเขา ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตอนนี้ท่านเฮ่าได้ส่งทหารออกไปแล้ว และคาดว่าอาจจะจับตัวข้าศึกสองสามคนกลับมาได้”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาที่ไม่อาจปกปิดได้
“อืม” เฉิงปิงหรี่ตาลงอย่างผิดหวังเล็กน้อย
“อ๋องหลี่ชินมาดูแลกองทัพเมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ใช่หรือ? ข้าได้ยินมาว่าท่านเฮ่ารายงานชื่อคนมากมาย โดยคนเหล่านั้นเป็นคนที่สังหารศัตรูมากที่สุดและยึดเมืองกลับคืนมาได้ โดยท่านกล่าวว่าต้องการมอบรางวัลให้แก่พวกเขา” เฉิงเฟยกล่าวขณะสังเกตท่าทีของเพื่อน เมื่อเห็นว่าเขาไม่โมโหก็พูดต่อว่า “อ๋องหลี่ชินได้ขอตำแหน่งทางทหารให้คนเหล่านั้นทันที และข่าวดีก็คือใบรายชื่อของพวกเขาถูกส่งไปเมื่อวานแล้ว”
เฉิงปิงพ่นลมหายใจยาวจากจมูกของเขา “อืม”
“อาปิง ทักษะการต่อสู้ของเจ้าดีกว่าข้าและคารมของเจ้าก็ดีด้วย หากเจ้าไปที่แนวหน้าเจ้าก็จะสามารถนำตำแหน่งแม่ทัพกลับมาได้” เฉิงเฟยนั่งยอง ๆ ข้างเขาแล้วลดเสียงลง “ข้าไม่เก่งแถมยังโง่เขลาด้วย หากเจ้าร่ำรวยและจ้างข้าให้ทำงานให้เจ้า ข้าก็จะถือว่าเจ้าเป็นคนที่ช่วยชี้นำชีวิตของข้า”
เฉิงปิงจ้องเขาอย่างโกรธเคือง “เจ้าต้องการจะพูดอะไรกันแน่หลังจากพูดวกไปวนมา!”
เฉิงเฟยมองซ้ายมองขวาแล้วเข้าไปพูดใกล้หูของเขาว่า “เมื่อท่านเฮ่าส่งทหารออกไปจัดการข้าศึกในทุกวันนี้ คนจำนวนมากในค่ายของเราวิ่งไปบอกท่านเฮ่าว่าพวกเขาต้องการไปด้วย ซึ่งท่านเฮ่าก็ตอบตกลงและยังบอกด้วยว่าหากพวกเขาสังหารข้าศึกได้ยี่สิบคนก็จะได้รับรางวัลเป็นเงินตามหัว และหากสังหารได้อีกยี่สิบคนก็จะสามารถเลื่อนยศหนึ่งระดับได้”
“เจ้าเลยต้องการให้ข้าเป็นคนทรยศและไปเข้ากับฝ่ายผิงเล่อเฮ่าหรือ?!”
เฉิงเฟยโบกมือให้เขาลดเสียงก่อนจะก้มหัวลงแล้วพูดว่า “ทรยศที่ไหนกัน ทหารจวนสกุลต๋งของอัครมหาเสนาบดีคือทหารของต้าเซี่ย และทหารของขุนนางผิงเล่อเฮ่าก็เป็นทหารของต้าเซี่ยด้วยเช่นกัน ดังนั้นการติดตามท่านเฮ่าจึงถือว่าเป็นการรับใช้อาณาจักรนี้อย่างแท้จริง พวกเราอาบแดดที่นี่ทั้งวันจนผิวข้าดำไปหมดแล้ว นอกจากนี้ บางทีการติดตามอัครมหาเสนาบดีอาจได้เป็นคนทรยศต่อต้าเซี่ยอย่างแท้จริง”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?!”
