“เอามือเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างฉุนเฉียว “เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น? ฮึ่ม! ให้ข้าตัด ‘เจ้านั่น’ ออกสิ แล้วข้าก็จะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม!”
โจวเหว่ยชิงเผลอหนีบขาทั้ง 2 ข้างเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะก้าวถอยหลังกลับไป 2-3 ก้าวด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าของเขาซีดเผือก “ปิงเอ๋อร์ อย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นไป! เพื่อความสุขในอนาคตของเจ้า…ข้า…ไม่เอารางวัลก็ได้”
“หึ แสดงละครของเจ้าต่อไปเถอะ!” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทั้งรู้สึกรำคาญและขบขันไปในเวลาเดียวกันเมื่อเห็นท่าทีหวาดกลัวของโจวเหว่ยชิง ทันใดนั้น ความทรงจำเมื่อคืนวานก็แวบผ่านเข้ามาในหัวเธออีกครั้ง นัยน์ตาของเธอจึงค่อยๆอ่อนลงทันที จู่ๆ แสงสีเขียวก็สว่างวาบขึ้นมาโอบล้อมรอบตัวเธอเอาไว้ โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าอากาศเบื้องหน้าเขาขยับวูบไหว จากนั้นร่างนุ่มนิ่มก็พุ่งเข้ามาสวมกอดตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะได้ทันขยับตัว ทั่วร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เปล่งแสงสีเขียวขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเธอก็หายไปวับไปในทันที ทิ้งไว้เพียงการเคลื่อนไหวของม่านกระโจมที่บ่งบอกว่าเมื่อสักครู่เคยมีคนเข้ามา
“ฮ่าๆ…ฮ่าๆ…” โจวเหว่ยชิงยืนหัวเราะอย่างโง่เง่ากับตัวเอง เขาก้มหน้าลงไปมองเสือขาวตัวน้อยในอ้อมแขนแล้วพูดอย่างมีความสุข “เจ้าเห็นไหม! เห็นนั่นไหม?! ปิงเออร์กอดข้า เธอเพิ่งกอดข้าด้วยตัวเอง! ฮ่าๆ! การทำตัวเป็นสุภาพบุรุษนี่ช่างให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
เสือขาวตัวน้อยกลอกตาราวกับกำลังจะบอกว่า ดูเจ้าสิ เฮ้อ จากนั้นมันก็ไม่ใส่ใจเด็กหนุ่มอีก ลูกเสือขาวขยับตัวซุกเข้าไปในอ้อมแขนของเขามากยิ่งขึ้นก่อนจะปิดเปลือกตาลงช้าๆ
…
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปถึงครึ่งเดือนแล้ว ดูเหมือนว่าหลังจากเหตุการณ์ที่พวกเขาลอบเข้าไปโจมตีในวันนั้น อาณาจักรคาลิเซก็ไม่ได้มีท่าทีตอบโต้อะไรกลับมา และการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ทั้งยังเป็นการปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ ตามปกติอีกด้วย
ในครึ่งเดือนนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกปราณอย่างเงียบๆ นอกจากรับประทานอาหาร 3 มื้อแล้ว ทั้งวันเธอก็ไม่เคยก้าวออกจากกระโจมเลย ด้านโจวเหว่ยชิง เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกปราณเช่นกัน นอกเหนือจากการเพิ่มระดับปราณสวรรค์แล้ว เขายังใช้เวลาไปกับการพยายามรื้อฟื้นความรู้สึกในช่วงเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างและวิธีที่เขาใช้ฆ่าหมาป่าโลกันตร์ พยายามค้นหาวิธีที่จะใช้ทักษะธาตุของเขาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และเรียนรู้วิธีการจับคู่ทักษะธาตุต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อใช้ประสานในการต่อสู้ ด้วยอัตราการฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ที่รวดเร็ว เขาจึงสามารถผสมทักษะธาตุบางชนิดเข้าด้วยกันได้
สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดสำหรับโจวเหว่ยชิงคือ ใน 15 วันที่ผ่านมานี้เสือขาวตัวน้อยของตนไม่ยอมกินอาหารใดๆ เลย ตอนแรกเขาค่อนข้างกังวลและพยายามบังคับป้อนอาหารให้มัน แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปเจ้าตัวน้อยก็ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยพละกำลังมากขึ้นโดยไม่ต้องกินอะไรทั้งสิ้น มันไม่มีท่าทางหิวโหยหรือหดหู่ซึมเศร้าอะไรเลยด้วยซ้ำ โดยปกติแล้วโจวเหว่ยชิงเป็นคนไม่พิถีพิถันอะไรมากนัก เขาจึงทึกทักเอาว่านั่นน่าจะเป็นพลังของอสูรสวรรค์ตัวนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก
ในตอนเย็น
“เหว่ยน้อย เจ้าอยู่ไหม?” เสียงที่คุ้นเคยของเซียวหรูเซ่อดังออกมาจากข้างนอกกระโจม สำหรับโจวเหว่ยชิง เขาสามารถหยุดการฝึกปราณได้ทุกเมื่อเนื่องจากหลุมดำพลังปราณทั้ง 5 นั้นสามารถดูดกลืนพลังปราณจากภายนอกได้ตลอดเวลา หากพูดว่าฝึกปราณ นั่นหมายความว่าเขากำลังมุ่งสมาธิไปที่หลุมดำพวกนั้น เพื่อเร่งความเร็วในการดูดกลืนพลังปราณให้เพิ่มขึ้นมากกว่าปกตินั่นเอง เมื่อเช่นนี้ โจวเหว่ยชิงจึงสามารถฝึกปราณได้ทุกท่า ไม่ว่าจะท่านั่งหรือท่านอนราบโดยไม่มีความแตกต่าง โดยปกติแล้วส่วนใหญ่เขาเลือกที่จะนอนราบ ถึงแม้บางครั้งเขาจะเผลอหลับไปบ้างก็ตาม
เมื่อได้ยินว่าเซียวหรูเซ่ออยู่ข้างนอก เขาก็หยุดฝึกปราณอย่างรวดเร็วและร้องตอบออกไป “ท่านพี่หรูเซ่อ ข้าอยู่ที่นี่ เข้ามาสิ”
เซียวหรูเซ่อเข้ามาข้างในกระโจม ชุดเครื่องแบบของเธอประดับไปอุปกรณ์ทหารเต็มรูปแบบ เสริมให้บุคลิกของเธอดูองอาจและสง่างาม ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ในขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโจวเหว่ยชิงกำลังฝึกปราณอย่างอิสระเสรี เธอต้องทำงานอย่างหนักเพื่อจัดตั้งกองทหาร ฝึกทหารและแบ่งทหารใหม่ออกเป็นหมู่และกองร้อยต่างๆ เมื่อเธอเข้ามาข้างใน โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกได้ถึงรัศมีของทหารกล้าที่แผ่ออกมาจากร่างของเธอได้อย่างชัดเจน
“หืมมมม” โจวเหว่ยชิงแอบจ้องที่หน้าอกของเซียวหรูเซ่อและถอนหายใจออกมาเบาๆ
เซียวหรูเซ่อจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจอมเจ้าเล่ห์ตัวน้อยคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เธอจึงพูดอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้าโง่เหว่ยน้อย เจ้ากำลังมองอะไรอยู่?”
โจวเหว่ยชิงมองเธอด้วยสีหน้าไร้เดียงสาและพูดว่า “เปล่า! ข้ามองอะไรหรือ?” การแสดงออกว่าตนไร้เดียงสาอย่างหน้าด้านๆคือความสามารถเฉพาะตัวที่ดีที่สุดของเขาอยู่แล้ว
เซียวหรูเซ่อส่งเสียงฮึแล้วพูดว่า “อ้วนน้อยตัวเหม็น! ตามข้ามา ข้าต้องไปเรียกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วย”
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเกียจคร้าน “เรากำลังจะไปทำอะไรหรือ?”
