ซ่างกวนเทียนเยว่ยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น สำหรับลูกสาวที่พรากจากกันมาหลายปีผู้นี้ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรักใคร่และความอ่อนโยน “เด็กโง่ แม้พวกเราพ่อลูกเพิ่งจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่ข้าจะไม่เห็นความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อเขาได้อย่างไร? ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่นะ เจ้าต้องรู้ว่าผู้ชายที่จะโดดเด่นนั้นต้องถูกลับเหมือนคมมีด ยิ่งถูกฝนมากเท่าไหร่ มันจะยิ่งคมขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าต้องฝ่าฟันกว่าจะได้มา เจ้าก็จะถนุถนอมมันมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่ามีประโยคหนึ่งที่ข้าไม่ได้ล้อเล่น การจะเป็นลูกเขยของซ่างกวนเทียนเยว่ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าเป็นพ่อของเจ้า ข้าไม่มีสิทธิ์ทดสอบผู้ชายที่ลูกสาวข้าชอบบ้างเลยหรือ?”
เมื่อได้ฟังและคิดตามคำพูดของซ่างกวนเทียนเยว่ การแสดงออกของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ดูนุ่มนวลขึ้นเล็กน้อย ในช่วงเวลาต่อมา แสงสีขาวอันอ่อนโยนก็โอบล้อมร่างพวกเขาอีกครั้ง ทันใดนั้นรอบข้างก็มืดลงและทั้ง 3 คนหายตัวไปในพริบตา
ซ่างกวนเทียนเยว่ไม่ได้บอกลูกสาวของเขาอย่างหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าพวกเขาได้ทำความสนิทสนมกันไปแล้ว บางทีซ่างกวนเทียนเยว่อาจไม่ได้ให้โอกาสโจวเหว่ยชิงด้วยซ้ำ
…
เมื่อซ่างกวนเทียนเยว่และลูกสาวจากไป โจวเหว่ยชิงก็ลุกขึ้นยืนอยู่ที่เดิม ลมหายใจของเขาสงบลง ทว่าเข้าสู่สภาวะแปลกประหลาดบางอย่าง
ไม่มีความโกรธเคืองใดๆ ในขณะนี้เขาไม่มีความโกรธเกรี้ยว ไม่มีอารมณ์เชิงลบในใจ สิ่งเดียวที่เปล่งประกายในดวงตาของเขาคือความสงบเย็นที่ไม่เคยมีมาก่อน
แม้ว่าซ่างกวนเทียนเยว่จะพูดกับเขาเช่นนั้นและพาซ่างกวนปิงเอ๋อร์จากไป แต่โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้เกลียดเขาเลย เหตุผลนั้นง่ายมาก ในตอนนั้น เมื่อซ่างกวนเทียนเยว่คว้าคอเขา โจวเหว่ยชิงก็นึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ ถ้าเขาเป็นซ่างกวนเทียนเยว่ หากตกอยู่ในเหตุการณ์แบบเดียวกัน บางทีเขาอาจจะทำสิ่งที่เลวร้ายกว่าซ่างกวนเทียนเยว่ด้วยซ้ำ!
พ่อคนไหนจะรู้สึกสบายใจเมื่อลูกสาวแต่งออกไป พวกเขาจึงมักจะระมัดระวังอย่างมากเมื่อเลือกลูกเขย นอกจากนี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยังงดงามมาก และซ่างกวนเทียนเยว่ก็แยกจากลูกสาวมาหลายปีแล้ว ใครๆ ก็ย่อมจินตนาการได้ว่าเขาจะรักและทนุถนอมเธอมากแค่ไหน ทว่าเมื่อถึงเวลาที่ได้พบกัน เขากลับต้องอ้าแขนต้อนรับลูกเขยที่ไม่รู้จัก อีกทั้งคนผู้นั้นก็ยังดูไม่เข้าท่าเป็นอย่างมาก เช่นนี้เขาจะมีความสุขได้อย่างไร? สิ่งที่เขาคิดต้องเป็น “ในที่สุดข้าก็พบลูกสาวที่ไม่ได้เจอกันมาเนิ่นนาน จะให้ชายอื่นมาฉกนางไปได้อย่างไร!”
