แม้ว่าเย่เป่าเปาจะถูกคำสาปเฉื่อยชา แต่เขาก็ยังมั่นใจในกลยุทธ์การต่อสู้ของตัวเอง ทันทีที่โล่น้ำแข็งระเบิดภายใต้คำสั่งของเขา เขาก็ได้ปลดปล่อยทักษะแช่แข็งออกมาอีกครั้ง ทำให้หมอกน้ำแข็งรอบๆ ชิงเฉียนเริ่มหมุนวนรอบตัวเธอทันที
ผู้ชมสามารถมองเห็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ก่อตัวล้อมรอบร่างของเธอได้อย่างชัดเจน และตรงกลางน้ำแข็งก็มีแสงสีดำขนาดใหญ่รวมตัวกันอยู่อย่างหนาแน่น
*ปัง* เกิดเสียงดังกึกก้องขณะที่น้ำแข็งเหล่านั้นร่วงหล่นลงสู่พื้น เย่เป่าเปาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและปรากฏตัวหน้าก้อนน้ำแข็งเหล่านั้น เขาวางมือลงเติมพลังปราณสวรรค์ของเขาเข้าไปจนถึงขีดสูงสุดในขณะที่ใช้ทักษะเยือกแข็งไปด้วย ทำให้ก้อนน้ำแข็งเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมและมีอุณหภูมิต่ำลงฮวบฮาบ พลังปราณสวรรค์ของเขากำลังไหลทะลักออกไปในอัตราที่บ้าคลั่งราวกับเขื่อนแตก และเขาก็ไม่ได้พยายามยั้งแรงเอาไว้เลย
ในอีกด้านหนึ่ง หลางเซี่ยกำลังจ้องมองไปที่เวทีการประลองอย่างคิ้วขมวด “หมอนั่นกำลังทำอะไรน่ะ?! ด้วยระดับพลังปราณของเขา เขาพยายามจะชนะด้วยทักษะเยือกแข็งนั่นน่ะรึ? ช่างเพ้อฝันและไร้สาระจริงๆ…มากที่สุดก็แค่การระบายพลังปราณสวรรค์ของชิงเฉียนออกไปเท่านั้นแหละ”
หลางเซี่ยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วโจวเหว่ยชิงได้มอบภารกิจลับให้กับเย่เป่าเปา นั่นก็คือการเผาผลาญพลังปราณสวรรค์ของชิงเฉียนออกไปให้สุดความสามารถ!
เมื่อเวลาผ่านไป การต่อสู้ก็มาถึงทางตันเสียที ตอนนี้ทุกคนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแสงสีดำภายในปราการน้ำแข็งเหล่านั้นกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ก้อนน้ำแข็งของเย่เป่าเปาเริ่มแสดงรอยร้าวแตกเล็กๆ ขึ้นมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าน้ำแข็งของเขาไม่สามารถกักขังเธอเอาไว้ได้นานกว่านี้
ทันใดนั้น เย่เป่าเปาก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ศาสตรามณียุทธ์ที่หลอมรวมอยู่กับร่างกายของเขาพลันหายไป เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยใบหน้าซีดเซียว จากนั้นจึงพูดอย่างอ่อนแรง “พลังปราณสวรรค์ของข้าหมดลงแล้ว ข้าขอยอมแพ้” หลังจากพูดแบบนั้น เขาไม่รอให้ปราการน้ำแข็งเหล่านั้นได้ทันแตกสลาย เย่เป่าเปาก็กระโดดลงจากเวทีอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้ากลับไปที่เรือนพักทันที
*ปัง* แสงสีดำเข้มข้นแตกกระจายออกไปทั่วทั้งเวทีอย่างรวดเร็วขณะที่ก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ส่งผลให้เศษน้ำแข็งพุ่งออกไปในทุกทิศทาง ร่างของชิงเฉียนปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มแสงสีดำ แสงเหล่านั้นช่วยกัดกร่อนเศษน้ำแข็งที่เหลืออยู่ทำให้พวกมันสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดวงตาของเธอแดงก่ำ เกือบจะเปล่งแสงสีแดงฉานที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
