ลักษณะนิสัยของหลินเทียนอ้าวเหมือนกับทักษะของเขา มั่นคง หนักแน่นและสม่ำเสมอ โจวเหว่ยชิงรู้ดีว่านิสัยของตัวเองค่อนข้างตรงกันข้ามกับสิ่งนั้น นั่นเป็นข้อดี แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน หากมีใครบางคนที่หนักแน่นมั่นคงเช่นหลินเทียนอ้าวอยู่เป็นสหายอยู่ข้างกาย คนอย่างเขาจะได้รับประโยชน์อย่างมาก พวกเขาจะส่งเสริมและเติมเต็มซึ่งกันและกัน ส่งผลให้สามารถแสดงความสามารถของตนเองออกมาได้มากที่สุด
ทั้งหลินเทียนอ้าวและโจวเหว่ยชิงเป็นคนพูดตรงๆ เขาจึงไม่ได้พยายามพูดอ้อมค้อมแต่อย่างไร
“เหว่ยชิง เกิดปัญหากับปิงเอ๋อร์หรือ? เรื่องเป็นอย่างไร?”
เมื่อได้ยินคำถามของหลินเทียนอ้าว โจวเหว่ยชิงก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ “ท่านรู้ได้อย่างไร?”
หลินเทียนอ้าวขมวดคิ้วพลางพูดว่า “ตั้งแต่พวกเราออกจากเมืองเฟยหลี่ แม้ว่าเจ้าจะพยายามฝึกฝน แต่เจ้าก็ไม่เคยขยันขันแข็งขนาดนี้มาก่อน แต่ไม่กี่วันนี้เจ้ากลับปิดประตูฝึกไม่ยอมกินยอมนอนเป็นเวลาหลายวัน แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้รู้จักกันนานนัก แต่ข้าก็คิดว่าตัวเองเข้าใจนิสัยของเจ้าดีทีเดียว เมื่อรวมกับการที่ปิงเอ๋อร์หายไป นอกจากความจริงที่ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ข้าก็ไม่สามารถคิดหาเหตุผลอื่นมาอธิบายได้ว่าทำไมเจ้าถึงขยันขึ้นมากะทันหันเช่นนี้”
“เหว่ยชิง ไม่ว่าจะในฐานะผู้ติดตาม หัวหน้า หรือสหายของเจ้า หากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับแม่นางปิงเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงไม่บอกพวกเรา? งานประลองมณีสวรรค์อาจสำคัญ แต่ทั้งเจ้าและปิงเอ๋อร์ก็เป็นสหายของเรา หากนางกำลังประสบปัญหา พวกเราย่อมต้องช่วยเหลือให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันที่จริงถ้าพวกเราไม่ได้เจอกับซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ที่หน้าตาเหมือนกับนางทุกประการผู้นั้น ข้าก็แทบจะคิดว่าเจ้าโกหกเรื่องที่นางเกี่ยวข้องกับวังสวรรค์ไพศาล”
โจวเหว่ยชิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากบอก แต่ในความเป็นจริงเรื่องนี้ไม่มีใครช่วยข้าได้ และข้าก็ต้องพึ่งพากำลังของตัวเองเท่านั้น พูดตามตรง ถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับข้า มันดูน่าเหลือเชื่อมาก นางมาจากวังสวรรค์ไพศาลจริงๆ และเป็นหนึ่งในแฝดหญิง 3 คน ปัญหาคือบิดาของนางมีชื่อว่าซ่างกวนเทียนเยว่และเขาเป็นรองเจ้าวังสวรรค์ไพศาล ยิ่งกว่านั้น เขาน่าจะมีพลังเทียบเท่าจ้าวมณีสวรรค์ระดับราชาหรืออาจจะสูงกว่านั้นก็ได้”
