บทที่ 248 เพื่อนชายคนเก่า
บทที่ 248 เพื่อนชายคนเก่า
“เจ้ากำลังทำอะไร!” หมี่เฉินอี้รู้สึกว่านางแตะท้องของเขา เขาจึงเด้งตัวหลบทันที
ฉินปู้เข่อมองเขาด้วยความประหลาดใจ “เสด็จอา ท่านเป็นอะไรไป เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น หม่อมฉันเพิ่งรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับท่าน อาการบาดเจ็บจากการสูญเสียเลือดมากเกินไปทำให้ท่านสับสนเลยหรือเพคะ!?”
หมี่เฉินอี้ตกตะลึงอยู่กับที่ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตอบรับฉินปู้เข่อขณะก้าวลงบันได “ใช่! เสียเลือดมากเกินจนไปเลี้ยงสมองไม่พอ!”
เขาอารมณ์เสียมากเมื่อพูดเช่นนี้ แม้แต่เสียงของเขาก็ดังกึกก้อง
ดวงตาของฉินปู้เข่อแปรเปลี่ยนเป็นขุ่นหมองเพราะเสียงนั้น นางปิดหูของตนพลางเหลือบมองเขาอย่างหงุดหงิด “คนโรคจิต”
ขณะที่นางพูดก็ขยี้หูและเดินเข้าไปในห้องเพื่อดูแลหมี่โม่หรู่อีกครั้ง
หมี่เฉินอี้มองดูนางเดินไป เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาทำเมื่อหนึ่งเค่อก่อนขึ้นมาได้ เขาก็ยกมือขึ้นตบปากตัวเองสองทีอย่างหงุดหงิด
นับตั้งแต่เขาปฏิเสธข้อเสนอของอาเหิงเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน เขาก็รู้สึกผิดโดยไม่มีเหตุผลเมื่อเจอกับแม่สาวน้อยผู้นี้ และรู้สึกอยู่เสมอว่าความคิดด้านมืดในจิตใจที่ต้องการครอบครองนางของเขาจะถูกนางค้นพบ
เมื่อฉินปู้เข่อปรากฏตัวขึ้นในสายตาของเขา เขาก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างควบคุมไม่ได้
ในเวลานี้ทั้งสองคนไม่ได้ไปไกลนัก เสียงของหมี่เฉินอี้จึงดังเข้าไปถึงในห้องและเข้าหูของหมี่อี้เหิง
เขานึกถึงท่าทางกระวนกระวายของหมี่เฉินอี้ที่ไม่ยอมรับ แล้วหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะส่ายหัวพลางยกยิ้ม
การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังกล่าวทำให้ฮ่องเต้ต้าเซี่ยที่เคยตึงเครียดผ่อนคลายลงมาก เขามองหมี่อี้เหิงอย่างหวาดเกรงระคนสงสัย
“ข้าเดาว่าเจ้าคงจะยุ่งอยู่ตลอดเวลาจึงมองไม่ออก” หมี่อี้เหิงเลิกคิ้วขณะมองเขา พวกเขาทั้งสองรู้สึกคุ้นเคยและสนิทสนมเหมือนตอนที่อยู่ในห้องอ่านหนังสือที่ตำหนักบูรพาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
หัวใจของฮ่องเต้ต้าเซี่ยค่อย ๆ ออกจากความมืดมน เขาถามด้วยความสงสัยว่า “มองอะไรไม่ออก?”
