หลังจากนั้นไม่นาน น้ำซุปหน่อไม้น้ำค้างก็ถูกทั้งคู่จัดการจนหมดเกลี้ยง โดยความเป็นจริงนั้นโจวเหว่ยชิงได้กินแค่เพียง 1 ใน 3 ส่วนเท่านั้น และส่วนใหญ่ก็ถูกซ่างกวนปิงเอ๋อร์จัดการไปจนหมด
หลังจากกินจนหมดหม้อ เธอซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เลียริมฝีปากของเธอและยื่นลิ้นสีชมพูเล็กๆ น่ารักของเธอออกมาราวกับว่าไม่พอใจที่อาหารหมด เนื่องจากเธอมักจะกินอาหารที่โรงอาหารของกองทัพ และที่โรงอาหารนั่นก็ไม่เคยมีอาหารอร่อยๆ เลย!
เธอหันไปมองโจวเหว่ยชิงด้วยท่าทางประหม่า และบังเอิญเห็นว่าเขายังคงเคี้ยวอาหารแห้งอยู่ ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความเสียใจและอับอาย เธอกำลังคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่เธอปฏิเสธจะให้อาหารแห้งกับเขาก่อนหน้านี้ ทว่าท้ายที่สุดแล้วเธอก็กลับมากินอาหารดีๆ ของเขาอย่างเอร็ดอร่อย ใบหน้าที่งดงามของเธอจึงเห่อร้อนและแดงซ่านด้วยความอาย
โจวเหว่ยชิงถามขึ้นมาเบาๆ “อร่อยไหม?”
“อะ…อื้ม” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย
โจวเหว่ยชิงยิ้มแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า “ถ้าอย่างนั้น ในอนาคตข้าจะทำซุปนี่ไว้ให้เจ้าบ่อยๆดีหรือไม่?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าอีกครั้ง
โจวเหว่ยชิงเปล่งเสียงออกมาอีกครั้งพร้อมกับคำพูดที่น่าอายว่า “อะแฮ่ม เนื่องจากข้าเป็นบุรุษที่หล่อเหลาแถมยังเก่งงานครัว ดังนั้นเจ้าจะให้โอกาสข้าเกี้ยวพาเจ้าได้หรือไม่?”
เนื่องจากคำพูดก่อนหน้าของเขายังสะท้อนอยู่ในใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอจึงเกือบพยักหน้ารับ “เอ่อ… เอ๊ะ! ไม่!”
จากนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็รู้ว่าเธอถูกหลอก เธอจึงกระโจนไปหาเขาด้วยท่าทีคุกคามเช่นเคย แต่เมื่อเธอกำลังจะต่อว่าโจวเหว่ยชิงด้วยความโกรธ เธอก็เห็นว่าชายคนนี้กำลังยกมือทั้งสองข้างไว้เหนือศีรษะราวกับบอกว่ายอมแพ้แล้ว จากนั้นก็รีบลงไปนอนขดตัวอยู่บนพื้น พูดด้วยท่าทางน่าสงสาร “ถึงแม้ท่านจะไม่ตกลง แต่ท่านก็ไม่ควรจะตีข้านะ!”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อใช้เท้าสะกิดเบาๆ ที่บั้นท้ายของเขาก่อนจะพูดอย่างหงุดหงิด “ใครจะตีเจ้ากัน? ถึงเวลาต้องไปแล้ว”
พวกเขาออกเดินทางอีกครั้ง และแม้ว่าคราวนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะยังมีท่าทีไม่สนใจอ้วนน้อยโจวเหมือนเดิม แต่หลังจากได้กินซุปหน่อไม้ของเขา เธอก็ไม่สามารถแสดงสีหน้าเย็นชาได้อีกต่อไป
“ผู้บัญชาการกองพัน เราจะไปที่ไหนกันเหรอ? อย่างน้อยก็ใบ้ให้ข้ารู้สักนิดจะได้ไหม ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตาเขาอย่างรวดเร็วและพูดว่า “เรากำลังจะไปที่เมืองภูเขาลอยฟ้า อาณาจักรเฟยหลี่”
โจวเหว่ยชิงชะงักด้วยความประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะพาเขาไปยังสถานที่ห่างไกลขนาดนั้น ถึงว่าล่ะ…ไม่น่าแปลกใจที่เธอพูดก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาจะไม่กลับไปที่ค่ายเป็นเวลาหลายเดือน
อาณาจักรเฟยหลี่ และอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์มีชายแดนติดกัน และอาณาจักรนี้ก็ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ อาณาจักรเฟยหลี่เป็นหนึ่งในอาณาจักรใหญ่บนดินแดนไร้ขอบเขต ยิ่งไปกว่านั้นยังมีขนาดใหญ่กว่าอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เกือบร้อยเท่า! ในบรรดาอาณาจักรต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในทวีปฝั่งตะวันตกของดินแดนไร้ขอบเขตนั้น มีเพียงอาณาจักรป่ายต้าเท่านั้นที่มีความแข็งแกร่งเทียบได้กับอาณาจักรเฟยหลี่ ซึ่งอาณาจักรป่ายต้าไม่ได้มีชายแดนติดกับอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เนื่องจากมีอาณาจักรคาลิเซคั่นอยู่ตรงกลาง