“วันที่ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์มาหาข้า ท่านก็ได้ยินด้วยตัวเองแล้ว เว้นแต่ข้าจะเอาชนะนางได้ ไม่เช่นนั้นข้าก็จะไม่สามารถอยู่ร่วมกับปิงเอ๋อร์ได้ ซ่างกวนเสว่เอ๋อร์อาจเป็นทายาทลำดับสูงสุดของวังสวรรค์ไพศาลและขณะนี้นางก็มีมณี 7 ชุดที่ทรงพลัง มณีพลังของนางอาจจะเป็น ไพฑูรย์ตาแมวสองสี อีกทั้งยังมีชุดศาสตรามณียุทธ์ในตำนานด้วย การจะเอาชนะนาง…มันจะเป็นเรื่องง่ายได้อย่างไร? ข้าอายุน้อยกว่านางเพียง 2-3ปี…แต่ทุกครั้งที่ข้าพัฒนาขึ้น…นางก็จะพัฒนาขึ้นด้วยเช่นกัน…”
หลินเทียนอ้าวยิ้มจางๆ และพูดว่า “เหว่ยชิง เจ้าไม่ควรดูถูกตัวเองแบบนั้น ความจริงข้ารู้สึกว่าในแง่ของความสามารถ เจ้ามีศักยภาพมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นหรือได้ยินมาในชีวิตของข้าเลยทีเดียว แม้จะเปรียบเทียบกับ 5 มหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็มั่นใจว่าไม่มีใครแข็งแกร่งกว่าเจ้า อย่าลืมว่าเราไม่ได้มาจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ทั้งยังไม่ได้มาจากกลุ่มสำนักจ้าวมณีสวรรค์ขนาดใหญ่ ผู้ที่เป็นทายาทสายตรงของมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นซ่างกวนเสว่เอ๋อร์นั้น ตั้งแต่อายุน้อยๆ จ้าวมณีที่ทรงพลังจะช่วยชำระไขกระดูก เส้นชีพจร และอวัยวะในร่างกายของพวกเขา ทำให้พวกเขาได้เปรียบมาก พวกเขาถูกสอนให้ฝึกปราณด้วยวิชาชั้นยอดตั้งแต่อายุ 3 ขวบและโดยปกติแล้วพวกเขาจะปลุกมณีสวรรค์ได้ตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ”
“ด้วยการเริ่มต้นที่รวดเร็ว เมื่อรวมกับสูตรยาขนานลับและวิชาชั้นยอดต่างๆ โดยธรรมชาติแล้วความเร็วในการฝึกปราณของพวกเขาจึงก้าวกระโดดมาก นอกจากนี้ พวกเขายังไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะกักเก็บเนื่องจากมีพวกผู้ใหญ่เตรียมเอาไว้ให้พร้อมสรรพแล้ว เหล่าผู้อาวุโสวางแผนเอาไว้ให้ทั้งหมดแม้กระทั่งเส้นทางการฝึกปราณ เช่นนี้พวกเขาจะไม่ก้าวหน้าเร็วกว่าจ้าวมณีสวรรค์ทั่วๆ ไปได้อย่างไร นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงมีมณี 6-7 ชุดแม้จะอายุต่ำกว่า 20 ปี ในส่วนนี้ทั้งแม่มดน้อยและซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ก็คล้ายคลึงกัน”
“แต่สำหรับพวกเรา สิ่งนี้แตกต่างออกไปมาก พวกเรามีพื้นเพธรรมดา แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสามัญชนทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ การปลุกมณีสวรรค์ของเราขึ้นอยู่กับโชคชะตา และกว่าเราจะสามารถเริ่มฝึกปราณได้ ตอนอายุ 10 ขวบถือว่าดีมากแล้ว ในระหว่างการฝึกฝน เราก็ยังคงต้องกังวลเกี่ยวกับศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บ ในขณะเดียวกัน วิชาฝึกปราณของพวกเราก็ยังมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับต่ำกว่าของพวกเขา อาจกล่าวได้ว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ พวกเราต้องผ่านการต่อสู้มากมาย สิ่งที่มีอยู่ล้วนมาจากเลือดและหยาดเหงื่อของตัวเอง”
“ปีนี้เจ้ายังอายุไม่ถึง 17 ปีด้วยซ้ำ แต่สามารถบรรลุถึงระดับมณี 3 ชุดได้แล้ว สำหรับจ้าวมณีสวรรค์ธรรมดาที่ไม่มีภูมิหลังอันทรงพลัง นี่ถือว่าน่าเหลือเชื่อมาก ดังนั้นข้าเชื่อว่าเมื่อเจ้าอายุมากขึ้น พลังของเจ้าจะต้องเหนือกว่าข้าแน่นอน”