“อาเฉิน หัวใจของเจ้าเด็กคนนั้นเต้นแรงมากเมื่อเร็ว ๆ นี้ เจ้าไม่สังเกตเห็นเลยหรือ?” หมี่อี้เหิงพูดราวกับว่าเขากำลังพูดถึงน้องชายของตน “ข้ารู้มานานแล้วว่าเขาจะช้า แต่ไม่คิดว่าจะนานถึงเพียงนี้ เขาเพิ่งจะเริ่มต้นในขณะที่เจ้าได้เป็นปู่แล้ว”
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยจ้องตาของเขา ไม่นานเขาก็แยกประเด็นสำคัญสองประเด็นออกมาได้จากคำพูดของเขา
“ใช่แล้ว ข้าได้เป็นปู่แล้ว จุ๊ เจ้าเด็กคนนี้กำลังหมายตาสตรีคนใดอยู่ ข้าไม่เห็นเขาคิดจะเริ่มพูดถึงนางเลย ตอนที่เขากลับมาครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วข้าก็ยังคอยช่วยเขาเรื่องนี้อยู่เลย เขาบอกหลายครั้งว่าข้าใจร้อนเกินไป ข้าจึงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีก แล้วตอนนี้หากเขามีคนที่หมายตาไว้แล้ว เหตุใดเขาถึงไม่บอกข้า เพราะข้าก็ยังคงมองหาสตรีอื่นให้เขาอยู่”
หมี่อี้เหิงเคาะโต๊ะด้วยนิ้วอันเรียวยาวของเขา เพื่อดึงดูดความสนใจของฮ่องเต้ต้าเซี่ย “ข้าไม่อาจตำหนิเขาเรื่องนี้ เพราะเขาไม่อาจเปิดปากบอกได้ สุดท้ายแล้วตอนนี้ก็เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ค่อนข้างจริงจัง และไม่อาจทำให้ความอาวุโสของตนเสื่อมเสียไปได้…”
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยเหลือบมองนิ้วบนโต๊ะ ความบูดบึ้งในใจของเขาจางหายไปเล็กน้อย และความรู้สึกมั่นคงที่อธิบายไม่ได้ก็ปรากฏขึ้น
การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคย ตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มเรียนรู้คำศัพท์อยู่ข้างกายอาเหิง อาเหิงจะเตือนเขาเช่นนี้ทุกครั้งที่เขาฟุ้งซ่าน
ดูเหมือนว่าแม้พวกเขาจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่อาเหิงก็ไม่ได้เกลียดชังเขา
“ท่านรู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร?” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยถอนหายใจแล้วถาม
หมี่อี้เหิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปลี่ยนเรื่อง “โอรสองค์ที่สองไร้ประโยชน์ ต่อไปเจ้าจะใช้ใคร?”
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยเอนไปข้างหน้าแล้วถามว่า “เจ้าเจ็ดดีหรือไม่?”
“จุ๊” หมี่อี้เหิงเหลือบมองเขาจากด้านข้าง “ฝ่าบาท ตำแหน่งองค์รัชทายาทเกี่ยวข้องกับสังคมของอาณาจักร จึงไม่ควรตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่นเพราะความรู้สึกส่วนตัวหรือเหตุผลทางจิตใจอื่น ๆ”
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยเปลี่ยนท่าทางเป็นเคร่งขรึม “ข้าไม่ได้ต้องการจะชดเชยให้ท่าน หรือลำเอียงเพราะคิดว่าเขาเป็นลูกของท่าน แต่เป็นเพราะในปีนี้เจ้าเจ็ดทำได้ดี เขามีความรับผิดชอบ เชื่อถือได้ จัดการปัญหาได้และไม่ก้าวร้าว ข้าจึงพึงพอใจเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“ตอนนี้เขาไม่ได้ต้องการเช่นนั้นอีกแล้ว” คำพูดของหมี่อี้เหิงเต็มไปด้วยความเสียใจและหงุดหงิด
เดิมทีเขาต้องการให้เด็กผู้นี้ต่อสู้มากกว่านี้ ทว่าเหตุใดเขาถึงสูญเสียพลังปราณไปโดยไม่ได้ตั้งใจ มันช่างน่าหงุดหงิดนัก! เขาประเมินอิทธิพลของแม่สาวน้อยที่มีต่อโม่หรู่ต่ำไป!