สำหรับเมืองภูเขาลอยฟ้าที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดถึงนั้น โจวเหว่ยชิงย่อมรู้จักเช่นกัน เมืองภูเขาลอยฟ้าเป็นหนึ่งในหัวเมืองที่สำคัญที่สุดทางภาคใต้ของอาณาจักรเฟยหลี่ และยังเป็น 1 ใน 5 เมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเฟยหลี่อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น มันยังใหญ่กว่าเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ประมาณ 10 เท่าและมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก
อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และอาณาจักรเฟยหลี่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เหมือนกับที่อาณาจักรคาลิเซมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับอาณาจักรป่ายต้า นอกเหนือจากอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และอาณาจักรคาลิเซแล้วก็ยังมีอาณาจักรเล็กๆ อีกมากมายตั้งอยู่รายรอบอาณาจักรป่ายต้าและอาณาจักรเฟยหลี่ ซึ่งอาณาจักรเล็กๆ เหล่านั้นก็ทำหน้าที่คล้ายกับตัวกันชนวนระหว่างอาณาจักรใหญ่สองอาณาจักรนี้ และถ้าไม่ใช่เพราะอาณาจักรเล็กๆ พวกนั้น อาณาจักรใหญ่ทั้งสองที่มีความสัมพันธ์ไม่ลงรอยกันอย่างมากนี้อาจจะเปิดสงครามครั้งใหญ่กันไปแล้วก็เป็นได้
“นี่เรากำลังจะไปเมืองภูเขาลอยฟ้างั้นหรือ? นั่นไกลเกินไปหรือไม่?!! ถึงแม้ว่าพวกเราจะเดินทางเร็วมาก แต่ถึงจะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดเหมือนที่เรากำลังทำอยู่นี่ก็ตั้งอย่างน้อย 10 วันกว่าจะไปถึงนะ! ฉะนั้นข้าว่าพวกเรานั่งรถม้าจากสถานีไปไม่ดีกว่าหรือ? นั่นใช้เวลาแค่ประมาณ 5 วันเองนะขอรับ!” แม้ว่าพวกเขาจะวิ่งได้เร็วมาก แต่ก็ยังเทียบกับความเร็วฝีเท้าของม้าไม่ได้ เนื่องจากระหว่างอาณาจักรมีสถานีขนส่งและรถม้าเพื่อใช้ขนส่งพิเศษจากเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ไปยังเมืองภูเขาลอยฟ้า ซึ่งนั่นย่อมเร็วกว่าการเดินไปที่นั่นด้วยเท้า
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตวัดสายตาไปมองเขา จากนั้นก็พูดว่า “การโดยสารรถม้านั้นย่อมเสียเงิน แค่ค่าโดยสารก็ปาไปแล้วตั้ง 2 เหรียญทองต่อคน และแน่นอนว่านั่นไม่รวมอาหาร แต่หากเราเดินทางด้วยเท้า อย่างมากพวกเราก็ซื้อแค่พวกอาหารแห้ง ดังนั้นพวกเราทั้งคู่จะใช้เงินทั้งหมดตลอดการเดินทางน้อยกว่า 1 เหรียญทองซะอีก”
โจวเหว่ยชิงจ้องมองเธออย่างตะลึงงัน “ผู้บัญชาการกองพัน ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าท่านเป็นคนมัธยัสถ์ขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเป็นถึงหนึ่งในเสาหลักของอาณาจักรและเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับต้นๆของอาณาจักร ท่านเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่หายากที่สุด และยังเป็นขุนนางขั้นที่ 4 อีกด้วย! เงินเดือนของท่านควรอยู่ที่ประมาณ 80 ถึง 100 เหรียญทอง ฉะนั้นเหตุใดท่านต้องเสียดายเหรียญทองเพียงแค่ 4 เหรียญด้วย!?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “โลหะดีๆ ย่อมต้องเก็บไว้ตีส่วนคมดาบ[1] ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ เราต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อใช้ฝึกฝนเลื่อนระดับ อาณาจักรได้มอบอะไรให้ข้ามามากมายแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงควรประหยัดในสิ่งที่ไม่จำเป็น ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเพิ่งจะกลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ เดินทางในระยะแค่นี้ไม่ถือว่าสาหัสอะไร ดังนั้นเจ้าควรใช้โอกาสนี้ปรับตัวให้เข้ากับมณีสวรรค์ของเจ้าจะดีกว่า”
โจวเหว่ยชิงยกนิ้วโป้งขึ้นโบกไปมาให้แก่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอจึงถามอย่างสงสัย “เจ้ากำลังทำอะไร?”
โจวเหว่ยชิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ฮี่ฮี่ การแต่งงานกับเจ้าน่าจะเป็นอะไรที่ความสุขเสียจริงเลยน้า…”
ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์กลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง “เจ้าอยากจะโดนดีอีกรอบหรือไง?!!”