“วิธีฝึกปราณของเราได้ผลช้ากว่ามากเมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับสิทธิ์พิเศษ แต่ก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปซะทีเดียว เพราะท้ายที่สุดเราก็ได้ผ่านความทุกข์ยากมามากมาย ขวนขวายฝึกปรืออย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังของเรา ในบางครั้งระหว่างทางก็สำคัญไม่แพ้จุดหมาย และเราก็มีรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าเพราะสิ่งนั้น พวกเรารู้คุณค่าของศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บทั้งหมดที่เรามี ในขณะเดียวกัน ประสบการณ์การต่อสู้และทักษะการต่อสู้ของเรามักจะหลากหลายกว่า”
“พูดง่ายๆ ก็คือถ้าข้าได้พบกับสมาชิกคนใดคนหนึ่งจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตราบใดที่ระดับพลังปราณของเรายังไม่ห่างกันเกินไปและคนผู้นั้นมีทักษะธาตุไม่เกิน 2 ชนิด ข้าก็มั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้ การต่อสู้ด้วยจิตวิญญาณและความมุ่งมั่นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างขึ้นมาได้ง่ายๆ แม้ว่าจะฝึกวิชาที่ยอดเยี่ยมแค่ไหนก็ตาม”
“นอกจากนี้ ข้าสังเกตเห็นว่าความเร็วในการฝึกปราณของรุดหน้าอย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ นี่ก็เพิ่งผ่านมาไม่นานหลังจากเจ้าเลื่อนระดับขึ้น แต่ตอนนี้พลังปราณสวรรค์ของเจ้าก็ใกล้จะทะลวงผ่านไปถึงระดับถัดไปอีกครั้ง นอกจากนี้ เจ้ายังมีมณีในตำนานที่ไม่เคยมีใครเคยได้ยิน ไพฑูรย์ตาแมวสองสีที่มีทักษะธาตุมากมาย…ข้าเชื่อจริงๆ ว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะซ่างกวนเสว่เอ๋อร์ได้ในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน…บางทีอาจจะสามารถเอาชนะนางได้ด้วยระดับพลังปราณที่ต่ำกว่าอีกด้วย”
เมื่อพูดถึงจุดนั้น ในที่สุดหลินเทียนอ้าวก็หยุดลงชั่วคราว ท่าทีมั่นใจในคำพูดของเขาย่อมส่งผลต่อโจวเหว่ยชิง แม้ว่าโจวเหว่ยชิงจะไม่ได้แสดงออกมาให้คนอื่นเห็น แต่เขาก็รู้สึกสิ้นหวังและขาดความมั่นใจเป็นอย่างมาก ทว่าคำพูดของหลินเทียนอ้าวกลับกำลังจุดไฟในตัวเขาขึ้นมาอีกครั้ง เป็นอีกครั้งที่โจวเหว่ยชิงรู้สึกมีความสุข โชคดีมากที่เขามีหลินเทียนอ้าวเป็นผู้ติดตาม
เมื่อมองไปที่โจวเหว่ยชิงอย่างจริงจัง หลินเทียนอ้าวก็กล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม เหว่ยชิง เจ้าต้องจำไว้ว่าทุกอย่างต้องทำไปทีละขั้นทีละตอนด้วยวิธีการที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการฝึกปราณ เจ้าต้องไม่รีบร้อนลงมือทำสิ่งต่างๆมากจนเกินไป มิฉะนั้นเจ้าอาจประสบปัญหาลมปราณแตกซ่านได้ ในกรณีนี้ ทุกสิ่งที่เจ้าเหน็ดเหนื่อยฝึกมาอย่างหนักจะสลายหายไปในอากาศทันที และเจ้าก็จะไม่ได้เห็นปิงเอ๋อร์ของเจ้าอีกเลย เข้าใจใช่หรือไม่?”
โจวเหว่ยชิงพลันเข้าใจแจ่มแจ้งว่าที่หลินเทียนอ้าวพูดกับเขาเรื่องนี้เป็นเพราะอีกฝ่ายกลัวว่าเขาจะหักโหมหนักมากเกินไปจนเกิดปัญหา เขาจึงต้องมากล่าวเตือนด้วยตัวเองเช่นนี้
โจวเหว่ยชิงเป็นลูกคนเดียวในครอบครัว และในช่วงเวลานี้ เมื่อเขามองไปที่หลินเทียนอ้าว โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังมองดูพี่ชายคนโต เขาพยักหน้าให้อีกฝ่ายซ้ำๆ
เมื่อเห็นว่าคำพูดของเขาได้ผล หลินเทียนอ้าวก็ยืนขึ้นตบไหล่ของโจวเหว่ยชิงและพูดว่า “เจ้าเป็นคนฉลาด มีความกระตือรือร้นและมีความคิดสร้างสรรค์ ข้ากล้าพูดว่าเจ้าเป็นคนที่เก่งที่สุด นี่ไม่ใช่คำชมหรือเยินยออย่างไร้สติ ข้ารู้ว่าข้าไม่จำเป็นต้องพูดมากไปกว่านี้เจ้าก็น่าจะเข้าใจสิ่งที่ข้าต้องการบอกแล้ว การฝึกปราณนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่วิธีการก็สำคัญเช่นกัน อย่าหักโหมจนเกินไป”
“เหว่ยชิง ตั้งใจฝึกให้ดีล่ะ ข้าจะเอาใจช่วย เจ้าเกิดมาพร้อมกับความเป็นผู้นำ ด้วยกลยุทธ์และความสามารถพิเศษของเจ้า เจ้าสามารถชักจูงผู้คนรอบตัวได้ดี แม้แต่ข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หากแผนสำหรับงานประลองมณีสวรรค์ครั้งนี้ได้ผลตามที่เจ้าคาดเอาไว้และพวกเราก็ประสบความสำเร็จจริงๆ เมื่อพวกเรากลับไป เจ้าจะต้องสามารถพัฒนาสิ่งใหม่ขึ้นได้ในหลายๆ ด้าน ในอนาคตเมื่อเจ้าสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่ เจ้าก็จะกลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ และเป็นแม่ทัพที่ยอดเยี่ยมในสนามรบ”
หลังจากพูดทั้งหมดนั้น หลินเทียนอ้าวก็ตบบ่าโจวเหว่ยชิงแรงๆ อีกครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป
หลังจากปิดประตู โจวเหว่ยชิงก็ไม่สามารถสงบสติลงได้ชั่วขณะ เขาพึมพำกับตัวเอง “เทียนเอ๋อร์ ขอบคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะความมั่นใจของเจ้าในตอนนั้น ข้าคงพลาดโอกาสที่จะได้พี่หลินเป็นผู้ติดตามแล้ว”
เจ้าแมวอ้วนที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนใดๆ
แสงเลือนรางสว่างวาบในดวงตาของโจวเหว่ยชิงอีกครั้งขณะที่เขากลับไปที่เตียงเพื่อเริ่มฝึกฝน
เขาเข้าใจคำพูดของหลินเทียนอ้าวเป็นอย่างดี อีกฝ่ายไม่เพียงแต่ให้กำลังใจเขาแต่ยังเตือนเขาด้วย ทว่าโจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้บอกหลินเทียนอ้าวว่าเขาฝึกอะไรมาบ้าง เพราะถึงอย่างไรวิธีอัดทักษะ 3,000 ครั้งของเขาก็น่าประหลาดใจมากอยู่แล้ว ดังนั้นวิชาเทพอมตะจึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา และเขาก็จะไม่แพร่งพรายความลับนี้ออกไปง่ายๆ แม้แต่บรรดากลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับเขาก็ตาม
การฝึกอัดทักษะ 3,000 ครั้งนี้เป็นเพียงการฝึกใช้ทักษะ สถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นคือร่างกายของเขาเหนื่อยล้ามากเกินไป แต่การฝึกนี้ก็ไม่ใช่การบ่มเพาะพลังปราณสวรรค์จริงๆ เนื่องจากมีเพียงการฝึกปราณอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะทำให้เขามีโอกาสเกิดภาวะลมปราณแตกซ่าน เนื่องจากวิชาเทพอมตะของเขาเองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแง่นั้น มันเป็นวิชาที่อันตรายมากและอาจนำไปสู่ความตายได้ ทว่าข้อดีของมันก็คืออันตรายนั้นเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงที่เขาทะลวงผ่านจุดตายเท่านั้น ดังนั้นในระยะเวลาฝึกปราณตามปกติ วิชานี้จึงไม่มีอันตรายแทรกซ้อนเหมือนการฝึกปรานประเภทอื่นๆ
แสงสีดำค่อยๆ สว่างวูบวาบขึ้นในห้อง ครั้งนี้โจวเหว่ยชิงกำลังฝึกอัดทักษะสัมผัสมืดของเขา
หลังจากต่อสู้มาหลายครั้ง เขาก็ยิ่งตระหนักได้ว่าทักษะควบคุมนั้นสำคัญและมีประโยชน์ในการต่อสู้เพียงใด มันไม่เพียงทรงพลังแค่ในการแข่งขันแบบตัวต่อตัว แต่ยังแข็งแกร่งกว่าในช่วงที่แข่งแบบกลุ่ม ทักษะควบคุมจำนวนมากของโจวเหว่ยชิงทำให้เขาสามารถแปรเปลี่ยนเป็นเรือขวางกระแสน้ำเชี่ยวกราก ทำให้สถานะการณ์ดีขึ้นได้หลายครั้งและคว้าชัยชนะมาได้ในตอนสุดท้าย แม้ว่าในตอนแรกเขาจะเสียเปรียบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าก็ตาม
แน่นอนว่าทักษะสัมผัสมืดยังคงไม่ใช่ทักษะกักเก็บที่แข็งแกร่งที่สุดหรือแม้แต่ทักษะควบคุมที่ทรงพลังที่สุดของเขา ทว่ามันเป็นหนึ่งในทักษะที่มีประโยชน์มากเพราะประโยชน์ที่หลากหลายของมัน สิ่งสำคัญที่สุดคือมันสามารถขยายขอบเขตการรับรู้ของเขาออกไป และยังมีประโยชน์ในการเหนี่ยวรั้งเป้าหมายจำนวนมากเอาไว้ด้วยหนวดเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ ศักยภาพของมันจึงถือว่ายอดเยี่ยมมาก และอาจมากกว่าทักษะควบคุมส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ โจวเหว่ยชิงจึงเลือกที่จะฝึกใช้มันซ้ำๆ เพราะมันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของเขาได้มากที่สุดในเวลาอันสั้น
ด้วยประสบการณ์ 2 ครั้งก่อนหน้านี้ โจวเหว่ยชิงจึงสามารถเข้าสู่กระบวนการฝึกอัดทักษะสัมผัสมืดได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ทักษะสัมผัสมืดยังแตกต่างจากสองทักษะก่อนหน้าเนื่องจากมันมีระยะใช้งานนานกว่ามาก สิ่งนี้จึงเปิดโอกาสให้เขาได้ทดลองสัมผัส เรียนรู้และทำความเข้าใจมันให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่มันก็หมายความว่าในระยะเวลาเท่าเดิม เขาจะเรียกทักษะนี้ออกมาได้น้อยครั้งกว่า
นอกจากความเหนื่อยล้าที่เหลือทิ้งไว้หลังจากการฝึก โจวเหว่ยชิงก็แทบจะหลงรักวิธีการฝึกอัดทักษะ 3,000 ครั้งนี้เข้าเต็มเปา เนื่องจากการฝึกนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ทักษะนี้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่เขายังได้ทำความเข้าใจความลับที่ซ่อนอยู่ในทักษะธาตุของตนเอง ทั้งยังเร่งความเร็วในการฝึกปราณด้วย! จะมีสิ่งไหนเหมาะสมกับเขาไปมากกว่านี้อีก!?
เขาเพิ่งผ่านการฝึกอัดทักษะ 3,000 ครั้งถึง 2 รอบในช่วง 6-7 วันที่ผ่านมา และโจวเหว่ยชิงก็รู้สึกราวกับว่าพลังปราณสวรรค์ของเขาพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดดจากเมื่อ 20 วันก่อนมาก หากมีเวลาเพียงพอ เขาคาดว่าตนอาจจะสามารถเลื่อนระดับพลังปราณขึ้นได้ทุกเดือน นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาหลงใหลวิธีฝึกเช่นนี้มาก
………………………………………………………