“อาณาจักรเฟยหลี่ พวกเจ้าทั้งหมดขี้ขลาดนักหรือไร?” แม้ว่าเธอจะชนะการต่อสู้รอบแรก แต่เธอก็ไม่รู้สึกพึงพอใจกับวิธีที่เธอเอาชนะมาได้
เมื่อเย่เป่าเปากระโดดลงจากเวที เธอก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกหลอก อาจดูเหมือนว่าเธอชนะมาได้อย่างง่ายดาย แต่ความจริงแล้วเธอไม่ได้ใช้แผนหรือกลยุทธ์ใดๆ เลยด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่ได้แม้แต่จะเผยความสามารถในการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวออกมาแม้แต่น้อย เย่เป่าเปาได้เริ่มเปิดฉากโจมตีก่อน และด้วยกลยุทธ์ของเขาที่บังคับให้คนทั้งคู่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยันกันอยู่อย่างนั้น ทำให้ทั้งสองคนต้องสูญเสียพลังปราณสวรรค์ไปจำนวนมหาศาล ในเวลานั้น เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้พลังปราณสวรรค์จำนวนมากเพื่อปลดปล่อยทักษะธาตุมืดและปิดกั้นก้อนน้ำแข็งเหล่านั้นเอาไว้ มิฉะนั้นอาจทำให้เธอได้รับบาดเจ็บและทำให้เรื่องราวเลวร้ายลงไปกว่าเดิมก็เป็นได้
อาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่แรกเย่เป่าเปาไม่ได้วางแผนที่จะเอาชนะเธออยู่แล้ว แต่เพื่อให้เธอสูญเสียพลังปราณสวรรค์ไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเขาก็ทำสำเร็จเสียด้วย
นอกเหนือจากเสียงตะโกนอย่างแค้นเคืองของชิงเฉียน เขาก็ยังสามารถได้ยินเสียงตะโกนโวยวายจากผู้คนรอบข้างด้วย ผู้ชมต่างคาดหวังและรอคอยการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ แต่การต่อสู้ครั้งแรกนี้กลับทำให้พวกเขาผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ มันยังเลวร้ายยิ่งกว่าสำหรับผู้ที่ลงเดิมพันข้างพวกเขา!
โจวเหว่ยชิงยื่นนิ้วโป้งให้เย่เป่าเปา “รุ่นพี่ ทำได้ดีมาก! การควบคุมทักษะของท่านดีขึ้นมากทีเดียว ข้าเชื่อว่าแม้ว่าท่านจะต้องต่อสู้จริงๆ ท่านก็จะทำให้นางบาดเจ็บได้”
เย่เป่าเปาได้ยินเสียงร้องโวยวายของผู้คนและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “ข้าหวังแค่ว่าเมื่อกลับไปถึงบ้าน ข้าจะไม่โดนท่านพ่อด่าทอจนหูแตกตาย การกระทำที่น่าอับอายเช่นนี้ โปรดอย่าให้ข้าทำอีกเลย ฮึ่ม ในการต่อสู้ในอนาคต ข้าจะต้องกู้หน้าคืนมาให้ได้!”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้า แววตาของเขาเปล่งประกายแววาว จากนั้นเขาก็พูดอย่างเคร่งขรึม “สำหรับรอบ 2…อู่หยา เป็นการต่อสู้ของเจ้า”
“ได้!” อู่หยากระโดดขึ้นจากที่นั่งอย่างตื่นเต้น เก้าอี้ที่แทบจะรับน้ำหนัก 600 จินของเธอไม่ไหวพลันหักดังเป๊าะจากการเคลื่อนไหวกะทันหันเช่นนี้
โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างจริงจังว่า “อู่หยา นี่เป็นการต่อสู้ที่สำคัญยิ่งสำหรับเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าชนะได้เพียงอย่างเดียว เข้าใจหรือไม่?”