โจวเหว่ยชิงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ผู้บัญชาการกองพัน ข้าผิดไปแล้ว!! แต่ว่า…นี่พวกเรากำลังจะไปเมืองภูเขาลอยฟ้าทำไมหรือ?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์แทบจะข่มความอยากทุบตีเขาไว้ไม่ได้ เจ้าคนไร้ยางอายนี่มักจะยอมรับผิดก็จริง แต่เขาก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นเลย
“พวกเราจะลองไปเสี่ยงโชคดู ข้าเพิ่งปลุกมณีสวรรค์ดวงที่สองสำเร็จ และมณีสวรรค์ดวงแรกของเจ้าก็ยังไม่มีศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะธาตุเลย อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราไม่มีอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์หรือวังกักเก็บทักษะเหมือนพวกเมืองใหญ่ๆ และเมืองภูเขาลอยฟ้าเป็นเมืองใหญ่ที่ใกล้ที่สุดสำหรับเรา”
เมื่อได้ฟังเธอพูด จิตวิญญาณของก็พลุ่งพล่านเป็นอย่างมาก “ผู้บัญชาการกองพัน ถ้าท่านไม่ให้ข้าสร้างชุดเกราะ แล้วท่านจะให้ข้าสร้างอะไรแทนล่ะ?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว “มันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิดน่ะสิ! ประการแรก ไม่ว่าเราจะได้พบกับคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์หรืออสูรสวรรค์ที่มีทักษะธาตุที่เหมาะสมกับเรามากแค่ไหน แต่บางทีเราอาจจะไม่มีเงินเพียงพอจะซื้อมันก็ได้ ก็อย่างที่ข้าบอกเจ้าก่อนหน้านี้ เราต้องอาศัยดวงเพียงแค่นั้น
สำหรับจ้าวมณีสวรรค์นั้น ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บธาตุนั้นสำคัญมาก เพราะเมื่อเราทำสองขั้นตอนใหญ่นี้เสร็จแล้ว เราก็จะสามารถใช้พลังมณีทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เจ้าจงจำคำสัญญา 3 ข้อของเราไว้ให้ดี หากข้าไม่อนุญาติ เจ้าห้ามเปิดเผยว่าเจ้าคือจ้าวมณีสวรรค์เด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้ามให้ใครรู้เกี่ยวกับไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเจ้า ได้ยินใช่ไหม?”
“ข้าได้ยินแล้ว!” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างรวดเร็ว ในเวลานี้เขาตื่นเต้นมากที่จะได้สัมผัสกับศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บธาตุเป็นครั้งแรก เพียงแค่คิดเขาก็รู้สึกว่ามันช่างดีเหลือเกิน คล้ายกับว่าเขากำลังค่อยๆ เข้าก้าวเข้าสู่โลกของจ้าวมณี ความรู้สึกนี้น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากจนทำให้เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอีกต่อไปแม้จะกำลังวิ่งอยู่ก็ตาม
…
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองไพฑูรย์ตาแมวสองสีที่เปล่งประกายสีเขียวอมฟ้าขณะลอยวนอยู่บนข้อมือโจวเหว่ยชิง เขากำลังใช้ทักษะธาตุลมอยู่นั่นเอง
เธอถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกล่าว “เจ้ามีพรสวรรค์ที่ดี แต่นั่นย่อมมาพร้อมกับปัญหา มณีธาตุของเจ้าประกอบด้วย 5 ทักษะธาตุที่แข็งแกร่ง นั่นย่อมหมายถึงมณีธาตุของเจ้าต้องกักเก็บทักษะธาตุไว้ถึง 5 ธาตุ และราคาของมันเมื่อรวมกันแล้วย่อมแพงมหาศาลจนแม้แต่กระทั่งอาณาจักรของเราก็ยังไม่อาจจะช่วยเหลือได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะธาตุของเจ้ายังมีทั้งทักษะธาตุมืด ทักษะธาตุมิติ รวมไปถึงทักษะธาตุปีศาจซึ่งเป็นทักษะที่ทรงพลังมาก ทั้งหมดนั่นย่อมหมายถึงหากเจ้าต้องการจะกักเก็บทักษะธาตุจากพวกมัน เจ้าจะต้องเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ที่มีระดับความยากอยู่ในขั้นที่สูงมาก ดังนั้นเส้นทางการฝึกของเจ้าจึงดูยากลำบากกว่าจ้าวมณีสวรรค์คนอื่นถึงร้อยเท่าเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเปิดเผยไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเจ้าให้ผู้อื่นรู้ก็เป็นเพราะข้ากลัวว่าเมื่อจ้าวมณีสวรรค์คนอื่นเห็นความสามารถของเจ้า พวกเขาคงจะอยากสังหารเจ้าให้ตาย ยิ่งจ้าวมณีคนใดมีความสามารถมาก ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าเขาจะตายตั้งแต่อายุยังน้อย
ยกเว้นเสียแต่ว่า…”
…………………………………..
[1] สำนวน โลหะดีๆ เก็บไว้ตีส่วนคมดาบ (最好的合金都是用在刀刃上) หมายถึง การใช้ทรัพยากรที่มีเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด