บทที่ 205 ลักพาตัวกลางดึก
วันรุ่งขึ้น ทหารที่เข้าร่วมกองทัพของจวนผิงเล่อเฮ่าเมื่อวันก่อนก็ได้รับรางวัลอีกครั้ง และหลายคนก็เป็นทหารของจวนสกุลต๋งที่แอบเข้ามาร่วมด้วย
เฉิงเฟยได้รับรางวัลเป็นเงินจากการสังหารข้าศึกสามคน เขามีความสุขมากจนไม่อาจหุบยิ้มได้ และรีบไปหาเฉิงปิงเพื่ออวด และชักชวนให้เขามาเข้าร่วมกับผิงเล่อเฮ่าด้วยกัน
สุดท้ายเงินสิบห้าตำลึงก็คุ้มกว่าเงินเดือนประจำปีของพวกเขาแล้ว
“อาปิง อา…”
เฉิงเฟยนอกกระโจมตะโกนเรียกสองครั้ง ก่อนจะถูกตรึงไว้กับที่ด้วยเสียงดังจากข้างใน
ใบหน้าซีดเซียวของชายสูงประมาณสองเมตรที่สังหารข้าศึกด้วยดาบกลายเป็นสีแดงก่ำ เหตุผลในใจบอกว่าเขาควรออกไป แต่เสียงครวญครางของหญิงสาวและเสียงหอบหายใจที่ควบคุมไม่ได้ของชายหนุ่ม ทำให้เขาไม่อาจขยับเท้าจากไปได้
เขาเป็นคนธรรมดาที่แต่งงานกับภรรยาของเขาเมื่อปีที่แล้ว ดังนั้นเขาย่อมรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในนั้น
ทหารไม่ได้กลับบ้านมาครึ่งปีแล้ว กองทัพจึงจัดเตรียมกระโจมแดงในค่ายสำหรับทหารหนุ่มกลัดมันเหล่านี้ เพื่อตอบสนองความต้องการทางกายภาพของพวกเขา แต่เฉิงเฟยไม่เคยไปที่นั่นเลย
เขาอายและไม่มีเงินเพียงพอ
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กินเนื้อมาเป็นเวลาเจ็ดหรือแปดเดือนแล้ว ตั้งแต่เขากลับมาอยู่ในกองทัพเมื่อปีก่อน ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินเสียงนี้ ร่างกายของเขาจึงตึงเครียด หัวใจของเขาปั่นป่วน และสัญชาตญาณของเขาก็เอาชนะเหตุผล ชายหนุ่มยืนอยู่ที่นั่นและแอบฟังอย่างระมัดระวัง
เขาไม่รู้ว่าเสียงครวญครางนั้นหยุดลงเมื่อใด แล้วสตรีผู้เย้ายวนและมีเสน่ห์ก็เดินหน้าแดงระเรื่อออกมา นางไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจเลยเมื่อเห็นชายคนหนึ่งยืนกุมเป้าอยู่ไม่ห่างจากหน้ากระโจม และหันหลังเดินจากไปพร้อมกับสูดลมหายใจเบา ๆ
จากนั้นเฉิงปิงที่ไม่ได้ใส่เสื้อก็เดินออกจากกระโจมมาด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า และกวักมือเรียกหลังจากเห็นเฉิงเฟย “เมื่อวานเจ้าไปกับท่านเฮ่าและได้รับรางวัลมาหรือ?!”
“ใช่” เฉิงเฟยดึงสติของตนกลับคืนมาและหยิบถุงเงินออกมาแสดง “สิบห้าตำลึง ข้าเคยขอยืมเงินเจ้าห้าตำลึงตอนที่แต่งงานเมื่อปีที่แล้ว ข้าจะคืนให้เจ้าในวันนี้”
เฉิงปิงไม่มองแม้แต่เศษเงินและบ่นว่า “เจ้านายของข้าเพิ่งค้นพบวิธีสร้างโชคลาภ ทุกวันนี้ข้าได้รับเงินมากกว่าห้าตำลึง แล้วข้าจะยังเรียกเก็บเงินจากเจ้าอยู่อีกหรือ? เก็บเงินไว้เลี้ยงลูกของเจ้าเถอะ!”