อู่หยาแสยะยิ้มมองไปที่โจวเหว่ยชิงขณะที่เธอพูดว่า “ไม่ต้องกังวลน่า ข้าย่อมไม่แพ้แน่นอน”
หลังจากพูดอย่างนั้น อู่หยาก็หันหลังเดินไปที่เวทีแล้วขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
แม้หลางเซี่ยจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับชัยชนะครั้งแรกของพวกเขา แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มฉายอยู่บนใบหน้า นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ยืดยาว และพวกเขาต้องการเพียงแค่ชัยชนะ 3 ใน 5 เท่านั้น ชัยชนะครั้งแรกนี้จึงทำให้พวกเขาได้เปรียบมาก ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจที่จะดำเนินการตามแผนเดิมและส่งสมาชิกคนที่ 2 ของกลุ่มออกไป
เมื่อสองฝ่ายขึ้นไปบนเวทีก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสมาชิกจากกลุ่มนักรบป่ายต้าเป็นสหายตัวเตี้ยและอ้วนท้วนคนหนึ่ง เขาสูงเพียง 1.6 เมตรหรือมากกว่านั้นเล็กน้อย ทว่าไหล่ของเขากว้างเกือบจะเท่าความยาวของร่างกาย! แขนของเขาดูมีกล้ามเนื้อหนาแน่น เขาสะบัดข้อมือ จากนั้นหยกน้ำแข็ง 4 ดวงก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางไอหมอกหนา ก่อนที่ค้อนขนาดใหญ่ 2 ชิ้นจะปรากฏขึ้นในอุ้งมือเขาอย่างรวดเร็ว นั่นคือศาสตรามณียุทธ์ของเขานั่นเอง
ค้อนคู่ของเขาไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากับโจวเหว่ยชิง แต่ก็มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 1 ฉื่อ! เมื่อรวมกับรูปร่างใหญ่โตของเขาก็ทำให้เกิดภาพน่าเกรงขามอยู่บ้าง
เมื่ออู่หยาเห็นว่าชายร่างกำยำคนนี้มีศาสตรามณียุทธ์ที่รวมกันเป็นค้อนคู่หนึ่ง ดวงตาของเธอก็เผยประกายแวววาวออกมา อู่หยายิ้มน้อยๆ ขณะนำขวานในตำนานออกมาพร้อมกับร้องว่า “เจ้าเตี้ย อยากแข่งความแข็งแกร่งทางกายภาพกับข้าไหม?”
“เอาสิ! ในแง่ของความแข็งแกร่งทางกายภาพ ข้า! บิดาผู้นี้ไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว แม่นางร่างยักษ์ อย่าคิดว่าข้าตัวสั้นเชียว ‘สิ่งนั้น’ ของข้าน่ะมีพลังมหาศาลทีเดียว เจ้าไม่เคยได้ยินคำนี้หรือ สั้นแต่แรงดีน่ะ? ฮิๆๆ” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เขาก็เผยสีหน้าหื่นกระหายออกมา
อู่หยาเคาะขวานลงบนพื้นและส่งเสียงโต้ตอบอย่างไม่ยอมถอย “เจ้าเตี้ย! มารดาแก่ๆ คนนี้จะฟาดเจ้าให้ตายคามือเลยทีเดียว! เข้ามา!”
