บทที่ 218 ใครต้องนอนที่พื้น
ฉินปู้เข่อรีบปรับท่าทางของตนเป็นนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ แล้วหยิบชามขึ้นมาก้มหน้ากินข้าว
นางหิวจริง ๆ
อีฮ่วยผลักประตูเข้ามาพร้อมกับอ่างทองแดงในมือของนาง แล้วพูดช้า ๆ ว่า “ฮูหยินควรล้างมือหลังอาหารเย็น และเดี๋ยวจะมีคนนำอ่างอาบน้ำมาให้นะเพคะ”
อ่างอาบน้ำ…
“อ่า ไม่ ไม่ต้องหรอก วันนี้ข้าเดินจนเหนื่อยแล้ว แค่ล้างหน้าก็พอ” ยังมีหมี่เฉินอี้อยู่ในห้องแล้วนางจะอาบน้ำได้อย่างไร!
อีฮ่วยไม่ได้สงสัยนางและกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าน้อยจะนำน้ำอุ่นสะอาด ๆ ใส่อ่างมาให้ฮูหยินล้างหน้านะเพคะ”
“อืม” ฉินปู้เข่อกินผักพลางคิดเกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องพูด
“ขออนุญาตเพคะ–” ประตูถูกเปิดอีกครั้ง และอีฮ่วยก็เดินเข้ามาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นอีกหนึ่งใบ
ฉินปู้เข่อวางชามเปล่าในมือลง แล้วพูดหลังจากใคร่ครวญแล้วว่า “พี่หญิงฮ่วย พรุ่งนี้นายท่านอยู่ที่ตำหนักหรือไม่ เช้านี้ข้ายังไม่ได้ไปทักทายเลย ข้าจึงอยากจะไปทักทายท่านในวันพรุ่งนี้”
“นายท่านบอกว่าฮูหยินไม่จำเป็นต้องกักตัวอยู่ที่นี่ ท่านจึงไม่จำเป็นต้องไปทักทายท่าน” อีฮ่วยกล่าวและหยุดชั่วขณะหนึ่ง “นายท่านรักสันโดษเพคะ”
ฉินปู้เข่อสำลักชาและพูดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “เมื่อวานนี้ข้าพบพ่อสามีโดยบังเอิญเมื่อข้าฟื้นขึ้นมา ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าเขาอยู่ที่นี่ จึงต้องปฏิบัติตามมารยาทพื้นฐาน ไม่ต้องพูดถึง…”
นางพูดถึงความผิดเล็กน้อยและเสียงของนางก็เบาลง “ข้าไม่ได้เป็นคนพูดเสียงดัง และข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดมากเมื่อเดินไปกับเขา”
อีฮ่วยเหลือบมองหญิงสาวขี้อายที่ก้มศีรษะลง นางเม้มปากเงียบ ๆ และยกยิ้ม นางอยู่ในตำหนักแห่งนี้มาหลายปีแล้ว และสิ่งที่นางได้ยินในวันนี้ก็คุ้มกับสิ่งที่ทุกคนในตำหนักบอกกับนางมาเป็นปีแล้ว
“ไม่เป็นอะไร” ฉินปู้เข่อยกยิ้มอย่างพอใจ “พรุ่งนี้เช้าหากข้าพร้อมแล้วก็พาข้าไปที่นั่นเถอะ”
อีฮ่วยโค้งคำนับ “เพคะ”
ฉินปู้เข่อผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางเดินไปหยิบผ้าฝ้ายจากมืออีฮ่วยแล้วพูดว่า “ข้าบอกเจ้าไปเมื่อวานนี้แล้วว่าการล้างหน้าและจัดเตียงนั้นเป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ข้าเองก็มีมือมีเท้า เจ้าไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันในการปรนนิบัติ แต่เพียงแค่ทำความสะอาดส่วนที่เหลือบนโต๊ะนี้และกลับไปพักผ่อนได้เลย”
“เพคะ” อีฮ่วยกวักมือเรียก และนางกำนัลที่รออยู่ที่ประตูก็เข้ามาหยิบจานบนโต๊ะออกไปทีละจาน
หลังจากไม่มีเสียงหรือการเคลื่อนไหวจากด้านนอกแล้ว ฉินปู้เข่อก็เป่าเทียนเงินในห้องชั้นนอก ตรวจสอบประตูและหน้าต่างแล้วเดินเข้าไปในห้องชั้นใน
“เสด็จอา” ตะเกียงในห้องชั้นในถูกจุดขึ้น ฉินปู้เข่อขมวดคิ้วขณะมองไปยังชายที่นอนตะแคงอยู่บนเตียงอย่างสบาย ๆ “คืนนี้ท่านจะพักที่ไหน?!”