หลังจากคิดถึงเรื่องนั้น โจวเหว่ยชิงก็ไม่อาจเกลียดชังซ่างกวนเทียนเยว่ได้อีกต่อไป แน่นอนว่าการไม่เกลียดไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้เก็บคำพูดเหล่านั้นมาใส่ใจ คำพูดของซ่างกวนเทียนเยว่ยังคงบาดลึกเข้าไปในหัวใจของเขา
นับตั้งแต่ที่ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ปรากฏตัวจนกระทั่งซ่างกวนเทียนเยว่พาปิงเอ๋อร์ออกไป เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้โจวเหว่ยชิงได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย
ในตอนนี้เขาสงบนิ่งมากและกำลังวิเคราะห์ทุกๆ อย่าง
นอกจากการกระทำแปลกๆ ของเจ้าแมวอ้วนแล้ว ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์และซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต้องเป็นพี่น้องกันอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ จากสิ่งที่ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์พูด พวกนางยังมีน้องสาวอีกคน และการที่เธอเรียกปิงเอ๋อร์ว่าน้องสาวคนที่ 3 นั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นแฝด 3 ไม่ใช่แฝด 2! กล่าวคือมีน้องสาวอีกคนหน้าตาเหมือนพวกเขา และชื่อของเธอควรจะเป็นซ่างกวนเฟยเอ๋อร์
ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ เฟยเอ๋อร์ และปิงเอ๋อร์ ลูกสาวแฝด 3 งั้นหรือ…โจวเหว่ยชิงสัมผัสแก้มที่บวมแดงของเขาและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไร้คำพูดกับเหตุการณ์ทั้งหมด ในอนาคต เมื่อเขาได้พบกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อีกครั้ง เขาจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนที่จะลงมือทำอะไร ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเขาจะทำผิดพลาดและถูกทุบตีเข้าอีก!
ในขณะที่เขาคิดมาถึงจุดนี้ มุมปากของโจวเหว่ยชิงก็ขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มแปลกๆ เนื่องจากความเจ็บปวดในใจของเขาลดลงแล้วเล็กน้อย เขาจึงกำลังคิดกับตัวเองว่า ถ้าข้าแต่งงานกับปิงเอ๋อร์ ในอนาคตเราจะมีลูกแฝด 2 หรือแฝด 3 ด้วยหรือเปล่านะ? บางทีนั่นอาจจะถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์เช่นกัน!
สิ่งที่เข้ามาในความคิดเป็นลำดับถัดมาคือ: ซ่างกวนเทียนเยว่คือใครกันแน่? ก่อนหน้านี้ ผู้ดูแลศาลาศาสตรามณียุทธ์ได้เรียกเขาว่ารองเจ้าวัง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในอาณาจักรจ้งเทียน อำนาจของศาลาศาสตรามณียุทธ์นั้นเท่าเทียมกับวังกักเก็บทักษะ ด้วยเหตุนี้ หากซ่างกวนเทียนเยว่เป็นเพียงรองเจ้าวังของวังกักเก็บทักษะ เขาก็ไม่ควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพเช่นนั้น และผู้ดูแลศาลาศาสตรามณียุทธ์เหล่านั้นก็ไม่น่าจะกลัวเขาขนาดนี้
ถ้าเขาไม่ได้มาจากวังกักเก็บทักษะแล้ว วังอื่นๆจะมีผู้ทรงพลังเช่นซ่างกวนเทียนเยว่ได้อย่างไร? มีเพียงคำตอบเดียวคือผู้พิทักษ์และผู้สนับสนุนหลักของอาณาจักรจ้งเทียน ผู้ที่เจ้านายที่แท้จริงของศาลาศาสตรามณียุทธ์ หนึ่งในมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ วังสวรรค์ไพศาล!