“ไม่หรอก” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยเม้มปากและยกยิ้มอย่างเฉยเมย “ไม่มีองค์ชายองค์ใดที่เกิดในราชวงศ์แล้วไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องบัลลังก์ หากเขาคิดจะไม่สนใจจริงก็พูดได้เพียงว่าตอนนี้เขาคงจะยังไม่เข้าใจรสชาติของอำนาจ ครั้นเข้าใจแล้วข้าก็เกรงว่าเขาจะติดใจเสียจนไม่อาจดิ้นหลุดไปได้ ไม่ว่าอะไรจะรั้งเขาไว้ก็ตาม…”
ราวกับว่าถูกกดปุ่มหยุดชั่วคราว เสียงของฮ่องเต้ต้าเซี่ยหยุดลงอย่างกะทันหันและทั้งห้องก็เงียบสงัด
หมี่อี้เหิงเอียงศีรษะด้วยความสนใจและถามว่า “เป็นอะไรไป? เขาจะสละจริงหรือไม่ เกรงว่าเราจะประเมินเจ้าเจ็ดผิดไป อย่ามองชีวิตวัยเด็กที่ไม่น่าพอใจของเขา สิ่งที่เขาต้องการในใจไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถเข้าใจได้ หากรู้แล้วบางทีเจ้ากับข้าอาจจะเต็มใจยอมแพ้ก็ได้ แต่เขาจะไม่ยอมแน่”
“ใช่ ใช่แล้ว” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยเผยรอยยิ้ม เขาค่อนข้างเสียใจกับประเด็นนี้ แต่เขารู้ว่านี่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับเขาทั้งสองที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“อืม” หมี่อี้เหิงพยักหน้า เด็กโม่หรู่นั้นค่อนข้างคล้ายกับเขา
“เช้าแล้วฝ่าบาท ถึงเวลาที่จะต้องไปราชสำนักแล้ว และถึงเวลาที่ข้าจะต้องพักผ่อน” หมี่อี้เหิงมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเอ่ยเตือนอย่างอบอุ่น
นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะสองครั้งเป็นสัญญาณว่าถึงเวลายุติการสนทนา
เขายืนขึ้นแล้วก้าวเดินไปที่ประตู
ฟึ่บ!
เมื่อหมี่อี้เหิงกำลังจะผ่านหน้าเขาไป ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็จับมือเขาไว้
เสียงที่คมชัดทำให้หมี่อี้เหิงหยุดอยู่กับที่
“เป็นอะไรไป” เสียงของหมี่อี้เหิงมืดมน
ฮ่องเต้ต้าเซี่ยกระแอมและรู้สึกราวกับว่ามีคำพูดเข้ามาในปากของเขาเป็นพันคำ แต่ในที่สุดก็พูดว่า “ท่านมีที่พักแล้วหรือ?”
หมี่อี้เหิง “…”
ฮ่องเต้ต้าเซี่ย “…”
“มีแล้ว ข้าอยู่กับโอรสองค์ที่สองของเจ้ามานานแล้ว” หมี่อี้เหิงไม่ได้ดึงมือออกและไม่ได้ขยับเท้าต่อ เขามองลงไปยังใบหน้าของฮ่องเต้ต้าเซี่ยแล้วตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “และข้า… จะไม่ออกไปตอนนี้”
มือที่จับหลังมือของเขานั้นเหี่ยวย่นมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หมี่อี้เหิงดึงมือของตนออกมาอย่างเงียบ ๆ “ฝ่าบาท ข้าเกรงว่าหากเจ้ามัวช้าไปกว่านี้ เจ้าจะไปสายนะ”
ฟึ่บ!
มือที่เพิ่งถูกดึงกลับถูกจับมากุมไว้อีกครั้ง
“อาเหิง ตอนนั้น… ข้าไม่รู้มาก่อนเลย… เมื่อข้ารู้แล้ว… แล้ว… ข้าไม่ได้จะ… ทอดทิ้งเจ้า… ข้าไม่รู้”
บัดนี้ฮ่องเต้ผู้ปกครองอาณาจักรกลายเป็นเหมือนเด็กหนุ่มที่กระทำความผิด เขาก้มศีรษะลงและเม้มปากรอฟังคำตัดสิน
หมี่อี้เหิงขยับนิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเช้านี้ฝ่าบาทต้องการจะหนี? เจ้าต้องรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องไปแต่เช้า เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้แล้วยังจะให้ข้าต้องลงโทษอีกหรือ?”
