“สิทธิ์?” โจวเหว่ยชิงมองไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นและพูดอย่างเฉยชา “สิทธิ์ของข้าก็คือกำปั้น เพราะหมัดของข้าแข็ง แกร่งกว่าของเจ้า…ข้าจึงมีสิทธิ์! ในอนาคตคำพูดของข้าคือกฎสำหรับห้องเรียน อย่างน้อยในอีก 4 ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้ยอมจำนน และตกเป็นขี้ข้าให้กับตระกูลขุนนางหรือสำนักกักเก็บทักษะ หลังจากพ้น 4 ปีไปแล้ว เมื่อพวกเจ้าจบการศึกษา ทุกคนจะได้เดินตามเส้นทางของตัวเอง และในตอนนั้นเจ้าจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ข้าจะไม่ควบคุมใครทั้งนั้น”
เมื่อพูดจบโจวเหว่ยชิงก็เดินไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างช้าๆ นักเรียนท่าทางเย็นชาคนนั้นยังคงจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาลุกโชนไม่ยอมอ่อนข้อ แม้แต่หม่าคุนที่ยืนอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังขมวดคิ้ว โจวเหว่ยชิงกำลังแสดงท่าทางอวดดีอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่โข่วรุ่ยเองก็ยังมีสีหน้าที่ค่อนข้างน่าเกลียดในขณะที่รุ่นพี่คนอื่นที่อยู่รอบๆ พวกเขาต่างมองไปที่โจวเหว่ยชิงราวกับว่าเขาเป็นคนบ้า
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์คว้าแขนของโจวเหว่ยชิงแล้วพูดเบาๆ “อ้วนน้อย เจ้าเป็นอะไรไป? เราทุกคนเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน อย่าทำเช่นนั้นเลย”
“เพราะว่าเราเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน ข้าจึงต้องทำเช่นนี้” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเย็นชาขณะที่สายตาของเขากวาดมองบรรดานักเรียนสามัญชน เขาเห็นความกลัว ความโกรธ ความไม่พอใจ ความหวาดหวั่น อารมณ์ทุกประเภท ทั้งการแสดงออกทางสีหน้าและแววตาของพวกเขา “ในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่ง ทุกคนต้องสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองอย่างภาคภูมิ ใจ ถ้ามนุษย์ไม่มีกระดูกสันหลัง เขาจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งได้อย่างไร? เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับคนที่แข็งแกร่งแต่ยอมเป็นทาสในโลกของจ้าวมณีหรือไม่? ข้าจะสอนบทเรียนพวกเจ้า ในฐานะมนุษย์ เราต้องยืนให้สูง ยืดหลังให้ตรง ดังนั้นข้าจะไม่ยอมให้เพื่อนร่วมห้องของข้ากลายเป็นสุนัขรับใช้ของคนอื่นเด็ดขาด ข้าไม่อยากเห็นพวกเจ้ากลายเป็นครึ่งคนหรือถูกคนอื่นดูถูกเหยียดหยาม”
แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะยังถูกซ่างกวนปิงเอ๋อร์จับแขนเอาไว้ เขาก็ยังฝืนเดินต่อไปที่ด้านหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้น แต่อีกฝ่ายก็ดื้อรั้นและมีความมุ่งมั่นมากเช่นกัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลิ่นอายน่าเกรงขามของโจวเหว่ยชิง เขาก็ยังไม่ยอมถอยง่ายๆ
โจวเหว่ยชิงเดินไปหาเขา หยุดในระยะใกล้เพียงแค่ 1 ฉื่อ “ก่อนหน้านี้เจ้าถามข้าว่ามีสิทธิ์อะไร? เอาล่ะ ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง!”
เมื่อพูดเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็ยกมือขึ้นลูบไปทั่วสร้อยคอของเขา จู่ๆ บัตรเก็บเหรียญทองก็พลันปรากฏขึ้นในมือของเขา โจวเหว่ยชิงยื่นมันให้เด็กหนุ่ม “ในบัตรใบนี้มีเงินอย่างน้อย 400,000 เหรียญทอง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จำนวนเงินทั้งหมดที่เพื่อนร่วมห้องทุกคนต้องการใช้สำหรับกักเก็บทักษะ พวกเขาจะได้รับเงินตามนั้น ถ้าเงินหมด ข้าจะเป็นคนเติมให้เอง ข้าไม่ต้องการให้เจ้าทุกคนยอมก้มหัวให้ข้าหรือกลายเป็นทาสของข้า แต่ใน 4 ปีนี้ ข้าจะจ่ายเงินให้ตามความต้องการของเจ้าและสิ่งที่ข้าต้องการก็คือให้พวกเจ้าทุกคนยืนหยัดและทำตัวเป็นมนุษย์คนหนึ่งจริงๆ ไม่ใช่สุนัข”
ด้วยคำพูดเหล่านั้น ทุกคนรอบข้างต่างก็พรั่งพรูถ้อยคำมากมายออกมา ความประทับใจแรกของรุ่นพี่ก็คือเจ้าเด็กคนนี้บ้าไปแล้ว! จ่ายเงินให้เพื่อนร่วมห้องโดยไม่ต้องการอะไรตอบแทนงั้นรึ?! เขาคงไม่ได้ฟั่นเฟือนไปแล้วหรอกนะ?