เฉิงปิงเบิกตากว้าง เฉิงเฟยจึงเงียบทันทีก่อนจะลุกขึ้นยืนและพูดอย่างลุกลี้ลุกลน “ข้ามาที่นี่เพื่อบอกเจ้า หากพรุ่งนี้ท่านอ๋องต้องการคนอีกข้าก็จะไป อย่ามาห้ามข้าก็แล้วกัน”
“ประโยคสุดท้ายของเจ้าหมายความว่าอย่างไร!” เฉิงปิงกระโดดขึ้นแล้ววิ่งไปสองสามก้าวเพื่อไปข้างเฉิงเฟย ก่อนจะคว้าหลังคอเขาและคำราม
เฉิงเฟยโบกมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ข้าฟังมาจากสิ่งที่คนอื่นพูด คิดว่าบางทีเจ้าอาจเข้าไปคุยกับอัครมหาเสนาบดีที่กระโจมได้ ข้าเพียงแค่อยากเตือนเจ้าเพื่อให้เจ้าไม่ต้องเดือดร้อนและได้อยู่ด้วยกัน สุดท้ายแล้วก็ยังมีแม่แก่ชราที่บ้านที่ต้องดูแล”
เฉิงปิงกัดฟันและดึงหูเฉิงเฟยลากไปด้านหลังกองฟาง และพูดด้วยท่าทางสงบว่า “เจ้าได้ยินอะไรมา!”
“ข้าได้ยินมาว่าอัครมหาเสนาบดีมีจดหมายลับส่วนตัวแลกเปลี่ยนกับฉีรุ่ยหู่ฝั่งตรงข้าม ข้าไม่รู้เนื้อหาอย่างเฉพาะเจาะจง แต่เมื่อทั้งสองอาณาจักรกำลังอยู่ในภาวะสงคราม แล้วแม่ทัพทั้งสองมีการสื่อสารกันเป็นการส่วนตัว สิ่งนี้มันผิดปกติ”
เพียะ!
เฉิงปิงยกมือตบหน้าเฉิงเฟยเบา ๆ “เจ้าไปได้ยินคำพูดสุ่มเสี่ยงเช่นนี้มาจากไหน หากมีใครมาได้ยินพวกเราพูดเรื่องเหล่านี้ ได้ถูกตัดหัวเพราะคำสั่งของกองทัพแน่!”
เฉิงเฟยปิดหน้าและเหมือนจะร้องไห้ “ข้าเห็นด้วยตาตัวเอง หากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าสามารถไปถามเสี่ยวอู่ได้ ครั้งล่าสุดที่เจ้าพาคนไปที่ฝั่งตรงข้ามเพื่อขโมยอาหารและหญ้า เสี่ยวอู่กับข้าไปขุดหลุมเพื่อจะปลดทุกข์กัน พวกเราเห็นอัครมหาเสนาบดีขี่ม้ามาคนเดียวในบริเวณนั้น แล้วรถม้าก็มารับเขาและวิ่งไปทางเมืองเตียนหลัน”
เฉิงปิงเม้มปากและหยุดพูด
“อาปิง เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับการเดินทางไปที่เมืองเตียนหลันตอนกลางดึก สถานที่นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของฉีรุ่ยหู่ แต่อัครมหาเสนาบดียังสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกหรือ?!” เฉิงเฟยพูดอย่างจริงจัง “สมองของเจ้าดีกว่าข้านัก ลองคิดดูว่าเหตุใดอัครมหาเสนาบดีจึงไม่ริเริ่มพูดถึงสงครามเลยหลังจากที่เรามาที่นี่?!”