เฉิงเฟยสงสัย “ข้ายังสามารถทำเงินได้จากการรบ และตอนนี้ข้าสามารถได้รับชื่อเสียงจากการฆ่าศัตรูเพื่อท่านเฮ่า”
เฉิงปิงยกยิ้มและโบกมือ “ตอนนี้ก็แค่เรื่องธุรกิจ”
“สตรีผู้นั้นไม่ได้อยู่ในกระโจมแดงหรือ เอ๊ะ ไม่ใช่สิ ในกระโจมแดงไม่มีใครงามถึงเพียงนี้” แม้ว่าเฉิงเฟยจะไม่เคยเข้าไปในกระโจมแดง แต่เขาก็ยังทนความหื่นกระหายของตนไม่ได้ ในยามว่างเขาจึงไปอยู่แถวประตูกระโจมแดงเพื่อพูดคุยกับคนอื่น เมื่อพวกนางออกมาเขาก็จะผิวปากใส่และพูดจาลวนลาม ดังนั้นเขาจึงจำหน้าสตรีในกระโจมแดงได้
“ข้าเจอนางจากข้างนอก ท่านเฮ่ายุ่งกับเรื่องทำศึกทั้งวัน ส่วนพวกเราก็ว่างปวดไข่ทั้งวันและไม่อาจเล่นกับสตรีในกระโจมแดงได้เพราะความเบื่อหน่าย ข้าจึงออกไปในเมืองเพื่อค้นหาสาวสวย น่ารักและสดใหม่มาให้พี่น้องในค่าย ทุกวันนี้ข้านับเงินไม่ทันแล้ว”
เฉิงเฟยตกใจมาก “เจ้าละเมิดกฎทหารด้วยการพาคนนอกเข้ามา หากอัครมหาเสนาบดีรู้เข้าจะต้องลงโทษเจ้าแน่!”
“สาวน้อยสักสิบคนจะสามารถเคลื่อนไหวได้มากเพียงใด นอกจากนี้ข้ายังไม่เคยได้รับเงินจากการเป็นหัวหน้ากองในพื้นที่ของเราเลย แต่ข้าได้จากการเดินทางพิเศษเพื่อส่งพวกนางไปปรนนิบัติพวกเขา แล้วใครจะมาเดือดร้อนด้วยเล่า?” เฉิงปิงยิ้มอ่อนแล้วกระซิบว่า “ยังมีงานใหญ่อีกงานที่ได้ห้าร้อยตำลึง เจ้าอยากทำหรือไม่”
“ห้า ห้าร้อยตำลึง!” เฉิงเฟยตกใจจนอ้าปากค้าง เขาต้องทำงานหนักในกองทัพยี่สิบปีจึงจะได้เงินกลับบ้านมากมายถึงเพียงนี้ “งานอะไร อันตรายถึงชีวิตหรือ”
“จุ๊ เจ้าไม่ได้เสียสละชีวิตเพื่อช่วยท่านเฮ่าฆ่าคนหรือ? ข้ายังไม่เห็นต้องเสียเลือด ข้าบอกเจ้าเพราะนึกถึงเจ้าเท่านั้น มิฉะนั้นข้าจะให้เจ้าเพียงสามร้อยตำลึงเท่านั้น เพื่อให้ไปหาคนอื่นมาทำแทน” เมื่อเฉิงปิงเห็นเขาใจอ่อนก็ผลักเขา “ไม่ต้องคิดมาก คืนนี้ไปรอข้าที่วัดร้าง”
เฉิงเฟยรู้ว่าเขากำลังพูดถึงซากปรักหักพังของวิหาร ที่พวกเขาขโมยเมล็ดพืชและหญ้าไปซ่อนในคืนนั้น
ด้วยความต้องการเงินและความไว้วางใจเฉิงปิง คืนนั้นเฉิงเฟยจึงรอเพื่อนร่วมกระโจมผล็อยหลับ แล้วแอบย่องออกจากกระโจมอย่างเงียบเชียบและวิ่งไปจนถึงวัดร้าง
“แล้วม้าของเจ้าอยู่ที่ไหน” เฉิงปิงมารอนานแล้วและพูดไม่ออกเมื่อเห็นเขาหอบหายใจ
เฉิงเฟย “เจ้าไม่ได้บอกให้ขี่ม้ามา ข้าจึง…”
“ช่างมันเถอะ เจ้าโง่!” เฉิงปิงผิวปากเบา ๆ แล้วม้าตัวหนึ่งก็วิ่งออกมา “นั่งไปกับข้าก่อน ตอนขากลับจะมีรถม้า”
รถม้า? เฉิงเฟยรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้เกี่ยวกับอะไร ชายร่างใหญ่สองคนไม่จำเป็นต้องใช้รถม้า มีเพียงผู้หญิงอ่อนแอเท่านั้นที่จะนั่งรถม้าในตอนกลางคืน
คาดว่าคืนนี้เฉิงปิงจะส่งผู้หญิงจากเมืองกลับไปที่ค่าย
ม้าหนึ่งตัวและคนสองคนไปที่ประตูเมืองเตียนหลัน เฉิงเฟยถามหลายครั้งระหว่างทางว่าเหตุใดถึงต้องพาคนจากเมืองเตียนหลันไป แทนที่จะเป็นอีกหลายเมืองที่พวกเขายึดคืนมาได้
เฉิงปิงแค่บอกให้เขาหยุดพูดไร้สาระ พูดให้น้อยลงและทำให้มากขึ้น
มีรถม้ารออยู่ที่ป่าทางทิศตะวันออกของประตูเมืองเตียนหลัน หลังจากที่เฉิงปิงพูดรหัสลับกับคนขับรถม้าแล้ว รถม้าก็ถูกส่งมอบให้เฉิงปิง
“ข้าจะขับรถม้าเอง เจ้าเข้าไปนั่งข้างในเถอะ อย่าปล่อยให้คนข้างในวุ่นวาย” เฉิงปิงอธิบายแล้วขึ้นรถม้าและโบกแส้ในมือ
เฉิงเฟยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเขาเปิดม่านรถม้าออก เขาคิดว่าในเมื่อเฉิงปิงเรียกเขาออกมาด้วย อย่างน้อยรถม้าก็น่าจะเต็มไปด้วยผู้หญิง แต่ในรถม้าคันนี้มีเพียงเด็กสาวอายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดเพียงคนเดียวเท่านั้น นางถูกมัดมือไพล่หลังและมีผ้าอุดปากไว้ นางนั่งอยู่มุมหนึ่งของรถม้า
“อื้ม ๆ” เมื่อหญิงสาวในรถม้าเห็นเฉิงเฟยเข้ามาก็พยายามถอยหนีด้วยท่าทางหวาดกลัว
เฉิงเฟยโบกมือและนั่งที่ประตูรถ “ข้าไม่เข้าไปหาหรอก เจ้าไม่ต้องส่งเสียงจะได้ไม่ต้องเจ็บตัว”
เมื่อเหลียวหลันเห็นชายผู้นี้นั่งอยู่ที่ประตูรถอย่างซื่อ ๆ นางก็มีความคาดหวังบางอย่างทันที นางค่อย ๆ ขยับไปข้างเฉิงเฟยและมองดูเขาอย่างมีความหวัง นางหวังว่าชายคนนี้จะแสดงความเมตตาด้วยการแกะผ้าที่มัดมือออกให้นาง และเอาผ้าที่อุดปากออกให้
เฉิงเฟยดึงมีดที่เอวของเขาออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้นางเข้าใกล้ และตะคอกว่า “ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า แต่ข้าก็จะไม่ช่วยเจ้าเช่นกัน นั่งลง!”
