ขณะโจวเหว่ยชิงกลับไปยังที่นั่งของเขา เสี่ยวฉือก็พาอาจารย์คนอื่นๆ ออกไป นักเรียนที่อยู่รอบๆ ต่างจ้องมองมาที่โจวเหว่ยชิงด้วยสายตาแสดงความเคารพและความชื่นชมแต่ก็ยังมีบางคนที่ยังมีท่าทีเหยียดหยามและหวาดกลัว ในทางกลับกัน โจวเหว่ยชิงได้แต่เพิกเฉยกับการแสดงออกที่หลากหลายของพวกเขาและกล่าวว่า “ข้าต้องการเป็นหัวหน้าห้อง มีใครคัดค้านหรือไม่? เมื่อสักครู่ก่อนข้าหมายความตามที่พูดจริงๆ ในอีก 4 ปีข้างหน้า ก่อนที่เราจะจบการศึกษา ทุกคนในห้องเรียนของเราจะได้รับการสนับสนุนทั้งม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บ อืมม…เพื่อให้ความช่วยเหลือของข้ามีประสิทธิภาพมากที่สุด พวกเจ้าทุกคนควรขยันฝึกฝนและเพิ่มจำนวนมณีให้มากขึ้นก่อนที่จะจบการศึกษา อย่างที่ข้าพูดไป ข้าจะไม่มีข้อผูกพันใดๆ กับพวกเจ้า…หลัง 4 ปีผ่านไปพวกเราจะแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง”
ภายในกลุ่มนักเรียนสามัญชน บางคนยังคงมีท่าทีสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดในช่วงเช้า เห็นได้ชัดว่าเขาทำร้ายรุ่นพี่ติงเฉินอย่างโหดเหี้ยม…ทว่าเรื่องกลับจบลงอย่างง่ายดายขนาดนี้? ทั้งยังไม่มีการลงโทษอื่นๆ จากโรงเรียนอีก? ในบรรดานักเรียนเหล่านี้ บางคนที่ฉลาดกว่าก็สามารถตระหนักได้ว่าโจวเหว่ยชิงนั้นพิเศษเพียงใด เพื่อนคนนี้อาจจะดูบ้าบิ่น แต่เขาก็มีเหตุผลของตัวเองและไม่ใช่คนโง่แน่นอน ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะมีเหตุผลอะไรในการกระทำเช่นนี้ อย่างน้อยก็ไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขา
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครจะคัดค้านไม่ให้เขาเป็นหัวหน้าห้อง?
อนิจจา ในขณะที่ทุกคนคาดว่าคงจะไม่มีใครคัดค้าน น้ำเสียงที่ฟังดูแปลกแยกไปจากคนอื่นๆ ก็ดังขึ้นมา “จะเป็นหัวหน้าห้อง…เจ้าขออนุญาตข้ารึยัง?”
น้ำเสียงนั้นนุ่มนวล มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยความเย้ายวน พริบตานั้นสายตาของทุกคนก็ถูกดึงดูดไปทางนั้นโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่โจวเหว่ยชิงเข้ามาในห้องประชุม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็ทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองไปยังเจ้าของเสียง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นน่าเกลียดทันที
เป็นหมิงฮัวยืนที่อยู่ตรงนั้น บนใบหน้างดงามและร่างกายได้รูปไม่มีวี่แววว่าเคยได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้เมื่อวานก่อนแม้แต่น้อย ขณะนี้สภาพของเธอดูดีมาก ใบหน้าขึ้นสีแดงฝาด ดวงตาคู่งามของเธอกวาดไปมาเล็กน้อยขณะที่เธอจ้องมองไปยังบรรดานักเรียนสามัญชน อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้สีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไป เหตุผลหลักคือเครื่องแต่งกายที่เธอสวมอยู่ต่างหาก เธออยู่ในชุดคลุมสีดำที่มีไว้สำหรับอาจารย์! ขณะนี้ดวงตาของเธอกำลังฉายแววล้อเลียนและเยาะเย้ยโจวเหว่ยชิง
“โอ้? ทำไมเงียบเป็นเป่าสากเลยล่ะ อาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ที่รักของข้า? เจ้าไม่ได้อยากเป็นหัวหน้าห้องหรอกหรือ?”
โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่น “…เป็นไปได้ไหมว่า…ท่านเป็นอาจารย์ประจำชั้นของเรา?”
หมิงฮัวยิ้มและพูดว่า “ข้าขอโทษจริงๆ มันเป็นเรื่องบังเอิญแค่นั้นเอง ข้าเพิ่งได้รับมอบหมายให้เป็นอาจารย์ประจำชั้นของพวกเจ้า สวัสดีนักเรียนทุกคน ข้าชื่อหมิงฮัวและต่อจากนี้ไปข้าคืออาจารย์ของพวกเจ้า หวังว่าทุกคนจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดีที่สุด เข้าใจและจดจำความรู้ทางการทหารทั้งหมดเพื่อกลายเป็นทหารที่โดดเด่นหรือแม่ทัพนายกองที่ยิ่งใหญ่ให้ได้”
เมื่อโจวเหว่ยชิงเห็นหมิงฮัวแต่งกายด้วยชุดคลุมสีดำของอาจารย์ เขาก็สัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่าง หัวใจของเขาพลันรู้สึกหนักอึ้ง ไม่ว่าเขาจะฉลาดและมีไหวพริบแค่ไหน เขาก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนอายุน้อยๆ เช่นหมิงฮัวจะเป็นถึงอาจารย์ไม่ใช่นักเรียน! ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังเป็นอาจารย์ประจำชั้นของเขา! วันเวลาภายภาคหน้าของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป? แน่ล่ะ ก็เขาเพิ่งจะทุบตีเธอไปเมื่อวานนี้จนเกือบตาย…
โจวเหว่ยชิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหุบปากและนั่งลงอย่างเงียบๆ เขารีบเค้นสมองคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วและมองหาทางออกที่เป็นไปได้
จู่ๆ หมิงฮัวก็เปลี่ยนน้ำเสียงของเธออย่างน่าประหลาด หลังจากดึงดูดความสนใจของนักเรียนใหม่ทุกคนได้แล้ว เธอก็ยิ้มและพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นสิ่งที่นักเรียนโจวเหว่ยชิงแสดงออกแล้ว ข้าคิดว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นถูกต้อง ในฐานะมนุษย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีกระดูกสันหลังเป็นของตัวเองเพื่อให้สามารถยืดตัวตรงได้ด้วยความภาคภูมิใจ ไม่ว่าการกระทำของเขาจะถูกหรือผิด อย่างน้อยเขาก็ทำให้ห้องเรียนมีความสามัคคีและทำให้พวกเจ้าทุกคนใกล้ชิดกันมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ข้าจึงคิดว่าคงไม่แย่เกินไปนักที่จะให้เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าห้องชั่วคราว แน่นอนว่าหลังจากพิธีเปิดพวกเราสามารถจัดการเลือกตั้งใหม่อีกครั้งได้”
เมื่อฟังคำพูดของเธอ โจวเหว่ยชิงก็ถึงกับผงะ คิดในใจว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดมากเพราะหมิงฮัวไม่ได้ฉวยโอกาสนี้แก้แค้นเขา
หมิงฮัวเดินไปด้านหน้าและนั่งลงบนเก้าอี้ ส่วนอีกด้านหนึ่ง รุ่นพี่นักเรียนสามัญทุกคนต่างก็จ้องมองไปที่เธอราวกับว่าพวกเขาเห็นผี
ใบหน้าของซ่างหลางกระตุกขึ้นอีกครั้งก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “ดูเหมือนว่าปีนี้พวกชนชั้นสูงจะไม่อาจกดขี่พวกน้องใหม่ได้เสียแล้ว มีทั้งดอกไม้ยมโลกและเจ้านั่น นี่คงจะเป็นปีการศึกษาที่น่าสนใจและวุ่นวายที่สุด”