“อาจจะไปเจรจาสงบศึก…” ทันทีที่พูดออกมา เฉิงปิงก็รู้สึกขบขันกับการหลอกตัวเองของตัวเอง หากต้องการเจรจาจริง อัครมหาเสนาบดีจำเป็นต้องไปคนเดียวกลางดึกหรือ
เฉิงเฟยสะบัดมือออกแล้ววิ่งไปสองสามก้าว “ข้าไม่สนใจแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปหาท่านเฮ่าเพื่อรายงานตัว หากข้าสามารถมีรังใหม่ที่นั่นได้ ข้าจะไม่กลับมานอนที่รังนี้อีก”
เฉิงปิงมองเพื่อนที่วิ่งจากเขาไปไกล และสงสัยว่าจะเกลี้ยกล่อมเขาหรือตัวเองดี
ในคืนนั้นสามคนในกระโจมผลัดกันปฏิบัติหน้าที่เฝ้ายาม เฉิงปิงพลิกตัวไปมาอยู่นานเพราะนอนไม่หลับ
สิ่งที่เฉิงเฟยพูดอาจเป็นความจริง ก่อนหน้านี้อัครมหาเสนาบดีไม่ได้ส่งกองกำลังไปร่วมรบเลย และเขารู้สึกว่าสาเหตุหลักเป็นเพราะอัครมหาเสนาบดีไม่ต้องการให้ทหารบางคนของจวนสกุลต๋งโดดเด่น และขโมยชื่อเสียงทางทหารของเขาไป
เท่าที่เขารู้มา เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วอัครมหาเสนาบดีได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากทหารยศน้อยเป็นแม่ทัพ เพราะการอุทิศตัวในสนามรบอย่างหนักหน่วง บางทีอัครมหาเสนาบดีอาจเกรงว่าจะมีใครมาคุกคามสถานะของเขา แต่ตอนนี้เขาล้มเลิกความคิดนี้แล้ว
เป็นเรื่องดีที่จะมีคนในกองทัพของจวนสกุลต๋งมีชื่อเสียงทางทหาร เพราะจะทำให้อัครมหาเสนาบดีได้หน้าด้วยเช่นกัน
ขณะที่เขากำลังคิดวิเคราะห์สถานการณ์นั้นก็เกิดเสียงเบา ๆ นอกประตู และมีคนเดินเข้ามา
“เจ้าคือเฉิงปิงใช่หรือไม่ ท่านอ๋องให้มาเชิญเจ้าไป” อู๋เหินเดินเข้ามาเงียบ ๆ ทำให้เฉิงปิงสะดุ้ง
“อ๋องหลี่ชินหรือ? มีอะไรกับข้าน้อย? ตอนนี้ก็ดึกแล้ว เกรงว่าจะไม่สะดวก เหตุใดไม่ให้ข้าน้อยไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องพรุ่งนี้ล่ะ” เฉิงปิงเปลือกตากระตุกสองสามครั้ง และเขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมากเมื่อเห็นคนตรงหน้าเขาเย็นชาและเงียบขรึม
“ท่านอ๋องบอกว่าท่านพบคนที่ขโมยเมล็ดพืชและหญ้าของค่ายผิงเล่อเฮ่าเมื่อสองสามวันก่อนแล้ว คนผู้นั้นบอกว่าถูกหัวหน้าเฉิงปิงสั่งให้ทำ ดังนั้นท่านจึงขอให้มาพาหัวหน้าเฉิงไประบุตัวคนผิด”
“ก็ได้ โปรดรอข้าน้อยเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่” เฉิงปิงถ่มน้ำลายออกมาเบา ๆ แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้อารมณ์ของตนสงบลง แต่หากแสงไฟในกระโจมสว่างในเวลานี้ คนตรงหน้าก็จะเห็นหน้าถอดสีของเขา