ขณะที่หมี่อี้เหิงกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ฮ่องเต้ต้าเซี่ยก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า อีกประโยคหนึ่งดังก้องอยู่ในใจของเขา
“เช้านี้ฝ่าบาทต้องการหนีเรียนหรือ เจ้าต้องรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องไปเรียนแต่เช้า หรือจะให้ข้าลงโทษให้คัดลอกหนังสือ?!” ขณะนั้นเขาเพิ่งได้เป็นองค์รัชทายาทและถูกยกหางให้สูง
“ข้ากำลังไป อาเหิง อย่าโกรธเลย” ฮ่องเต้ต้าเซี่ยลุกขึ้นทันทีและรีบเรียกคนมาช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า
องครักษ์ชั้นในที่เฝ้าประตูถือชุดราชสำนักเข้ามา
เข็มขัดของชุดราชสำนักถูกสวมใส่เรียบร้อยแล้ว
หมี่อี้เหิงหยิบมงกุฎหยกบนถาดแล้วเดินช้า ๆ ไปหาหมี่เจ๋อเฉิน หมี่เจ๋อเฉินก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วใส่มวยผมไว้ใต้มงกุฎหยกจนแน่น
“ข้าไม่ได้เห็นมันมาหลายปีแล้ว มงกุฎหยกนี้ยังคงดูล้าสมัยเหมือนตอนที่เจ้าสวมมันครั้งแรกเลย” นิ้วเรียวของหมี่อี้เหิงมัดสายมงกุฎหยกติดกับคางของเขาแน่น
“ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะเปลี่ยนรูปแบบของมันเมื่อท่านไม่อยู่ที่นี่” สิ่งที่หมี่เจ๋อเฉินพูดคือความจริง ย้อนกลับไปในตอนนั้น ทั้งสองคนตื่นเต้นตลอดทั้งคืนหลังจากได้เห็นมงกุฎหยก แต่พวกเขารู้สึกว่ารูปแบบของมงกุฎหยกนั้นล้าสมัยเกินไป
ในวันแรกของการเข้าราชสำนัก หมี่เจ๋อเฉินคิดจะเปลี่ยนรูปแบบของมงกุฎหยก แต่เขาก็ยุ่งมากเมื่อเขาเข้ามาราชสำนักครั้งแรก เรื่องนี้จึงถูกระงับไป
รูปแบบนี้ยังคงใช้กันต่อไปจนกระทั่งหมี่อี้เหิงหายตัวไป
“หากเรามีเวลาก็มาวาดรูปออกแบบเปลี่ยนรูปแบบกันเถอะ” หมี่อี้เหิงจัดเสื้อให้คนตรงหน้าเขาแล้วผายมือเชื้อเชิญ “บัดนี้ฝ่าบาทควรรีบไปราชสำนักได้แล้ว”
“อืม” ประโยคสุดท้ายดูเหมือนจะให้ความมั่นใจกับหมี่เจ๋อเฉิน แม้ว่าเขาจะตื่นทั้งคืนก็ไม่เหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย เขาเดินออกจากห้องด้วยเรี่ยวแรงที่เต็มเปี่ยมและขึ้นไปบนเสลี่ยง
พระอาทิตย์ยามเช้าค่อย ๆ ขึ้นอย่างแช่มช้า แสงสีแดงส้มบางส่วนตกกระทบบนใบหน้าของหมี่อี้เหิง เขาเอามือไพล่หลังมองไปยังเสลี่ยงที่อยู่ห่างไกล ก่อนจะค่อย ๆ ยกยิ้มมุมปาก
เมื่อเขาหันหลังกลับมาก็มีเสียงอันไพเราะดังขึ้นจากประตูตำหนัก
