ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะเริ่มจับสายธนู บรรดานายหมู่ภายใต้สังกัดของเซียวเซ่อก็เริ่มตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่า “อย่าเสียแรงเลยไอ้หนู รีบเรียกท่านปู่เร็วเข้า! ได้เรียกผู้บัญชาการกองร้อยของพวกเราว่าท่านปู่นั้นเป็นโชคดีของเด็กเหลือขออย่างแกแล้วนะ!!!”
โจวเหว่ยชิงหันไปมองที่นายหมู่ที่ตะโกนออกมา แสร้งทำเป็นว่าเขาได้ยินไม่ชัด ก่อนจะถาม “ท่านขอให้ข้าเรียกอะไรนะ?
นายหมู่คนนั้นตอบออกมาอย่างลืมตัว “ท่านปู่”
โจวเหว่ยชิงยิ้มออกมาและกล่าวอย่างยินดี “โอ้ ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ! แต่ว่านะ มีหลานอย่างเจ้าได้เนี่ย บรรพบุรุษน่าจะต้องลืมทำบุญมาแน่ๆ”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!!?” นายหมู่คนนั้นเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาถูกหลอกโดยเจ้าทหารใหม่ที่ดูซื่อๆ คนนั้น เขาลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ แต่ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงก็ทำสีหน้าเยาะเย้ยและออกแรงใช้แขนทั้งสองข้างง้างธนูอุษาสีม่วงออกจนกระทั่งกลายเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวงทันที
นายหมู่คนนั้นยืนขึ้นกำลังจะสาบแช่งเขาอย่างโกรธแค้น แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นว่าโจวเหว่ยชิงง้างธนูอุษาสีม่วงออกมาได้จนสุด เข้าอ้าปากค้าง สีหน้าของเขาแสดงออกว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่นิด ไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียว นายหมู่ที่อยู่ใต้บัญชาของเซียวเซ่อต่างก็มีอาการเดียวกันทั้งหมด แม้แต่เซียวเซ่อเองก็ยังทำหน้าราวกับเห็นผี ใบหน้าของเขาราวกับมีคำว่าตกใจเขียนติดอยู่ สำหรับมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังปราณสวรรค์นั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดึงธนูอุษาสีม่วงได้
โจวเหว่ยชิงไม่ได้ปล่อยสายธนูคืนหลังจากง้างมันออกมาได้ แต่กลับคงนิ่งอยู่ในท่าง้างจนสุดนั้นโดยไม่เคลื่อนไหว สีหน้าท่าทางใสซื่อปนขุ่นเคืองที่แสดงออกทั้งหมดก่อนหน้าได้หายไปหมด ขณะนี้มีเพียงสายตาดูถูกเหยียดหยามมองไปยังเซียวเซ่อ โจวเหว่ยชิงร้องเสียงดัง “คุกเข่า เรียกข้าว่าท่านปู่สิ”
หลังจากโจวเหว่ยชิงพูดด้วยเสียงกระแทกกระทั้นเสร็จ เหล่านายหมู่ใต้บัญชาของเซียวเซ่อก็พุ่งไปล้อมเขาไว้ทันที ดูจากท่าทางแล้ว พวกเขากำลังคิดจะโจมตีโจวเหว่ยชิง
ทันใดนั้น รังสีความชั่วร้ายก็วาบผ่านเข้ามาในดวงตาของโจวเหว่ยชิง ภายใต้แขนเสื้อของเขา มณียุทธหยกน้ำแข็งกำลังหมุนวนอย่างเงียบๆ ราวกับหมอกในตอนกลางคืน จากนั้นก็ปรากฏขึ้นบนข้อมือขวาของเขา
พลังปราณสวรรค์และมณียุทธของเขาผสานเข้าด้วยกันในทันที โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่าธนูอุษาสีม่วงที่ถืออยู่ในมือนั้นมีน้ำหนักเหลือเพียงแค่เล็กน้อย ร่างกายทุกส่วนของเขาเต็มไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถอธิบายได้ จู่ๆ มือทั้งสองของเขาก็ออกแรงอย่างไม่รู้สึกตัว จากนั้นก็มีเสียงอะไรบางอย่างแตกหักออกจากกัน ซึ่งนั่นก็คือธนูอุษาสีม่วงที่อยู่ในมือของเขานั่นเอง มันถูกโจวเหว่ยชิงง้างจนหักอย่างไม่มีใครคาดคิด
โจวเหว่ยชิงเหวี่ยงธนูอุษาสีม่วงลงไปที่พื้นราวกับว่ามันเป็นเศษขยะ จากนั้นยกกำปั้นขวาของเขาขึ้นมาเป่าเศษธนูออกจากมือ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ข้าดันคิดว่ามันเป็นของชั้นดี คาดไม่ถึงว่าแค่จับนิดจับหน่อยก็หักเสียแล้ว แล้วนี่ท่านจะยังเรียกมันว่าเป็นธนูได้อีกหรือ?”