เรื่องขโมยเมล็ดพืชและหญ้าเป็นคำสั่งลับส่วนตัวของอัครมหาเสนาบดี ตอนนั้นเขาแค่คิดว่าอัครมหาเสนาบดีไม่ถูกกับผิงเล่อเฮ่า จึงต้องการสั่งสอนบทเรียนให้แก่อีกฝั่ง เขาจึงทำตามคำมอบหมายของอัครมหาเสนาบดี
หลังจากนั้นเขาก็แอบบอกว่าพวกนั้นพบเมล็ดพืชและหญ้าอยู่คนละที่ แต่ดูเหมือนว่าอัครมหาเสนาบดีจะทิ้งเรื่องนี้ไว้ข้างหลังแล้ว และเมื่อเขานึกขึ้นได้ในตอนนี้ก็แสดงว่าเขาไม่ต้องการที่จะยอมรับเลย
อ๋องหลี่ชิน… เฉิงปิงค่อย ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าและครุ่นคิดหาวิธีรับมือ หากคนของเขาระบุตัวเขาจริง ๆ ก็เกรงว่าอ๋องหลี่ชินจะลงโทษเขาอย่างรุนแรง
ผ่านไปสองเค่อเขาก็ตามอู๋เหินไปถึงกระโจมของอ๋องหลี่ชิน
“ถวายบังคมอ๋องหลี่ชินพ่ะย่ะค่ะ” เฉิงปิงเดินเข้าไปในกระโจมและโค้งคำนับอย่างสุภาพ เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าไม่มีคนอื่นอยู่ในกระโจม
ชายหนุ่มที่กำลังก้มมองกระดาษตรงหน้าได้ยินเสียงจึงเงยหน้าขึ้น แล้วชี้ไปที่เก้าอี้ข้างตัวเขา “รบกวนหัวหน้าเฉิงไปนั่งตรงนั้นสักครู่ ข้ารออยู่ครู่ใหญ่และเห็นว่าเจ้าไม่มาจึงหยิบหนังสือนี้ขึ้นมาอ่าน เพราะบังเอิญว่ามันอยู่ตรงนี้พอดี จุดธูปหอมไว้ดีกว่า”
“เอ่อ”
เขาคาดว่าอ๋องหลี่ชินจะโกรธหลังจากรอมาครึ่งชั่วยาม เขายังคงใจเย็นและอ่อนโยนเช่นนี้ได้อย่างไร? เฉิงปิงรู้สึกไม่แน่ใจเล็กน้อยเกี่ยวกับนิสัยของท่านอ๋องผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงยืนข้างเก้าอี้อย่างเชื่อฟังแต่ไม่ได้นั่งลง
หลังจากจุดธูปหอมแล้ว ชายที่นั่งอยู่ก็ลดกระดาษในมือลงและเหลือบมองเฉิงปิงที่ยังคงยืนอยู่ “เหตุใดเจ้าไม่นั่งล่ะ?”
“กระหม่อมมาที่นี่เพื่อช่วยท่านอ๋องระบุตัวคนผิด จึงไม่จำเป็นต้องนั่งลงพ่ะย่ะค่ะ” เฉิงปิงโค้งคำนับอีกครั้ง
หมี่โม่หรู่ตบหน้าผากของเขาราวกับว่า ‘เพิ่งนึกขึ้นได้’ แล้วตอบว่า “ใช่แล้ว ข้ายุ่งจนลืมไปเลย มา พาคนผู้นั้นเข้ามา”
เมื่อพูดเช่นนั้นจบ องครักษ์สองคนก็เข้ามาพร้อมกับทหารคนหนึ่งที่มีผ้าสีกากีพันรอบแขน
เฉิงปิงเหลือบมองชายคนนั้นและหัวใจของเขาก็สั่นสะท้าน
เขาไม่รู้จักคนผู้นี้มาก่อน
สำหรับเรื่องที่เป็นความลับและท้าทายกฎหมายทหารอย่างการขโมยเมล็ดพืชและหญ้า ปกติเขาจะไม่บอกคนเยอะ และคนที่เขาพาไปด้วยในคืนนั้นทุกคนคือคนสนิทของเขาและมีมิตรภาพที่เชื่อถือได้
และเขาไม่เคยเห็นทหารตรงหน้าเขาเลย
“ข้าไม่รู้ว่าทหารคนนี้พูดอะไรกับท่านอ๋อง แต่ท่านอ๋อง กระหม่อมไม่เคยเห็นทหารคนนี้มาก่อนพ่ะย่ะค่ะ” เฉิงปิงตอบตามความจริง
………………………………………………………………………….