หลังจากเหตุการณ์ช่วงเช้าที่น่าตื่นตาตื่นใจผ่านพ้นไป ในที่สุดพิธีเปิดก็เริ่มขึ้นเสียที โจวเหว่ยชิงเห็นอาจารย์เสี่ยวฉือเดินเข้าไปบริเวณที่นั่งกลุ่มบุคคลพิเศษของโรงเรียนจากประตูด้านข้าง นอกจากเสี่ยวฉือแล้วยังมีคนอีก 3 คนเดินเข้ามาพร้อมกับเขา
คนที่ดึงดูดความสนใจของโจวเหว่ยชิงได้มากที่สุดคือคนที่อยู่บนเก้าอี้ประธาน คนๆ นั้นมีรูปร่างสูงโปร่งและสมส่วน ทั้งยังสวมเสื้อคลุมสีดำของอาจารย์ด้วย ความแตกต่างคือเสื้อคลุมของเธอมีแถบด้ายสีทอง ผมยาวสีดำเงางามของเธอถูกรวบไว้ด้านหลังศีรษะอย่างเป็นระเบียบด้วยรัดเกล้าสีทอง บนใบหน้างดงามของเธอมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่ นอกจากนั้นยังมีสัญลักษณ์รูปดาบไขว้ของอาณาจักรเฟยหลี่ติอยู่บนบริเวณหน้าอกชุดคลุมของเธอ ความแตกต่างที่สำคัญคือตรงกลางของสัญลักษณ์มีอัญมณีสีแดงที่วิจิตรงดงามประดับอยู่ด้วย
แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากที่นั่งของเธอ โจวเหว่ยชิงก็ยังสัมผัสได้ถึงความงามเหนือระดับของอีกฝ่าย ทั้งกิริยามารยาทอันสูงส่งและท่าทีสง่างามของเธอ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยสัมผัสจากคนอื่นๆ มาก่อน แม้แต่ในบรรดาราชนิกูลของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ เขาก็ไม่เคยเห็นใครที่มีกลิ่นอายสูงส่งเหมือนหญิงสาวที่น่าจะอายุราวๆ 17 ปีคนนี้มาก่อน
นอกจากหญิงสาวคนนี้แล้ว ในบรรดาอีก 3 คน อาจารย์เสี่ยวฉือยังถือว่าเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดเนื่องจากอีก 2 คนนั้นเป็นชายชราผมขาว แม้ว่าเสื้อคลุมของพวกเขาจะประดับไปด้วยแถบสีทองเช่นกัน แต่ก็ไม่มีสัญลักษณ์ดาบไขว้สีทองบนหน้าอกของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นอายของพวกเขาก็ดูแตกต่างกับหญิงสาวคนนั้นมากเช่นกัน
เมื่อทั้ง 4 คนก้าวเข้ามาภายในห้อง ห้องประชุมทั้งหมดก็ตกอยู่ในความเงียบ เสี่ยวฉือนั่งลงที่เก้าอี้ด้านหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เริ่มพิธีเปิด ณ บัดนี้ ขอให้ทุกคนปรบมือต้อนรับท่านผู้อำนวยการไช่ไช่ที่มาเป็นประธานเปิดพิธีในวันนี้ เช่นเดียวกับรองผู้อำนวยการเทียนสิงยี่ฉือและเซิงซุน”
ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเกรียวกราว ผู้อำนวยการทั้ง 3 คนจึงยืนขึ้นพร้อมกับก้มศีรษะทักทาย
ผู้อำนวยการ?? หญิงสาวคนนั้นเป็นผู้อำนวยการ? แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะพอรับรู้ถึงความสำคัญของเธอได้บ้าง แต่เขาก็ยังคงประหลาดใจคล้ายไม่อยากจะเชื่อเมื่อรู้ตำแหน่งของเธอ
โรงเรียนทหารของราชวงศ์เฟยหลี่ที่ยิ่งใหญ่ให้หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้เป็นผู้อำนวยการ? แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะยอมรับได้ แต่มันก็ยังดูแปลกประหลาดมาก! อย่างไรก็ตาม บางทีอาจมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังหญิงสาวคนนี้ก็เป็นได้
ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังนึกถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เสียงของโข่วรุ่ยก็ดังขึ้นในหูของเขาอีกครั้ง “ลูกพี่ ท่านผู้อำนวยการของเราเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าได้สอบถามเกี่ยวกับนางมากแล้ว สาเหตุที่นางสามารถขึ้นเป็นผู้อำนวยการได้นั้นเป็นเพราะความสามารถของตนเองแน่นอน อย่าตัดสินนางด้วยรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอันขาด นางอาจจะดูเยาว์วัย เป็นหญิงสาวที่ทั้งอ่อนโยนและอ่อนแอ แต่ในจักรวรรดิเฟยหลี่ เป็นที่รู้กันดีว่านางเป็นหญิงเหล็กแห่งกองทัพ เป็นถึงแม่ทัพและรองผู้บัญชาการกองพัน นอกจากนี้ ตำแหน่งของนางก็ยังขยับขึ้นช้ากว่าคนอื่นๆ เนื่องจากเป็นผู้หญิง มิฉะนั้นด้วยการความสามารถของนาง นางอาจมีตำแหน่งที่สูงกว่านี้ก็เป็นได้ นอกจากนี้ ผู้อำนวยการไช่ไช่ยังเป็นน้องสาวขององค์ จักรพรรดิเฟยหลี่ และแม้ว่านางจะอายุ 35 ปีแล้ว นางก็ยังไม่ได้แต่งงาน”
“มีข่าวลือว่านางและแม่ทัพหมิงหยูเป็นคู่รักกัน แม้จะไม่มีใครรู้ว่าทำไมหลังจากผ่านมาหลายปีทั้งคู่ยังไม่ได้แต่งงานหรือมีลูกก็เถอะ”
เมื่อฟังคำพูดของโข่วรุ่ย โจวเหว่ยชิงก็อดหัวเราะไม่ได้ “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะเป็นคนขี้นินทาด้วย”
โข่วรุ่ยยิ้มและพูดว่า “เดิมทีตอนที่ข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนเตรียมทหาร หมวดหมู่ที่ข้าสนใจก็คือการสืบข่าวกรอง สายลับและการสอดแนม ในสงครามนั้น หน่วยสืบข่าวและหน่วยสอดแนมเป็นหนึ่งในหน่วยที่สำคัญที่สุด เมื่อเรามีข้อมูลที่จำเป็นและสามารถเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างถ่องแท้แล้ว กองทัพก็จะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง ข้าเชื่อว่านั่นคือกุญแจนำไปสู่ชัยชนะในท้ายที่สุด”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ในอนาคตถ้าข้าได้ขึ้นเป็นแม่ทัพ ข้าอยากจะให้เจ้าเป็นทหารหน่วยสืบข่าวกรองให้ข้า”
ในขณะที่พวกเขาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างเงียบๆ พิธีเปิดก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ในความเป็นจริง สิ่งที่เรียกว่าพิธีเปิดภาคเรียนอย่างเป็นทางการนี้เป็นเพียงการเปิดโอกาสให้ผู้นำไม่กี่คนของโรงเรียนได้พูดคุยกับนักเรียนทุกคนเพื่อสรุปความสำเร็จของโรงเรียนที่เป็นประเด็นสำคัญๆ ของปีที่ผ่านมา หลังจากฟังไป 2-3 ประโยค โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน ในพิธีทั้งหมด สิ่งเดียวที่เขาจำได้คือน้ำเสียงที่ไพเราะของผู้อำนวยการไช่ไช่ แต่ก็จำเนื้อหาใดๆ ที่เธอพูดไม่ได้เลย สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่นั่งข้างเขา เธอตั้งอกตั้งใจฟังการบรรยายทั้งหมดอย่างเต็มที่ การได้เข้าเรียนในโรงเรียนทหารเฟยหลี่เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับเธอมาก และเธอก็ให้ความสำคัญกับโอกาสที่ได้รับมานี้อย่างตั้งใจ ท้ายที่สุดแล้วความรู้สึกหมดหนทางเมื่อครั้งที่เธอยังเป็นผู้บัญชาการกองพันก็ยังเป็นแผลสดใหม่อยู่ในใจของเธอและมันก็ทำให้เธอตระหนักว่าตนยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการบัญชาการทหารมากเพียงใด
…
ในขณะที่พิธีเปิดซึ่งจัดขึ้นในโรงเรียนทหารเฟยหลี่กำลังเริ่มขึ้น ไม่ไกลจากนั้น ผู้มาเยือนที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใครก็ก้าวเข้ามายังวังกักเก็บทักษะของอาณาจักรเฟยหลี่
หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าวังกักเก็บทักษะและปรายตามองอาคารสูงใหญ่เบื้องหน้าเธออย่างเงียบๆ แม้ว่าจะยืนอยู่เฉยๆ เธอก็ยังสามารถแผ่กลิ่นอายที่ไม่เหมือนใครออกมาได้ นั่นจึงดึงดูดความสนใจของทุกคนรอบข้างไปได้อย่างง่ายดาย มันเป็นกลิ่นอายที่แปลกประหลาดและสูงส่งจนสามารถทำลายความคิดที่ไม่เหมาะสมของผู้อื่นที่มองมาได้ ราวกับพวกเขากำลังมองแสงอาทิตย์เจิดจ้าที่สามารถเผาดวงตาให้มอดไหม้ได้
หญิงสาวผู้นี้สวมผ้าคลุมปิดหน้า ทว่าแม้เธอจะดูเด็กมาก แต่ก็ศีรษะก็ยังปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีขาว เห็นได้ชัดว่าสีผมของเธอไม่ได้เกิดจากความแก่ชรา เพราะพวกมันต่างก็ส่องประกายแวววาวและมีชีวิตชีวาราวกับว่าทำจากหยกขาว ตรงขมับทั้งสองข้างมีเส้นผมสีฟ้ากลุ่มหนึ่งคาดยาวไปข้างหลังตัดกับเส้นผมสีขาวส่วนที่เหลือ นั่นทำให้ความงามของเธอเด่นชัดขึ้นมากกว่าเดิม
ดวงตาของเธอเป็นสีม่วงเข้ม เพียงตวัดสายตามองน้อยๆ ก็ราวกับว่าสามารถมองลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณอีกฝ่ายได้ ขณะที่เธอยืนอยู่นิ่งๆ ภาพที่เห็นก็เสมือนว่ากำลังยืนอยู่ท่ามกลางดวงอาทิตย์และแสงสว่างทั้งหมดของโลก ไม่ช้าขาเรียวยาวก็ขยับเยื้องย่างขึ้นบันไดเข้าไปยังวังกักเก็บทักษะ
เธอเพิ่งจะก้าวขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ก้าว ความงามที่แผ่ออกมาก็สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คุมได้แล้ว หลังจากลังเลอยู่สักพัก พวกเขาทั้ง 4 คนก็เดินไปหาเธอ ในเวลานั้น แม้จะต้องทำตามหน้าที่ แต่พวกเขาก็มีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นในใจ ราวกับว่าการขอให้เธอแสดงมณีพลังนั้นเป็นเรื่องไร้สาระมาก คนๆ นี้ต้องเป็นจ้าวมณีสวรรค์อย่างแน่นอน
ก่อนที่พวกเขาจะได้เอ่ยปาก หญิงสาวผมขาวก็ยกมือขวาขึ้น นิ้วเรียวเปล่งแสงสีขาวจางๆ ออกมา จากนั้นที่ข้อมือของเธอก็พลันปรากฏหยกน้ำแข็ง 6 ดวง พร้อมกับหมอกสีขาวหมุนวนอยู่รอบๆ
ม่านตาดำของเหล่าทหารยามหดแคบด้วยความตกใจ พวกเขาจึงโค้งคำนับขณะกล่าวด้วยความเคารพ “เรียนท่านจ้าวมณีสวรรค์ระดับปรมะขั้นสูงสุดที่เคารพ เชิญเข้าไปได้ขอรับ”
หญิงสาวผมขาวพยักหน้าอย่างแผ่วเบาแต่ทว่าก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดตอบ เธอก้าวไปข้างหน้าและเดินผ่านผู้คุมเข้าไปข้างในวังกักเก็บทักษะ
……………………………