การแสดงออกของเซียวหรูเซ่อค่อนข้างมีพิรุธเล็กน้อย เธอยิ้มกว้างและพูดว่า “มากับข้าแล้วเจ้าจะรู้เอง กองบัญชาการใหญ่ได้ส่งคำตัดสินของซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาแล้ว เจ้าไม่อยากรู้เหรอ? ท่านพี่ของเจ้าจะพาไปดูเอง เพราะยังไงซะเจ้าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของซ่างกวนปิงเอ๋อร์”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซียวหรูเซ่อ โจวเหว่ยชิงก็แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นทันที เขาได้บอกกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าไม่ว่าเธอจะทำอะไรเขาก็จะติดตามเธอไปแน่นอน อย่างไรก็ตามนี่คือกองทัพ และทหารก็ต้องทำตามคำสั่ง หากรู้ว่าคำตัดสินของเธอคืออะไร มันก็จะง่ายสำหรับพวกเขาที่จะวางแผนสิ่งต่างๆ ในอนาคต ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงซุกเสือขาวตัวน้อยเข้าไปในชุดเกราะหนังของเขาและติดตามเซียวหรูเซ่อออกจากกระโจมไป
เซียวหรูเซ่อเดินไปที่กระโจมด้านข้างเพื่อเรียกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ก่อนนำทั้งสองไปมุ่งหน้าไปยังกระโจมขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการใหญ่ของกรมทหารที่ 5
ขณะที่พวกเขากำลังเดินตามเซียวหรูเซ่อไป โจวเหว่ยชิงก็สังเกตว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังก้มหน้าลงต่ำและสีหน้าของเธอก็ค่อนข้างซีดเซียว เขาสะกิดเธอด้วยไหล่ของเขาและถามเบาๆ “ปิงเอ๋อร์ เป็นอะไรหรือ? เจ้ากำลังคิดเรื่องอะไร?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “อ้วนน้อย ฝ่าบาทและแม่ทัพโจวไว้วางใจข้ามาก พวกเขาให้ข้าดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพัน…แต่ข้ากลับทำให้ทั้งคู่ผิดหวัง ถึงขั้นลาออกด้วยตัวเอง…”
โจวเหว่ยชิงพูดอย่างสง่าผ่าเผย “อย่าเศร้าไปเลย มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตัดสินใจผิดพลาดไป ด้วยความใจดีและอ่อนโยนของเจ้า เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำกองทัพหรอก หึ จ้าวมณีสวรรค์ที่มีความสามารถเช่นเจ้า พวกเขาไม่ยอมให้ฝึกปราณดีๆ กลับส่งเจ้าไปให้กองทัพแทน เพราะฉะนั้นพวกเขามีสิทธิอะไรมาตำหนิเจ้าล่ะ?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตื่นตระหนกอย่างมาก เธอรีบยกมืออุดปากเขาอย่างรวดเร็วและจ้องเขม็งไปยังเซียวหรูเซ่อที่เดินนำอยู่ข้างหน้า “อ้วนน้อย อย่าพูดอะไรเหลวไหล ทำไมเจ้าถึงกล้าพูดถึงองค์จักรพรรดิกับแม่ทัพโจวแบบนั้น? ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นความผิดของข้าเอง”
โจวเหว่ยชิงรีบฉวยโอกาสจับมือเธอและบีบมันไว้ขณะที่เขาพูด “นั่นไม่สำคัญหรอก ไม่ว่าคำตัดสินของเจ้าคืออะไร ข้าก็จะไปกับเจ้า”
เซียวหรูเซ่อที่อยู่ข้างหน้าหันมามองพวกเขา รอยยิ้มเล็กๆ ที่แฝงด้วยเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตกใจกับการกระทำที่ใกล้ชิดของโจวเหว่ยชิง นี่มันกลางค่ายทหารเลยนะเจ้าบ้า! เธอรีบดึงมือของเธอกลับมาอย่างรวดเร็วและมองเขาด้วยความโกรธ “ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของข้าแล้ว ทำตัวดีๆ หน่อย!”