เมื่อได้ยินคำพูดคำโต้ตอบของทั้งสองคน ผู้ตัดสินก็เหงื่อแตกพลั่กทันที เขาเกือบจะสงสัยว่าสองคนนี้มาที่นี่เพื่ออะไรกันแน่ ไม่นานก็ตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “ทั้งสองฝ่ายโปรดระงับคำพูดของตัวเองด้วย ไม่เช่นนั้นข้าจะยกเลิกการแข่งขันของพวกท่านซะ อย่าลืมว่าพวกท่านเป็นตัวแทนของอาณาจักร เอาล่ะ โปรดแนะนำตนเอง”
เมื่อได้ยินคำเตือนของผู้ตัดสิน ทั้งอู่หยาและสหายตัวอ้วนจากอาณาจักรป่ายต้าก็ยั้งคำพูดของตัวเองไว้ทันที
“กลุ่มนักรบเฟยหลี่ อู่หยา”
“กลุ่มนักรบป่ายต้า สวี่ชวน”
ผู้ตัดสินไม่อยากจะพูดพร่ำทำเพลงมากนัก เขาจึงเอ่ยอย่างรวดเร็วว่า “เริ่มได้” จากนั้นก็กระโจนกลับที่อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้โดนลูกหลง
ทันทีที่ผู้ตัดสินตะโกนออกมา สวี่ชวนก็กระทืบเท้าของเขาลงบนพื้น *ตึง* ร่างสั้นๆ ของเขาพุ่งออกไปเหมือนลูกปืนใหญ่ ค้อนยักษ์ฟาดลงมาจากบนท้องฟ้า ตรงเข้าหาศีรษะของอู่หยาทันที
ด้วยความบังเอิญที่แสนแปลกประหลาด มณีธาตุของสวี่ชวนก็เป็นธาตุไฟเช่นกัน! การโจมตีที่ดูเหมือนเรียบง่ายของเขานั้นไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คนอื่นๆ คิด ด้วยมณี 4 ชุด เขาเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีระดับพลังปราณต่ำที่สุดในกลุ่มนักรบป่ายต้า แต่ก็เหมือนกับที่เขาเอ่ยในตอนต้น จุดแข็งของเขาคล้ายกับอู่หยามาก นั่นก็คือความแข็งแกร่งทางกายภาพ
ในขณะที่เขากระโดดขึ้นไปบนอากาศ เกราะไหล่ทรงกลมก็ปรากฏขึ้นคลุมไหล่ทั้งสองข้างของเขา แน่นอนว่าของเหล่านี้คือศาสตรามณียุทธ์อีก 2 ชิ้นของเขา และที่สำคัญกว่านั้นคือศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 4 ของเขาล้วนมีหลุมบรรจุมณี เห็นได้ชัดว่าพวกมันทั้งหมดเป็นศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์หรือสูงกว่านั้น เมื่อมาถึงจุดนี้ ศาสตรามณียุทธ์ทั้ง 4 ก็สว่างไสวไปด้วยแสงสีแดงอันเจิดจ้า ไหล่ของเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงเพลิง และเมื่อทั้งร่างของเขาพุ่งทะยานไปกลางอากาศ เขาดูเหมือนลูกไฟขนาดย่อมๆ ลูกหนึ่ง
แสงในดวงตาของอู่หยาสว่างวาบขึ้น เธอขยับแยกขาออกจากกันในท่าทางเตรียมพร้อม ขวานในมือถูกยกขึ้นขณะที่เธอตะโกนว่า “เปิด!”
ด้วยเสียงระเบิดที่กำลังดังก้อง ทั้งจตุรัสแทบจะสั่นสะเทือนคล้ายแผ่นดินไหว กลุ่มนักรบในเรือนพักเป็นกลุ่มที่อยู่ใกล้เวทีมากที่สุด ในช่วงเวลานั้นหูของพวกเขาหลายคนก็ส่งเสียงวิ้งๆ และทุกคนก็ต้องหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์ออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องการได้ยินของตนเอง
ขณะที่ขวานและค้อนปะทะกัน สวี่ชวนก็เด้งกลับขึ้นไปในอากาศในขณะที่เท้าทั้งสองข้างของอู่หยาจมลึกลงไปในเวที ในช่วงเวลาต่อมา สวี่ชวนก็ฟาดค้อนลงมาอีกครั้ง ค้อนและขวานปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อเกิดเป็นประกายแสงวูบวาบอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้นเพราะแรงปะทะบนเวที
เซียวเอี๋ยนที่นั่งข้างโจวเหว่ยชิงอุทานออกมา ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “นั่นคือนักรบศาสตร์ลับอัคคี! มีคนที่สามารถฝึกมันได้จริงๆ เหรอเนี่ย?!”
………………………………………………………..