“นายหมู่ผู้ไม่มีขนนก” ที่กำลังเตรียมจะโจมตีโจวเหว่ยชิงพลันตกใจจนผมแทบร่วง นั่นเป็นธนูอุษาสีม่วงที่ทำมาจากไม้ดาราอายุกว่าร้อยปีเลยนะว้อยยย!!!!
ดั่งที่ผู้บัญชาการกองร้อยเหมาหลี่ได้พูดไว้ก่อนหน้าแล้วว่า มีเพียงไม่กี่คนในที่นี้ที่สามารถง้างธนูนั้นได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถง้างได้จนคันธนูหัก ต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งขนาดไหนจึงจะสามารถทำเช่นนั้นได้?
จู่ๆ ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ เนื่องจากไม่มีผู้ใดกล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
“พอได้แล้ว พวกเจ้าเล่นอะไรกัน? อยากโดนจับเข้าคุกทหารกันมากนักหรือไง?” เสียงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ดังก้องอยู่ในอากาศด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น และ”นายหมู่ผู้ไม่มีขนนก” ก็ได้โอกาสรีบถอยกลับอย่างรวดเร็ว
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไปที่ธนูอุษาสีม่วงซึ่งแตกอยู่บนพื้น จากนั้นความประหลาดใจก็ปรากฏขึ้นในดวงตาสีเขียวของเธอ เธอหันไปหาเซียวเซ่อและกล่าวว่า “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว ใช่หรือ ไม่?”
ใบหน้าของเซียวเซ่อกลายเป็นสีเขียวสลับขาว เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะโดนทหารใหม่อย่างเจ้าอ้วนน้อยโจวหลอกเอาได้ นอกจากนี้ เขายังต้องเสียหน้าต่อหน้าซ่างกวนปิงเอ๋อร์อีก ทั้งธนูอุษาสีม่วงของเขาเองก็ถูกทำลาย
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเขาก็สามารถระงับความโกรธในใจของเขาเอาไว้ได้และยิ้มออกมาอย่างขวยเขิน “อะแฮ่ม ฉะนั้นพี่ชายโจวก็เป็นดาบซ่อนคมสินะ ข้ามองคนผิดไปจริงๆ ขอแสดงความยินดีกับท่านผู้บัญชาการกองพันที่สามารถหาผู้ช่วยที่เก่งกาจขนาดนี้มาได้”
“หากเขาสามารถง้างธนูอุษาสีม่วงได้จนขาดขนาดนี้ เขาก็ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกแล้ว ผู้บัญชาการกองพัน ค่ายทหารใหม่สำหรับพวกทหารเกณฑ์กำลังจะเปิดในไม่กี่วันนี้ ดังนั้นข้าจะต้องไปจัดการกับพวกทหารใหม่พวกนั้นก่อน” หลังจากพูดจบ เขาก็นำเหล่า”นายหมู่ผู้ไม่มีขนนก” ทั้งหมด10 คนของเขาจากไปด้วย
“ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ท่านยังไม่ได้รักษาสัญญาของท่านเลย ท่านยังไม่คุกเข่าหรือเรียกข้าว่า “ท่านปู่” เลย แต่ท่านกลับกำลังเดินจากไปเสียแล้ว?” โจวเหว่ยชิงพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งเย้ยหยัน
เซียวเซ่อหันกลับมามองที่เขา ทันใดนั้นชายหนุ่มรูปงามคนนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างคาดไม่ถึง มันเป็นรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์เพทุบาย “พี่ชายโจว ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าธนูอุษาสีม่วงนั้นเป็นของเดิมพันของข้า และก่อนหน้านั้น ข้าก็พูดแค่ว่า “ทำไมต้องเรียกเจ้าว่าปู่ด้วย?” ดังนั้นนั่นย่อมไม่ถือว่าข้าตกลงจะคุกเข่าเสียหน่อย และหากอยากจะให้ข้าเรียก ก็ย่อมได้ ฉะนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า “อ้วนน้อยโจว” สักสามรอบดีหรือไม่? สำหรับการเดิมพัน ธนูอุษาสีม่วงของข้าก็ถูกทำลายไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่เกี่ยวข้องกับมันอีกต่อไป พวกเราไปกันเถอะ” หลังจากพูดจบ เขาก็โบกมือพาคนของเขาหันหลังเดินจากไป
“บ๊ะ! นี่มันขี้โกงชัดๆ?!” โจวเหว่ยชิงมองเซียวเซ่อที่ถอยกลับไปด้วยความโมโหและหงุดหงิด เขายังอายุน้อยและไม่ทันได้สังเกตเห็น “การเล่นคำ” ของเซียวเซ่อ ดูเหมือนว่าชายคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้
ในอีกด้านหนึ่ง ขณะที่เซียวเซ่อกำลังเดินออกจากกระโจมบัญชาการ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายวับไปกับตา เขากัดฟันพูด “ตรวจสอบประวัติเจ้าอ้วนน้อยโจว ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไปเจอกับมันได้ยังไง! หรือว่ามันจะมาจากพวกตระกูลราชวงศ์?”