ช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเขาพูดคุยกัน ในที่สุดพวกเขามาถึงกระโจมกองบัญชาการใหญ่เสียที นี่เป็นครั้งแรกของโจวเหว่ยชิงที่จะได้เข้าไปในกระโจมที่ใหญ่ขนาดนี้ กระโจมกองบัญชาการใหญ่นั้นมีขนาดกว้างมาก ตัวกระโจมทำมาจากหนังวัวที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี โครงสร้างเป็นโลหะผสมอย่างดีเพื่อรองรับน้ำหนักผ้าที่ทำจากหนังวัว หากมีการประชุมทหารเกิดขึ้น ข้างในนี้ก็มีขนาดใหญ่พอที่จะจุคนได้กว่า 100 คนเลยทีเดียว
ในขณะที่ประตูทางเข้ากระโจมถูกเลิกขึ้น เซียวหรูเซ่อก็หยุดและพูดเสียงดัง “กองพันที่ 3 เซียวเซ่อ รายงานตัว”
“กองพันที่ 3 ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ รายงานตัว”
เมื่อได้ฟังพวกเขาร้องตะโกน โจวเหว่ยชิงก็มองเข้าไปในกระโจมอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าเมื่อกวาดสายตามองเข้าไปภายใน เด็กหนุ่มก็ต้องตกใจจนวิญญาณเกือบหลุดออกจากร่าง
ตรงกลางกระโจมมีชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างแข็งแรงกำยำ อายุประมาณ 50 ปีกำลังนั่งปักหลักอยู่ กล้ามเนื้อสีทองแดงของเขาดูเปล่งปลั่งสุขภาพดี ชายหนุ่มมีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมองอาจ ดวงตาคมกริบและสันจมูกตรง แม้ว่าเขากำลังนั่งอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีรูปร่างขนาดสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแข็งแกร่งคล้ายสลักเสลาขึ้นมาจากหินผาทำให้ชุดเครื่องแบบทหารสีดำแทบปริออกมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณนักรบผู้กล้าหาญ
แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงเห็นใบหน้าเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน นั่นคงไม่ใช่บิดาของเขา คนที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ โจวสุ่ยหนิว แม่ทัพใหญ่โจวใช่ไหม?
ข้างกายแม่ทัพโจวมีผู้บัญชาการกรมทหารที่ 5 เกาเฉิน และรองผู้บัญชาการเฉียนจ้านเทียนยืนอยู่คนละข้าง เนื่องจากตอนนี้พวกเขากำลังยืนตรงทำความเคารพอยู่ด้วยสีหน้าหวาดกลัวและเคารพนอบน้อม จึงดูเหมือนว่าทั้ง 2 นั้นกลายเป็นใครอีกคนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ระดับสูงผู้ซึ่งมักจะออกคำสั่งกับทหารทั้งกรมอย่างเยือกเย็นดั่งเช่นที่เคยเป็นมาตลอด
“เข้ามา” น้ำเสียงทุ้มหนักของแม่ทัพโจวเอ่ยขึ้น
ในใจของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยความเศร้าสลด เขาเสียใจมากที่ติดตามทั้งสองคนมาที่นี่ ทันใดนั้นเขาก็จ้องไปที่เซียวหรูเซ่อ คิดกับตัวเองว่า ท่านพี่หรูเซ่อ ครั้งนี้ท่านทำให้ข้าเดือดร้อนมาก! หากบิดาจับตัวข้าได้ เขาจะต้องตีข้าจนตายแน่!
จอมเจ้าเล่ห์น้อยคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เขาเคลื่อนตัวออกไปด้านข้าง ก้มหัวลงและปรับหมวกลมให้บังใบหน้าของเขาเอาไว้ แผนการของโจวเหว่ยชิงคือทำตัวกลมกลืนไปกับเจ้าหน้าที่ทหารคนอื่นๆ เพื่อให้บิดาไม่สามารถสังเกตเห็นตนได้
เซียวหรูเซ่อมองเห็นสิ่งที่โจวเหว่ยชิงกำลังทำอยู่ เธอจึงถอนหายใจออกมาและคิดกับตัวเองว่า ขอโทษนะเหว่ยน้อย ไม่ใช่ว่าท่านพี่คนนี้ไม่ต้องการช่วยเหลือเจ้า แต่ลุงโจวมีเจ้าเป็นลูกชายเพียงคนเดียว หากเขาไม่ได้มาด้วยตัวเอง ข้าก็จะยังสามารถช่วยเจ้าซ่อนตัวจากเขาและไม่รายงานอะไรเกี่ยวกับเจ้า แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่นี่ ข้าจะซ่อนเจ้าไว้ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็มุทะลุเกินไป พวกเจ้ากล้าถึงขนาดลอบเข้าไปโจมตีค่ายทหารอาณาจักรคาลิเซ เจ้าสองคนคิดจริงๆ หรือว่าไม่มีใครรู้? ยุ้งฉางเก็บเสบียงของพวกเขาถูกทำลายไปถึง 1 ใน 10 ปัญหาใหญ่ขนาดนี้เจ้าจะปิดบังพวกเราได้อย่างไร?