เมื่อปราศจากความหวัง เหลียวหลันก็กลับไปนั่งตำแหน่งเดิมและเอนตัวพิงกำแพงรถม้าอย่างสิ้นหวัง
ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขาแล้วก็น่าจะเป็นคนจากกองทัพของต้าเซี่ย แถบผ้าสีกากีนั้นคือคนของจวนอัครมหาเสนาบดี
เหลียวหลันได้ยินจากพ่อของนางบอกว่าอัครมหาเสนาบดีต้องการรับนางไปเป็นอนุในจวน แต่พ่อของนางไม่ต้องการ ดังนั้นพวกเขาจึงมาลักพาตัวนางหรือ
เอี๊ยด
รถม้าหยุดกะทันหัน และเฉิงปิงก็เข้ามาบอกว่า “เจ้าคอยเฝ้าไว้ให้ดี ข้าปวดท้อง”
เฉิงเฟยพยักหน้าแล้วเก็บมีดไว้ที่เอว แล้วเดินไปดึงสายบังเหียน
เมื่อเห็นว่าชายคนนี้เป็นคนเดียวที่คอยเฝ้านางอยู่ เหลียวหลันก็ขยับไปอยู่ข้างเฉิงเฟยอีกครั้ง คราวนี้นางไม่ตื่นเต้นแล้วแต่มองลงไปที่ขาของนางและเพื่อนของชายคนนั้นที่อยู่ห่างไกลอย่างใจเย็น
“เจ้าก็ปวดปัสสาวะด้วยหรือ?” เฉิงเฟยคาดเดาเมื่อเห็นท่าทางเขินอายของนาง
เหลียวหลันพยักหน้าอย่างน่าสงสาร
เฉิงเฟยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ต้องการปล่อยให้นางไปปัสสาวะ แต่ถ้าหากนางปัสสาวะบนรถม้า เขาก็จะวุ่นวาย อีกอย่างคือหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่ถูกมัดแน่นจะทำอะไรได้
เมื่อคิดเช่นนี้ เฉิงเฟยก็ลากเหลียวหลันลงจากรถม้าและเดินไม่กี่ก้าวไปข้างถนนแล้วหันหลังให้ “เจ้าตามสบายเลย”
เหลียวหลันยกมือขึ้นเพื่อแสดงว่าข้อมือของนางถูกมัดและนางไม่อาจขยับได้
ขณะที่เฉิงเฟยก้มศีรษะลงเพื่อแก้มัดนาง เหลียวหลันก็ยกเข่าขึ้นกระแทกจุดสำคัญของเฉิงเฟย
ชายหนุ่มครวญครางตัวงอ เหลียวหลันฉีกผ้าในปากของนางออกแล้ววิ่งกรีดร้องเพื่อขอความช่วยเหลือ
ในเวลากลางดึกเช่นนี้ใกล้สนามรบแนวหน้า เหลียวหลันตะโกนเสียงดัง แต่ไม่มีใครกล้าพอที่จะยืนหยัดเพื่อความยุติธรรม และนางก็ได้ยินเสียงของผู้ชายไล่ตามมาจากด้านหลัง
ยิ่งวิ่งก็ยิ่งรู้สึกสิ้นหวังในใจ แน่นอนว่าไม่นานนักนางก็ถูกชายคนที่ออกจากรถม้าไปคนแรกนำตัวกลับไปที่รถม้า เพื่อป้องกันไม่ให้นางวิ่งหนีอีก ชายคนนั้นจึงใช้มีดกรีดน่องของนาง
ส่วนชายที่คอยเฝ้านางเมื่อครู่นี้ก็มองนางอย่างขุ่นเคืองเพราะถูกนางเตะ และแทบจะรอกินนางทั้งเป็นไม่ไหว
เมื่อเหลียวหลันกำลังจะยอมรับชะตากรรมของตัวเอง รถม้าก็หยุดอีกครั้งและดูเหมือนว่ามีใครบางคนมาหยุดรถม้า
“เมื่อสักครู่นี้ข้าได้ยินเสียงผู้หญิงตะโกนว่า ‘ช่วยด้วย’ เจ้าเห็นใครได้รับความเดือดร้อนแถวนี้หรือไม่?”