ถ้าซ่างกวนเทียนเยว่เป็นรองเจ้าวังของวังสวรรค์ไพศาล ทุกอย่างก็ดูสมเหตุสมผลแล้ว ดูจากชื่อของเขา หากเป็นไปตามดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ตำแหน่งดวงดาว เขาน่าจะเป็นพี่ชายของจักรพรรดิซ่างกวนเทียนซิง นั่นหมายความว่าเขาอาจจะมีพี่น้อง 3 คน และอีกคนก็เป็นพี่ชายคนโต? พวกเขาน่าจะเป็นแฝด 3 ด้วย? เช่นนั้นพี่ชายคนโตสามารถเรียกว่า ซ่างกวนเทียนยื่อได้หรือไม่? ช่างเป็นชื่อที่แย่มากทีเดียว! [1]
รองเจ้าวังสวรรค์ไพศาล ตำแหน่งของเขา…แค่คิดถึงมันก็ทำให้หัวใจของโจวเหว่ยชิงกระตุกวูบได้แล้ว ปิงเอ๋อร์ของเขาไม่ได้เป็นแค่เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรจ้งเทียน แต่ยังเป็นทายาทสายตรงของผู้นำวังสวรรค์ไพศาลด้วย! วังสวรรค์ไพศาลทรงพลังเพียงใดน่ะหรือ? ดูจากพลังของซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ก็บอกได้แล้ว เธอเป็นแฝดสามกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ นั่นหมายความว่าเธออายุเพียง 19 แต่เธอก็มีมณีถึง 7 ชุดแล้ว! ด้วยอายุเพียงแค่นี้เท่านั้น! โจวเหว่ยชิงรู้ว่าความสามารถของเขานั้นโดดเด่น เมื่อรวมกับวิชาเทพอมตะซึ่งให้ผลเร็วแบบก้าวกระโดดเช่นนี้ เขาจะต้องเพิ่มระดับขึ้นได้อย่างรวดเร็วแน่นอน ทว่าเขาก็ยังรู้ดีว่าเมื่อตัวเองมีอายุครบ 19 ปี เขาก็ยังไม่อาจมีมณี 7 ชุดได้หากไม่เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นกับเขา
ด้วยการวิเคราะห์ของโจวเหว่ยชิง เมื่อตระหนักถึงภาระหน้าที่ที่รอเขาอยู่เบื้องหน้าได้ เขาก็เข้าใจอย่างแท้จริงว่าซ่างกวนเทียนเยว่รู้สึกอย่างไรขณะที่เขาพูดเช่นนั้นออกมา การจะเป็นลูกเขยของเขา หรืออาจกว่าวให้ชัดว่า การจะเป็นลูกเขยของวังสวรรค์ไพศาลนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
“ปิงเอ๋อร์ รอข้าก่อน ข้าจะทำให้พ่อของเจ้าเห็นพลังที่แท้จริงของข้า เจ้าเป็นภรรยาของข้า และจะไม่มีใครพรากเจ้าไปจากข้าได้ ไม่เว้นแม้แต่บิดาของเจ้า นอกจากนี้ ข้าจะไม่แต่งเข้าวังสวรรค์ไพศาล แต่เป็นเจ้าแต่งเข้าบ้านข้าต่างหาก!”
หลังจากพึมพำกับตัวเอง โจวเหว่ยชิงก็ส่ายหน้า ยกแขนขวาขึ้นมากำขณะที่นิสัยดื้อแพ่งที่ฝังอยู่ลึกลงไปในกระดูกของเขาถูกจุดประกายขึ้นมา แท้จริงแล้วนิสัยที่แท้จริงของเขาคือคนประเภทดื้อดึงไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงคล้ายคลึงกับแม่ทัพโจวผู้เป็นพ่อของเขา ในตอนแรก ที่แม่ทัพโจวขอให้เขาไปเรียนรู้กับอันธพาลตาเทพมู่เอินนั้นก็เป็นเพราะกลัวว่าลูกชายคนเดียวของตนจะไม่อาจฝึกพลังปราณได้ และด้วยนิสัยแบบเดียวกันกับตัวเอง นั่นจะทำให้โจวเหว่ยชิงเกิดปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะได้เรียนรู้การกลัวตาย วิธีการเอาชีวิตรอด วิธีหลอกลวงและเสแสร้งจากมู่เอิน แต่ลึกๆแล้วลักษณะนิสัยบางอย่างของเขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะถึงอย่างไร เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของเขาก็ยังถ่ายทอดมาจากแม่ทัพโจว!
…
เมื่อโจวเหว่ยชิงกลับไปถึงที่โรงเตี๊ยม เขาก็ตรงไปที่ห้องของหลินเทียนอ้าว เมื่อเขาผลักประตูเข้าไป เขาก็พบว่าสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ทั้งหมดนอกเหนือจากอู่หยาอยู่ที่นี่ทั้งหมด
การได้เห็นโจวเหว่ยชิงกลับมาไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เมื่อสมาชิกเห็นรอยฝ่ามือและใบหน้าที่บวมฉึ่งของเขา พวกเขาก็มีสีหน้าสนอกสนใจขึ้นมาทันที
ขี้เมาเป่าเลิกคิ้วพูดว่า “เหว่ยชิง เจ้าไปทำเรื่องชั่วร้ายอะไรมารึ? ดูจากใบหน้าบวมเป่งของเจ้า รอยประทับมือบางๆนั่นต้องเป็นผู้หญิงแน่ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
สี่น้อยยิ่งไม่พูดอ้อมค้อม เขาหัวเราะออกมาเสียงดังขณะที่เขาพูดว่า “เหว่ยชิง เจ้ามีปิงเอ๋อร์อยู่แล้ว เจ้ายังจะไปข้องแวะกับผู้หญิงคนอื่นได้อย่างไร นั่นเป็นความคิดที่ผิดพลาดมหันต์เลยทีเดียว กลุ่มของเรายังมีอู่หยาอยู่อีกทั้งคน ทำไมต้องไปหาคนอื่นแทนคนใกล้ตัวเช่นนี้ล่ะ อืม แม้ว่านั่นอาจจะเป็นความคิดที่ดี แต่ด้วยฝ่ามือใหญ่ๆของอู่หยา ถ้านางตบเจ้าแบบนั้น…ฮ่าๆๆ!”
เย่เป่าเปาและหลินเทียนอ้าวไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองเขาด้วยสีหน้าขบขัน น่าแปลกที่คนที่พูดเป็นคนสุดท้ายมักจะเป็นเซียวเอี๋ยนที่เงียบที่สุด แม้ว่าเขาจะพูดขึ้นมาอย่างเรียบง่ายว่า “ข้าสงสัยว่ารอยบวมนั้นจะบรรเทาลงในสามวันหรือไม่”
ท้ายที่สุดหากใน 3 วันนี้รอยฝ่ามือนั้นยังไม่จางไป เมื่อโจวเหว่ยชิงขึ้นไปบนเวทีเพื่อทำการประลอง เขาจะไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองขายหน้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาณาจักรเฟยหลี่ทั้งหมดด้วย!
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเศร้าหมอง “พวกท่านไม่เห็นอกเห็นใจข้าบ้างเลยเหรอ? นี่ข้าเพิ่งจะคว้าชัยชนะรอบแรกมาให้ทุกคนนะ!”