“ที่นี่แหละ” หมี่เฉินอี้ลุกขึ้นนั่งและกอดอกอย่างหยิ่งผยอง “อย่างที่เจ้าพูด ข้าหลงทางและคาดว่าจะไม่สามารถออกไปจากตำหนักนี้ได้ในชั่วข้ามคืน จึงดีกว่าที่จะพักผ่อนที่นี่และรอให้เจ้าออกไปสำรวจในวันพรุ่งนี้”
ฉินปู้เข่อเดินไปที่เตียงแล้วโยนผ้าห่มเข้าไปในอ้อมแขนของหมี่เฉินอี้ แล้วชี้ไปที่พื้น “ลงไปนอนคนเดียวที่พื้น”
หมี่เฉินอี้ “ข้าไม่ลง ข้าเป็นผู้อาวุโสและต้องการนอนบนเตียง”
ฉินปู้เข่อ “… “ นางลืมไปได้อย่างไรว่าทักษะพิเศษของคนผู้นี้ คือการลบล้างความปรารถนาดีที่มีต่อเขาในหัวใจของนาง!
เมื่อครู่นี้นางรู้สึกซาบซึ้งกับความจริงที่ว่าเขากล้าเข้ามาหานาง แต่ตอนนี้ฉินปู้เข่อรู้สึกแค่ว่าชายคนนี้ต้องถูกทุบตี!
“ขอประทานโทษ ในบรรดาคนแก่ คนอ่อนแอ คนป่วย และคนท้องนั้น ท่านเข้าข่ายแค่ประเภทเดียว แต่หม่อมฉันเข้าข่ายถึงสามประเภทคือ ‘อ่อนแอ ป่วยและท้อง’ และในฐานะผู้อาวุโสก็โปรดเสียสละให้ผู้น้อยด้วย ขอบพระทัยเพคะ” นางกลอกตาแล้วโยนผ้าห่มทิ้งลงกับพื้น “เสด็จอารีบลงไปพักผ่อนเถอะ”
หมี่เฉินอี้พ่นลมออกมาเบา ๆ และล้มตัวนอนบนหมอน ดูเหมือนหมูตายที่ไม่กลัวโดนน้ำร้อนลวก
“เสด็จอา!” ฉินปู้เข่อยืนบนเตียงและยกเท้าขึ้นเพื่อจะเตะหมี่เฉินอี้ และจะพยายามถีบเขาลงไปที่พื้น
เท้าที่เหยียดออกนั้นถูกมือหนาจับเอาไว้ได้ แล้วมือใหญ่ก็ดึงฉินปู้เข่อให้นอนลงบนเตียง
จากนั้นหมี่เฉินอี้ก็ยกผ้าห่มขึ้นคลุมทั้งสองคนแล้วหลับตาลง “นอนได้แล้ว”
……
ฉินปู้เข่อตกตะลึงเล็กน้อย นางค่อนข้างรู้สึกแปลก ๆ แต่นางไม่รู้จะพูดอย่างไร
“เอ่อ…” นางกระแอมในลำคอและบิดข้อเท้าใต้ผ้าห่ม “หม่อมฉันไม่รังเกียจที่จะแบ่งเตียงให้ท่านครึ่งหนึ่งในช่วงเวลาพิเศษ แต่ท่านช่วยปล่อยเท้าของหม่อมฉันได้หรือไม่”
“จุ๊…”
มือใหญ่ที่อยู่ใต้ผ้าห่มไม่เพียงแต่ไม่ปล่อย แต่ยังจับเท้าของนางไว้แล้วลูบเบา ๆ ฝ่ามือหนาลูบหลังเท้าของนางแผ่วเบา ทำให้นางรู้สึกจั๊กจี้เท้าเล็กน้อย
ฉินปู้เข่อตกตะลึงและกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้กำลังทำอะไร!