ในคืนนั้น เมื่อโจวเหว่ยชิงยิงลูกศรราชันอัสนีบาตออกไป ยุ้งฉางหลัก 1 ใน 10 ของอาณาจักรคาลิเซที่มีเสบียงของกองทัพจำนวนมากเก็บไว้ในนั้นถูกเผาไม้จนไม่เหลือซากเพราะไฟจากสายฟ้าของเขา ไม่นานหลังจากนั้น หน่วยสอดแนมและสายลับของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ก็ได้รายงานข่าวนี้กลับมายังกองบัญชาการใหญ่ทันที หลังจากตรวจสอบอย่างรวดเร็วว่าจ้าวมณีคนใดออกจากกระโจมไปบ้าง มันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะคาดเดาตัว ‘ผู้ร้าย’ ได้ แน่นอนสำหรับเซียวหรูเซ่อมันง่ายมากที่จะเดาได้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์ย่อมไม่ทำเรื่องนี้คนเดียวแน่
เซียวหรูเซ่อและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ยินคำตอบรับของแม่ทัพโจว พวกเขาจึงเดินเข้าไปในกระโจมทันที ในเวลาเดียวกัน โจวเหว่ยชิงก็พยายามจะหลบเลี่ยงไปอยู่ด้านข้าง เด็กหนุ่มถอยออกไปด้านหลังและคิดว่าตนทำสำเร็จแล้วจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ในขณะที่เขากำลังจะหมุนตัวหันหลังกลับเพื่อวิ่งหนีไปนั่นเอง ณ เวลานั้นน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวของแม่ทัพโจวก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดังกึกก้อง “เจ้าเด็กเหลือขอ! เจ้ารีบเข้ามาข้างในเดี๋ยวนี้! อย่าให้บิดาของเจ้าต้องออกไปหาแล้วจับเจ้าด้วยตัวเอง”
แม่ทัพโจวไม่แม้แต่จะปรายตามองไปยังโจวเหว่ยชิง เขาพูดอย่างเยือกเย็น “ไปคุกเข่าที่มุมนั้น เมื่อข้าทำธุระเสร็จ ข้าจะไปจัดการกับเจ้า”
แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่เต็มใจและไม่พอใจเพียงใดเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินลีบๆไปที่มุมด้านข้างของบิดาแล้วคุกเข่าลง ศีรษะของเขาก้มต่ำและหมวกลมก็เลื่อนลงมาปิดบังสีหน้าของเด็กหนุ่มเอาไว้
แม่ทัพโจวหันไปหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์ น้ำเสียงของเขากลายเป็นอบอุ่นขึ้นมาทันที “ปิงเอ๋อร์ บอกข้าว่าทำไมเจ้าถึงไม่ต้องการเป็นผู้บัญชาการกองพันอีกต่อไปแล้ว?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “ท่านแม่ทัพ ปิงเอ๋อร์ยังขาดความสามารถและมีความรู้ตื้นเขินนัก ข้าไม่เคยเรียนรู้วิธีบัญชาการกองทัพมาก่อน และข้าก็ไม่คิดว่าข้าจะสามารถดำรงตำแหน่งที่สำคัญเช่นนั้นได้ ในฐานะทหาร ข้าไม่เคยหวาดกลัวความตาย ข้ายินดีที่จะต่อสู้และตายในสนามรบ แต่ข้าทนไม่ได้ที่จะเห็นสหายของข้าล้มตายเพราะข้าไม่มีความสามารถในการบัญชาการรบพวกเขา ดังนั้น ท่านแม่ทัพ ปลดข้าออกจากตำแหน่งนี้เถิด ผู้บัญชาการกองร้อยเซียวสามารถรับช่วงต่อจากข้าได้ดีมากกว่า”
………………………………