นายหมู่ที่ถูกหลอกให้เรียกโจวเหว่ยชิงว่า ‘ปู่’ พูดขึ้นมาเบาๆ “นายท่าน มองดูแล้วเจ้าอ้วนโจวนั่นดูเหมือนเพิ่งจะมีพลังเมื่อไม่นานมานี้เอง ไม่จำเป็นต้องระดมกำลังไปแก้แค้นมันหรอก เพราะคืนนี้ข้าจะไปที่กระโจมของมันและช่วยท่านระบายความโกรธเอง!”
“หึ” เซียวเซ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งสามารถทำลายธนูอุษาม่วงได้หรือไม่? หากคิดไม่ผิด เจ้าเด็กนั่นน่าจะเป็นจ้าวมณียุทธ์ และด้วยพลังมณีของมัน ทำให้ร่างกายของมันแข็งแกร่งมาก ข้าย่อมรู้จักจ้าวมณีในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เกือบทุกคน แต่ว่ามันไม่ใช่หนึ่งในนั้น ฉะนั้นเจ้าควรไปตรวจดูอย่างระมัดระวัง อย่าให้ข้อมูลขาดหายไปแม้แต่กระผีกเดียว”
“ได้ขอรับ”
หลังจากเซียวเซ่อจากไป ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไล่เหมาหลี่และนายหมู่ของเขาออกไปด้วย ก่อนจากไปเหมาหลี่ยังยกนิ้วโป้งให้กับโจวเหว่ยชิงอย่างลับๆ ดวงตาของเขาแสดงออกถึงการยอมรับในตัวโจวเหว่ยชิง เห็นได้ชัดว่าการที่เซียวเซ่อเสียหน้าทำให้เขามีความสุขมาก
หลังจากที่ทุกคนออกไป ก็เหลือเพียงโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ในกระโจมบัญชาการ “อ้วนน้อยโจว เจ้าผสานกับมณีสวรรค์ของเจ้าได้หรือไม่” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถาม สีหน้าแสดงความประหลาดใจออกมาชัดเจน เมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ เธอจึงไม่ต้องเก็บซ่อนสิ่งที่คิดไว้อีกต่อไป
โจวเหว่ยชิงตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “ใช่ขอรับ! ข้าทำเร็จเย็นวานนี้ วิธีที่ท่านสอนข้านั้นง่ายมาก ข้าชักนำปราณขึ้นมา จากนั้นก็พยายามเชื่อมมันเข้ากับมณีธาตุและมณียุทธ์ของข้า และทั้งหมดนั่นก็เป็นไปอย่างราบรื่นเช่นกัน”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกอยู่ในความเงียบ การฝึกของจ้าวมณีง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? แน่นอนว่าไม่ โดนเฉพาะอย่างยิ่งจ้าวมณีสวรรค์ การฝึกกักเก็บปราณสวรรค์นั้นยากกว่ามาก เหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงถูกเรียกว่า ‘อัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆของอาณาจักร’ ก็เป็นเพราะว่าครั้งแรกที่เธอฝึกฝน “การเรียกคืน” และ “การปลดปล่อย” นั้น เธอใช้เวลาเพียง 5 วันในการฝึกเพื่อผสานปราณสวรรค์เข้ากับมณี และใช้เวลา10วันเต็มกว่าจะสามารถเชื่อมต่อกับมณีสวรรค์ได้ แต่ถึงกระนั้น ไอ้เจ้าคนหน้าซื่อใจคดนี่กลับใช้เวลาเพียงแค่คืนเดียวเรียนรู้ทั้งหมดจนสำเร็จ! แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจจะรับรู้ แต่เธอก็เข้าใจว่ามันถึงเวลาแล้วที่เธอจะส่งคืนฉายา “อัจฉริยะอันดับหนึ่ง” ของตัวเอง
…………………………………………………………….
Next