สี่น้อยวางแขนของเขาบนไหล่ของขี้เมาเป่าในขณะที่เขาพูดพลางกลั้วหัวเราะ “ใครจะเห็นอกเห็นใจคนลามกเช่นเจ้า ฮ่าฮ่า…ดูเจ้าสิ แม้จะถูกตบ แต่แววตาของเจ้าก็ดูไม่โกรธเคืองแม้แต่น้อย เมื่อรวมกับความจริงที่ว่านั่นเป็นรอยฝ่ามือของผู้หญิง มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวว่าเจ้าล่วงเกินผู้หญิงคนหนึ่งและถูกทุบตีกลับมาใช่ไหม? เมื่อเป็นเช่นนั้น ใครจะมีความเมตตาต่อเจ้ากันเล่า!”
โจวเหว่ยชิงพูดอย่างโกรธๆ “พวกท่าน! ฮึ่ม! ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว! หัวหน้า ข้ามาที่นี่เพื่อบอกอะไรท่านบางอย่าง สำหรับงานประลองในอนาคต ปิงเอ๋อร์จะไม่สามารถเข้าร่วมกับเราได้อีกต่อไป เมื่อสักครู่นางเพิ่งได้พบกับญาติที่ขาดการติดต่อไปนาน และนางก็ถูกนำตัวกลับบ้านไปแล้ว”
หลินเทียนอ้าวกล่าวอย่างสงสัย “พบญาติ? นั่นจะไม่ส่งผลกระทบต่องานประลองใช่ไหม?” แม้ว่าความสามารถในการโจมตีของซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในการต่อสู้แบบกลุ่มหรือการต่อสู้แบบคู่ ทักษะการยิงธนูที่น่าทึ่งของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่ควรถูกมองข้าม ความสามารถในการกำจัดศัตรูที่ก่อกวนหรือสนับสนุนเพื่อนร่วมกลุ่มของเธอ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ทำได้ดี การสูญเสียบุคคลที่มีพรสวรรค์ไปเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานะปัจจุบันของพวกเขา นี่จึงไม่ใช่ข่าวดีสำหรับคนในกลุ่มมากนัก
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างเศร้าหมอง “ถ้าญาติของนางเป็นคนอื่น เรื่องนั้นก็คงจะไม่เป็นไรหรอก แต่ปัญหาคือญาติของนางมาจากวังสวรรค์ไพศาล และในฐานะญาติที่ห่างหายกันไปนาน ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางจะกลับมาเมื่อไหร่ พวกเราควรเตรียมตัวเอาไว้ก่อนหากนางไม่สามารถเข้าร่วมประลองกับเราต่อไปได้”
เมื่อได้ยินคำว่าวังสวรรค์ไพศาล การแสดงออกของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที หลินเทียนอ้าวครุ่นคิดสักครู่แล้วกล่าวว่า “เหว่ยชิง แล้วการประลองครั้งที่ 2 ล่ะ แผนของเจ้าคืออะไร?”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “เพื่อความปลอดภัย ข้าอยากให้หัวหน้าเข้าร่วมกับเรา หากพวกเรา 3 คนไม่อาจจัดการได้ เราก็อาจต้องให้ท่านช่วย”
หลินเทียนอ้าวพยักหน้าและกล่าวว่า “นั่นอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ เอ่อ…เหว่ยชิง…เจ้า…ควรไปรักษาบาดแผลบนใบหน้าของเจ้าเสีย เจ้าควรไปที่วังกักเก็บทักษะและจ่ายเงินให้จ้าวมณีสวรรค์ธาตุชีวิต พวกเขาสามารถรักษาบาดแผลเล็กๆ เช่นนี้ให้หายได้ในระยะเวลาสั้นๆ” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้งๆ ออกมา
…………………………………………………..
[1] ยื่อ(日) ในเทียนยื่อ หมายถึง ดวงอาทิตย์, เยว่ (月) ในเทียนเยว่หมายถึงดวงจันทร์ และ ซิง(星) ในเทียนซิงหมายถึงดวงดาว ไม่แน่ใจว่าตำแหน่งเรียงยังไง แต่เดาว่า: ดวงอาทิตย์ -> ดวงจันทร์ -> ดวงดาว จากบริบทอาจมาจากสมัยโบราณเมื่อเปรียบเทียบขนาด