ในทางกลับกัน เด็กใหม่ทุกคนต่างก็ตกตะลึง จ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด โจวเหว่ยชิงที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาอาจจะดูเหมือนคนบ้า แต่เขาเป็นคนบ้าที่น่ารักและน่าชื่นชมจริงๆ! ท้ายที่สุดถ้าเลือกได้ใครบ้างจะอยากเป็นสุนัขที่ต้องกลายเป็นทาสและถูกประทับตราธาตุมืด?
เด็กหนุ่มผู้เย็นชายื่นมือไปรับบัตรจากมือของโจวเหว่ยชิงโดยไม่รู้ตัว ตอนแรกดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยความโกรธและความดื้อรั้น แต่ทว่าตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยความสับสนมึนงง “เจ้าควรรู้ว่าการกักเก็บทักษะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ต่างหากที่เป็นปัญหาที่แท้จริง แม้แต่ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐานธรรมดาก็มีราคาอย่างน้อย 50,000 เหรียญทอง และ 400,000 เหรียญทองในบัตรใบนี้ก็คงจะอยู่ได้ไม่นาน ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเจ้าจะร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถหาซื้อม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ได้เพราะพวกมันหายากมาก!”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้าจัดการได้…โข่วรุ่ย!”
“เอ๊ะ?” โข่วรุ่ยได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อของเขาจึงรีบวิ่งไปหาโจวเหว่ยชิงทันที “ลูกพี่? ท่านเรียกข้าหรือ?”
โจวเหว่ยชิงตบไหล่เขาแล้วพูดว่า “เจ้าเชื่อข้าไหม?”
เมื่อมองไปที่โจวเหว่ยชิง โข่วรุ่ยก็กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน เพราะข้าได้ตัดสินใจติดตามท่านแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่เสียใจ พ่อของข้าบอกว่าในชีวิตของคนเรา เราจะได้พบโอกาสสำคัญของตัวเองเสมอ เมื่อพบแล้วเราจะต้องคว้าโอกาสนั้นไว้และห้ามปล่อยมันหลุดมือไปเด็ดขาด และข้าก็เชื่อว่านี่คือโอกาสของข้า”
โจวเหว่ยชิงเปิดปากหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ดีมาก ข้าก็เชื่อในเรื่องนั้นเช่นกัน ช่วยข้าถือไว้หน่อย” ในขณะที่พูดเช่นนั้น เขาก็ใช้มือกวาดผ่านสร้อยมิติของตน จากนั้นกระดาษแผ่นใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา เขาขอให้โข่วรุ่ยช่วยถือปลายกระดาษอีกฝั่งในขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ช่วยจับไว้อีกฝั่ง ทำให้กระดาษคลี่ออกเป็นแนวนอนหันหน้าเข้าหาทุกคนกลางอากาศ เมื่อหันไปหาเด็กหนุ่มเย็นชาผู้นั้น เขาก็กล่าวว่า “เจ้ารู้ไหมว่านี่คืออะไร?”