เมื่อเหลียวหลันได้ยินเช่นนั้น นางก็ตะโกนใส่ผ้าในปากของนางพลางกระแทกกำแพงรถม้าอย่างแรง
การเคลื่อนไหวนั้นดังมาก และด้านนอกรถม้าก็มีเสียงต่อสู้กัน
ไม่นานการต่อสู้ก็หยุดลง และชายคนหนึ่งที่ขี่ม้าก็ดึงม่านรถม้าขึ้นและช่วยเหลียวหลัน
“สาวน้อย เจ้าเป็นคนร้องขอความช่วยเหลือหรือ? เจ้าอาศัยอยู่ที่ใด ข้าจะได้พาเจ้ากลับ” ชายคนนั้นดึงผ้าออกจากปากของเหลียวหลันแล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เหลียวหลันหนีรอดจากความตายจึงดีใจจนร้องไห้ออกมา จากนั้นก็สะอื้นไห้และบอกชายคนนั้นว่านางเป็นใคร
โชคดีที่ชายคนนี้เป็นคนดีจริง ๆ หลังจากที่พานางไปส่งที่ประตูเมืองเตียนหลันด้วยรถม้าแล้ว เขาก็จากไปโดยไม่ได้เรียกร้องรางวัล
ภายในเมืองเตียนหลัน เหลียวชิ่งแทบจะเป็นบ้า เมื่อเหลียวหลันปรากฏตัวที่ประตูเมืองพร้อมอาการบาดเจ็บ เขาก็รีบวิ่งลงไปต้อนรับลูกสาวของเขากลับมา
หลังจากปลอบใจแล้ว เหลียวชิ่งก็รู้ว่าลูกสาวของตนถูกลักพาตัวในคืนนี้ ไม่ต้องพูดถึงอาการบาดเจ็บและการที่นางเกือบจะถูกส่งเข้าไปในถ้ำหมาป่า เหลียวชิ่งที่ตื่นตระหนกและโกรธจัดก็เรียกแม่ทัพป้องกันเมืองเตียนหลันมาทันที เพื่อเตรียมสวามิภักดิ์กับฉีรุ่ยหู่อย่างเต็มตัว
ก่อนหน้านี้ฉีรุ่ยหู่ต้องการจะสร้างสัมพันธไมตรีด้วย แต่เขาได้เลื่อนออกไปด้วยเหตุผลหลายประการ โชคดีที่ฉีรุ่ยหู่ไม่ต้องการเห็นเมืองที่เขายึดมาได้นองเลือดและกลายเป็นเมืองร้างที่เต็มไปด้วยซากศพ เขาจึงไม่เข้าโจมตี
ที่สำคัญกว่านั้นคือฉีรุ่ยหู่ได้รับความมั่นใจจากต๋งชวนเมื่อไม่กี่วันก่อน และทหารของต้าเซี่ยกำลังจะออกจากค่ายและกลับไปรวมตัวกันที่เมืองหลวงอีกครั้ง แล้วเมืองเตียนหลันแห่งนี้ก็จะกลายเป็นดินแดนที่ต้าเซี่ยไม่อาจอ้างสิทธิ์ได้ และในเวลานั้นเจ้าเมืองเหลียวชิ่งก็ย่อมต้องยอมจำนนและยอมสวามิภักดิ์
เมื่อเหลียวชิ่งเตรียมเอกสารทางการทั้งหมดเพื่อเข้าสวามิภักดิ์ ผู้ช่วยข้างกายเขาก็นำข่าวที่น่าประหลาดใจมาบอก
คืนนั้นเหลียวชิ่งและผู้ช่วยของเขาเชิญแม่ทัพที่ปกป้องเมืองเตียนหลันมาพูดคุยกันอย่างละเอียดทั้งคืน ในวันที่สองเหลียวชิ่งผู้เป็นเจ้าเมืองเตียนหลันก็พาภรรยาและลูกของเขาไปที่ค่ายของฉีรุ่ยหู่เพื่อหาที่หลบภัย
ข่าวการย้ายไปนี้แพร่กระจายไปยังค่ายทหาร เหยาจ้าวโกรธจัดและวางแผนที่จะยกทัพไปโจมตีเมืองเตียนหลันทันที แต่ต๋งชวนก็ยังคงออกคำสั่งให้ทหารไม่เคลื่อนไหวเช่นเคย
แต่หลังจากคำสั่งทหารของจวนสกุลต๋งออกมาในครั้งนี้ ทหารมากกว่าครึ่งก็ไม่เชื่อฟังคำสั่งอีกต่อไป และถอดผ้าสีกากีที่แขนออกเพื่อเข้าร่วมกองทัพของจวนผิงเล่อเฮ่า
ต๋งชวนตกใจก่อนจะสั่งให้ใช้กฎหมายทหารจัดการกับ “คนทรยศ” เหล่านี้ แต่เหยาจ้าวได้พาคนบุกเข้าไปในกระโจมของต๋งชวน
………………………………………………………………………..