“ท่านพ่อสามีเพคะ ท่านต้องการเสวยอาหารเช้าที่นี่หรือไม่?” ฉินปู้เข่อเดินมาพร้อมกับถาดด้วยรอยยิ้ม “ท่านยังไม่ได้เจอโม่หรู่เลย”
นางคิดในใจว่าดูเหมือนว่าเพื่อนชายคนเก่าคนนี้สำคัญกว่าลูกชายของเขายิ่งนัก เขาจึงพักอยู่กับเพื่อนชายคนเก่าถึงครึ่งคืน และอาจจะลืมโม่หรู่ไปแล้ว
เป็นความจริงไม่ว่าลูกของเขาจะเป็นเช่นไร
หมี่อี้เหิงมองดูลูกสะใภ้ที่ยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความหวาดระแวงแล้วถอยหลัง “ข้าไม่กล้ากินของของเจ้าเข้าไปตามใจชอบหรอก ใครจะรู้ว่าเจ้าอาจจะทำให้ข้าหลับไปอีกครั้งโดยไม่มีเหตุผลก็ได้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็มองฉินปู้เข่อขึ้นและลง
“เจ้าอยู่ที่นี่ทั้งคืนแต่ก็ยังดูสดใสดี”
มีความเจ้าเล่ห์ในดวงตาของฉินปู้เข่อ นางยื่นมือออกมาและกะพริบตา ทันใดนั้นถ้วยใสที่มีของเหลวสีน้ำตาลก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง
“ท่านพ่อสามีต้องการลองชิม ‘กาแฟลาเต้คึกคัก’ ของหม่อมฉันหรือไม่ อย่าว่าแต่นอนตอนกลางคืนเลย หม่อมฉันสามารถตื่นแข่งกับดวงดาวได้เลยเพคะ”
หมี่อี้เหิงไม่สามารถขยับเท้าของเขาได้ ขณะมองไปยังถ้วยของเหลวสีน้ำตาล
เขาไม่ใช่เทพเจ้า เขาอยากรู้อยากเห็น อยากรู้อยากเห็นมาก
ครั้งที่แล้วเขาหลับไปเพียงสองเค่อเพราะดื่มชาเทพเจ้า แต่เขาใช้เวลาร่วมกับหมี่เจ๋อเฉินมากกว่ายี่สิบปีในความฝัน ความฝันนั้นช่างสดใสยิ่งนัก และเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขสำหรับเขาและเจ๋อเฉิน
ตอนนี้เขาอยากลอง ‘ลาเต้คึกคัก’ นี้จริง ๆ
“ก็ได้ หม่อมฉันจะดื่มให้ท่านดูก่อน” ฉินปู้เข่อดื่มของเหลวหมดถ้วยในอึกเดียว และลูบปากราวกับว่าต้องการดื่มอีก “หม่อมฉันไม่ชอบดื่มชา แต่ที่นี่ไม่มีกาแฟ สิ่งนี้จึงทำให้หม่อมฉันค่อนข้างเสพติด”
จากนั้นนางก็เดินไปข้างหมี่อี้เหิง ก่อนจะหยิบกาแฟอีกถ้วยหนึ่งยื่นให้เขา “แก้วนี้สำหรับท่านพ่อสามี รสชาติดีนักเพคะ”
หมี่อี้เหิงหยิบถ้วยและไม่ขยับ
ฉินปู้เข่อมองคนที่ชะงักไปและรู้สึกว่า ‘ดีจริง ๆ’ แล้วนางก็หยิบถาดขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปในห้อง “ท่านสามารถจิบเพื่อลิ้มรสชาติได้ สิ่งนี้จะกระตุ้นเล็กน้อยหากดื่มในตอนที่ท้องว่าง ท่านสามารถรอจนกว่าจะเสวยอาหารเช้าเสร็จแล้วค่อยดื่มก็ได้เพคะ”
…………………………………………………………………………