หัวใจของนางเต้นรัว และก็นึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่นางมีร่วมกับหมี่เฉินอี้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่มีปัญหาอะไร การแลกเปลี่ยนครั้งก่อนก็ค่อนข้างปกติ
หมี่เฉินอี้มีความคิดแบบ ‘ข้าคือผู้อาวุโส’ ที่ต้องการดูแลนางอยู่เสมอ และเขาก็หยอกล้อนางเป็นครั้งคราว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรน่าสงสัยหรือชวนจินตนาการ…
ขณะที่นางกำลังคิดถึงมาตรการรับมือ หมี่เฉินอี้ก็ปล่อยมือและเยาะเย้ย “เหตุใดเจ้าถึงดูหวั่นไหวนัก? ข้าแค่ต้องการดูว่าแผลที่เท้าเจ้าทิ้งรอยแผลเป็นไว้หรือเปล่า”
เฮ้อ…
“อ๋อ ฮ่า ๆ” ฉินปู้เข่อหัวเราะกลบเกลื่อน นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก และหัวเราะสองสามครั้งเพื่อปกปิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและความประหม่าของตน “หม่อมฉันแค่จะบอกว่า ฮ่า ๆ จริงด้วย ฮ่า ๆ”
พรึ่บ
หมี่เฉินอี้ยกมือขึ้นเบา ๆ และเทียนเงินในห้องชั้นในก็ดับลง
“สาวน้อย ข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงมาสองสามเดือนแล้ว เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่” หมี่เฉินอี้พูดช้า ๆ ในความมืด
ในช่วงสองสามเดือนที่ฉินปู้เข่อกำลังตั้งครรภ์ หมี่เฉินอี้ได้กลับไปชายแดนเพราะศักดิ์ศรีของเขาในกองทัพ แม้ว่าทุกวันนี้คนอื่น ๆ จะอยู่ในเมืองหลวง แต่ชายแดนก็ยังมั่นคง
เมื่อนึกย้อนกลับไปแล้วก็ดูเหมือนว่าเขาจะรีบกลับมาที่เมืองหลวงสองสามวันก่อนที่นางจะคลอดบุตร
“ไม่” ฉินปู้เข่อตอบอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา
ในหัวใจของนาง นางถือว่าหมี่เฉินอี้เป็นผู้อาวุโสเสมอ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนและนานเพียงใดก็ไม่ได้สำคัญอะไรกับนาง
“เลือดเย็น”
ฉินปู้เข่อที่กำลังนอนหงายรู้สึกว่ามีคนมองจากด้านข้างอยู่เสมอ ซึ่งทำให้นางรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“ไม่ได้เลือดเย็น ตอนที่โม่หรู่ไปที่แนวหน้าหม่อมฉันก็คิดถึงเขา” ฉินปู้เข่ออธิบายอย่างจริงจัง “ท่านเป็นอาผู้อาวุโสของหม่อมฉัน แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องคิดถึงท่านด้วย โม่หรู่คือสามีของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงต้องคิดถึงเขา”
“มันก็สมเหตุสมผลแล้ว” หมี่เฉินอี้ขยับร่างกายแล้วนอนหงายเหมือนส่งสัญญาณว่าจะคุยต่อ “เจ้าชอบโม่หรู่มากเลยหรือ?”
สายตาที่จ้องมองขยับออกไปแล้ว ฉินปู้เข่อจึงรู้สึกอึดอัดน้อยลงและยกยิ้ม “นั่นเป็นเรื่องปกติ หม่อมฉันตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น แม้ว่าข้าจะหลงเสน่ห์หน้าตาของเขาเล็กน้อย ฮ่า ๆ”
“ข้าได้ยินมาว่าตอนแรกเจ้าขอให้โม่หรู่ลงนามในหนังสือหย่าไม่ใช่หรือ?”
“ก็ใช่ ตอนแรกก็หลงใหลหน้าตา แต่ต่อมารู้สึกว่าใบหน้าหล่อเหลานั้นไว้ใจไม่ได้จึงต้องการจะหย่า แต่ตอนหลังก็รู้สึกว่าเขานิสัยดีจึงไม่อยากหย่าแล้วเพคะ” ฉินปู้เข่อแสดงจุดยืนของตนอย่างชัดเจนด้วยคำพูดไม่กี่คำ
ห้องเงียบลงจนมีเพียงเสียงหายใจเท่านั้น ฉินปู้เข่อนอนไม่หลับเพราะหมี่เฉินอี้ แต่เมื่อนางกำลังจะผล็อยหลับไป คำพูดอีกประโยคหนึ่งก็ดังเข้ามาในหูของนางเพื่อทำให้นาง ‘รู้สึกตื่นตัว’ ทันที
…………………………………………………………………………