“นี่? หรือว่านี่จะเป็น…กระดาษศาสตรามณียุทธ์?” เขาตอบกลับมาอย่างประหลาดใจ
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “ดู” หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็พลันสะบัดข้อมือออกมา ก่อนที่ใครจะทันได้มองเห็นอย่างชัดเจน พู่กันและขวดเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาแล้ว โจวเหว่ยชิงเปิดฝาและจุ่มพู่กันลงไปในขวดที่เต็มไปด้วยหมึกศาสตรามณียุทธ์ เขาสูดหายใจเข้าลึก สายตาของโจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะเฉียบคมขึ้นในพริบตาขณะที่เขากำลังจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่กระดาษศาสตรามณียุทธ์เบื้องหน้าเขา
ในขณะนั้นเอง เย่โหลวก็กลับมาพร้อมกับอาจารย์ประจำโรงเรียน 7-8 คน อาการบาดเจ็บของติงเฉินสาหัสมากและเขาสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนั้นลงโทษโจวเหว่ยชิงได้ ลูกพี่ใหญ่ของเขาไม่ได้เข้าร่วมพิธีเปิดในครั้งนี้ แต่ถ้าเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องโกรธมากแน่นอน ส่วนเย่โหลวก็คงจะต้องตกที่นั่งลำบาก ด้วยเหตุนี้ เนื่องจากเขาไม่สามารถจัดการกับโจวเหว่ยชิงได้ด้วยตัวเอง เย่โหลวจึงต้องให้อาจารย์จัดการกับเขาแทน! อันดับแรกคือขับไล่เขาออกไปจากโรงเรียนโดยใช้อาการบาดเจ็บของติงเฉินเป็นข้ออ้าง และเมื่อเขาถูกไล่ออก พวกเขาสามารถจัดการกับโจวเหว่ยชิงได้อย่างช้าๆ
เมื่อเห็นร่างที่ได้รับบาดเจ็บของติงเฉินอยู่บนพื้น อาจารย์ 2 คนก็รีบวิ่งไปหาเขาเพื่อเริ่มการรักษาทันที ส่วนอาจารย์คนอื่นๆ ก็แยกตัวเดินไปหาโจวเหว่ยชิง ขณะที่เย่โหลวกำลังจะปริปากพูด หัวหน้าอาจารย์ที่อายุประมาณ 50 ปีก็หยุดเขาไว้ก่อน เขาจ้องไปยังแผ่นกระดาษที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโข่วรุ่ยถืออยู่ด้วยความประหลาดใจ “เดี๋ยวก่อน รอดูก่อนว่าเขากำลังทำอะไร นั่นคือ…กระดาษศาสตรามณียุทธ์?…และมันก็ว่างเปล่า…เป็นไปได้ไหมว่า…”
ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงเริ่มเคลื่อนไหว เขาไม่ได้ขยับมือรวดเร็วนัก ในทางตรงกันข้าม เขาทำทุกอย่างช้าๆอย่างเป็นขั้นตอน ราวกับว่าไม่มีฝูงชนกำลังห้อมล้อมเขาอยู่ ไม่มีอะไรสามารถสั่นสะเทือนเขาได้และไม่มีเหตุการณ์ปะทะกันก่อนหน้านี้ เมื่อฝีแปรงของเขาขยับขึ้นและลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หมึกศาสตรามณียุทธ์กวาดไปมาบนกระดาษและซึมหายเข้าไปในนั้น มันก็ก่อเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับ
ทุกคนในห้องประชุมต่างก็จ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิงเป็นตาเดียว นักเรียนส่วนใหญ่ถึงกับยืนชะเง้อคอมองด้วยซ้ำ ทว่าก็ยังมีนักเรียนอีกหลายคนซึ่งอยู่ไกลออกไปและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาก็ถูกกลุ่มคนบริเวณนี้ดึงดูดความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
มือของโจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะขยับผ่านกระดาษเป็นจังหวะที่แปลกประหลาดและไม่เหมือนใคร ด้วยการลาก ฝีพู่กันของเขา ลวดลายต่างๆ ก็ถูกทิ้งไว้บนกระดาษศาสตรามณียุทธ์อย่างเป็นระเบียบ ในขณะที่เขาลากมือต่อไป ภาพของโล่ทรงกลมขนาดเล็กก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนกระดาษ สัญลักษณ์และลวดลายแปลกๆ ดูเหมือนจะทำให้ทุกๆ อย่างดูเข้ากันดี กระบวนการทั้งหมดช้ามาก แต่ทว่าก็เป็นธรรมชาติและราบรื่นเหมือนการไหลของน้ำในลำธารที่ไม่มีที่สิ้นสุด มือของเขาไม่ได้หยุดแม้แต่วินาทีเดียว และดูเหมือนว่าทุกฝีแปรงจะสามารถเชื่อมโยงเข้ากับโลกใบนี้ได้อีกด้วย
โจวเหว่ยชิงจดจ่ออยู่กับกระดาษศาสตรามณียุทธ์ในขณะที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จดจ่ออยู่กับใบหน้าของเขา เหมือนกับที่เขาว่ากันไว้ ผู้ชายจะดูดีที่สุดก็ต่อเมื่อจดจ่ออยู่กับงาน ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักถึงสิ่งที่เขากำลังตั้งใจทำ รวมถึงความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในการกระทำทั้งหมดของเขา แน่นอน! อ้วนน้อยของข้าเป็นคนใส่ใจทุกสิ่ง ดังนั้นเขาจะทำบางอย่างโดยไม่ไตร่ตรองไว้ก่อนได้อย่างไร?
ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ตวัดพู่กันขึ้นครั้งสุดท้าย แสงสีทองอันเจิดจ้าพลันเปล่งประกายออกมาบ่งบอกถึงความสำเร็จ กลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ของม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์พลันถูกปลดปล่อยออกมา แม้ว่าจะเป็นเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ชมโดยรอบจะไม่มีวันลืมแน่นอน
แม้ว่าม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์จะหายาก แต่อย่างไรในโรงเรียนนี้ก็มีจ้าวมณีจำนวนมาก ทว่าก็มีเพียงไม่กี่คนที่เคยใช้ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์มาก่อนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การได้เห็นกระบวนการสร้างม้วนคัมภีร์ที่แท้จริงนั้นเป็นสิ่งที่แทบไม่มีใครเคยประสบมาก่อน! แต่แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็น อย่างน้อยพวกเขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับกระบวนการนี้มาบ้าง เมื่อแสงสีทองเปล่งประกายออกมา แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ว่าโจวเหว่ยชิงได้สร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์สำเร็จแล้ว
โจวเหว่ยชิงเก็บม้วนคัมภีร์จากมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และโข่วรุ่ย จากนั้นก็หันไปหาเด็กหนุ่มผู้เย็นชาอีกครั้ง ในครั้งนี้สิ่งที่โจวเหว่ยชิงเห็นคือความประหลาดใจและความเคารพ ความเย็นชาบนใบหน้าของเขาได้เลือนหายไปแล้ว
“ทักษะกักเก็บของจ้าวมณีธาตุ ศาสตรามณียุทธ์ของจ้าวมณียุทธ์ เพื่อนร่วมห้องที่รัก เจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง? ข้าเป็นอาจารย์คัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับกลาง อย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ ข้าสามารถดูแลพวกเจ้าทั้งหมดได้โดยไม่ต้องชดใช้คืน ข้าสามารถทำได้แม้กระทั่งสร้างคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่เจ้าต้องการ ข้าเป็นสามัญชน แต่ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของในการสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ของข้า ข้ามีสิทธิ์ที่จะพูดออกไป เจ้ายินดีที่จะใช้เวลา 4 ปีข้างหน้าไปกับข้าหรือไม่? เข้าร่วมกับข้าเพื่อไม่ให้ใครมารังแกพวกเรา”
หลังจากสร้างม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์แล้ว โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้แสดงอาการเหนื่อยล้าแต่อย่างไร ในทางตรงกันข้าม เขากลับดูมีชีวิตชีวา ดวงตาก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่อย่างหาที่เปรียบมิได้
“ข้าเต็มใจ” โข่วรุ่ยเป็นคนแรกที่สนับสนุนโจวเหว่ยชิง สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เธอไม่จำเป็นต้องพูดด้วยซ้ำ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เธอก็จะตามเขาไปเสมอ
“ข้าชื่อหยางเจ๋อชี ข้าเต็มใจเหมือนกัน” คนที่พูดเป็ฯลำดับถัดมาคือเด็กหนุ่มที่เย็นชาผู้นั้น ด้วยข้อเสนอที่มอบทักษะกักเก็บและศาสตรามณียุทธ์ให้เปล่าเช่นนี้ เขาคงเป็นคนโง่ถ้าไม่เห็นด้วยกับโจวเหว่ยชิง!
“แหะๆ…” โดยไม่ได้มองและได้ยินเสียงนั้น โจวเหว่ยชิงก็รับรู้โดยธรรมชาติว่าเป็นหม่าฉุนที่เพิ่งอ้าปากพูดออกมา
นักเรียนใหม่ยืนขึ้นทีละคน ไม่ว่าลักษณะนิสัยของพวกเขาจะเป็นอย่างไร แต่การที่โจวเหว่ยชิงถือม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่สร้างขึ้นใหม่ต่อหน้าพวกเขา และถามว่าพวกเขาอยากจะยืนหยัดต่อสู้ร่วมกันกับเขาเป็นเวลา 4 ปีหรือไม่? เมื่อได้ยินเช่นนั้น เลือดในกายของพวกเขาจึงเริ่มเดือดพล่านขึ้นมาทันที
ไม่มีใครอยากตกเป็นทาสอย่างไร้เหตุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้มีคนยื่นการสนับสนุนที่แข็งแกร่งมาต่อหน้าพวกเขา สำหรับอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์คนหนึ่ง ใครจะรู้ว่ามีผู้แข็งแกร่งและทรงพลังกี่คนเต็มใจจะติดตามเขาบ้าง นอกจากนี้โจวเหว่ยชิงยังเป็นเพื่อนร่วมห้องของพวกเขา เมื่อมีเพื่อนร่วมห้องที่เต็มใจช่วยเหลือพวกเขาโดยไม่หวังผลตอบแทนเช่นนี้ เวลานี้ใครจะเลือกทางอื่นอยู่อีก?
“ข้าเต็มใจ! พวกเราเต็มใจ!” เสียงดังออกมาทีละเสียง ขณะนั้นหัวใจของนักเรียนใหม่ทุกคนต่างก็เริ่มผูกพันเข้าด้วยกันและแกนกลางของการสายสัมพันธ์นั้นคือโจวเหว่ยชิง เขาถือม้วนคัมภีร์และยืดตัวขึ้นสูงอย่างภาคภูมิ
………………………………