หากจะเปรียบเทียบความอยากรู้อยากเห็นของสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ขณะเข้ามาในวังกักเก็บทักษะแห่งนี้เป็นครั้งแรก กลุ่มตัวเต็งอื่นๆ ที่มาจากมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับดูเหมือนคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี พวกเขาไม่ได้พยายามสอดส่องสายตาไปรอบๆ แต่กลับยืนรวมกลุ่มกันและรอคอยจะจากไปอย่างเงียบๆ
ซ่างกวนหลงหยินตบไหล่โจวเหว่ยชิงอย่างอบอุ่นพลางพูดว่า “เอาล่ะ ไปกันเถอะ ได้เวลารวมตัวและมุ่งหน้าไปยังเกาะมณีสวรรค์แล้ว”
จากมุมมองของโจวเหว่ยชิง เขาสังเกตเห็นว่าสำหรับอีก 3 กลุ่มที่เหลือนั้น กลุ่มนักรบวั่นโซ่วสวมชุดสีขาว กลุ่มนักรบจ้งเทียนสวมชุดสีฟ้าอ่อน ส่วนกลุ่มนักรบเป่าโปเป็นสีเหลือง เมื่อรวมกับเครื่องแบบสีเขียวเข้มของกลุ่มนักรบเฟยหลี่แล้ว วันนี้ทุกกลุ่มล้วนแต่ใส่เสื้อผ้าที่มีสีตัดกันโดยสิ้นเชิง
เมื่อวานหลังจากก้าวเข้าสู่ 4 อันดับแรกอย่างเป็นทางการแล้ว พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากจนไม่มีเวลาสังเกตกลุ่มอื่นๆ ทั้ง 3 กลุ่มเลย โจวเหว่ยชิงจึงฉวยโอกาสนี้ใช้เวลาสังเกตพวกเขาอย่างใกล้ชิด
ในขณะที่จ้องมองพวกเขา โจวเหว่ยชิงก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มนักรบวั่นโซ่วทั้ง 2 คนมีอายุประมาณ 26-27 ปีและยังมีหน้าตาเหมือนกันทุกประการอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่เป็นฝาแฝดกัน บนใบหน้าที่ค่อนข้างหล่อเหลาของพวกเขา 2 คนดูเย็นชาไร้อารมณ์ วิธีเดียวที่แยกพวกเขาออกจากันก็คือปอยผมสีขาวที่ประดับอยู่บนศีรษะ ทั้งสองคนมีปอยผมสีขาวเหมือนกัน ทว่าคนหนึ่งมีอยู่ทางด้านขวา ส่วนอีกคนมีอยู่ทางด้านซ้าย
สำหรับอาณาจักรจ้งเทียน หัวหน้ากลุ่มของพวกเขาก็ดูเหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มอายุประมาณ 27 ปี คนผู้นั้นตัวสูง รูปร่างสมส่วน หล่อเหลา ทั้งยังดูเงียบขรึม ทว่าดวงตาของเขากลับลึกล้ำและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณราวกับทะเลสาบที่ไร้ก้นบึ้ง
ส่วนหุบเขาหลงใหลนั้นก็มีผู้นำอีกคู่หนึ่งเช่นกัน ทว่าคราวนี้กลับเป็นคู่ชายหนุ่มและหญิงสาวยืนจับมือกันอยู่ บนใบหน้าของพวกเขาประดับด้วยรอยยิ้ม จากวิธีการแสดงความใกล้ชิดของพวกเขา เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนต้องเป็นคู่รักกันแน่นอน สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดเกี่ยวกับหุบเขาหลงใหลก็คือในบรรดาสมาชิกกลุ่มหลัก 5 คนและสมาชิกสำรอง 3 คน ทั้ง 8 คนนั้นประกอบด้วยคู่รัก 4 คู่! พวกเขาใช้ชีวิตตามชื่อของหุบเขาหลงใหลอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นว่าซ่างกวนหลงหยินมาถึงแล้ว สมาชิกคนอื่นๆ ของกลุ่มนักรบเฟยหลี่ก็เข้ามารวมตัวกันอย่างเร่งรีบ หลินเทียนอ้าวยืนอยู่ด้านหน้าโดยมีโจวเหว่ยชิงยืนซ้อนอยู่ข้างหลัง
หลังผ่านการต่อสู้ในรอบอุ่นเครื่องเบื้องต้น สถานะของโจวเหว่ยชิงในกลุ่มก็เป็นรองเพียงแค่หลินเทียนอ้าวเท่านั้น หากหลินเทียนอ้าวเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง พลัง และความมั่นคงซึ่งเป็นรากฐานของกลุ่มพวกเขาแล้ว โจวเหว่ยชิงก็คือมันสมองของทั้งกลุ่มนั่นเอง แน่นอนว่าตามคำเรียกขานของคนในกลุ่ม เขาก็คือ ‘กุนซือหัวสุนัข’[1]
ซ่างกวนหลงหยินหยุดยืนอยู่เบื้องหน้ากลุ่มนักรบทั้ง 4 รอยยิ้มที่มักจะแสดงใบหน้ายามพูดคุยกับโจวเหว่ยชิงเลือนหายไปแล้ว เขาไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เพียงแค่พูดสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “ตามข้ามา”
ซ่างกวนหลงหยินนำทุกคนมุ่งหน้าออกจากวังกักเก็บทักษะทันที มีรถม้าขนาดใหญ่รอคอยพวกเขาอยู่ที่ถนนด้านนอก 5 คัน แต่ละคันใหญ่โตและหรูหรายิ่งกว่ารถม้าที่หัวหน้าหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์อย่างหัวเฟิงเคยใช้ “หารายได้” ในอดีตเสียอีก รถม้าแต่ละคันยังมีม้าพันธุ์ดีจำนวน 8 ตัวคอยลากจูง
ซ่างกวนหลงหยินโบกมือให้พวกเขาขึ้นรถม้า จากนั้นตัวเขาเองก็ก้าวขึ้นรถม้าคันแรกไปก่อน แต่ละกลุ่มจึงทำตามคำสั่งของเขาและทยอยขึ้นรถม้ากันคนละคัน เมื่อเหล่าม้าทะยานออกตัวจากที่นั่น ทั้ง 5 คันก็เร่งความเร็วออกไปจากเมืองจ้งเทียนทันที
เมื่อได้หย่อนก้นลงบนเบาะนั่งอันแสนสะดวกสบายภายในรถม้าหรูหรา โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที ใบหน้าของเขาเผยแววรื่นรมย์ขณะหันไปหาหลินเทียนอ้าวที่นั่งอยู่ข้างๆและถามว่า “หัวหน้า ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศที่กำลังจะมาถึงนี้บ้าง? มีความลับอะไรซ่อนอยู่อย่างนั้นหรือ?”
หลินเทียนอ้าวส่ายหัวกล่าวว่า “ กลุ่มตัวเต็งทั้ง 4 เป็นพวกเดียวที่ได้เข้าสู่ 4 อันดับแรกมาหลายสิบปีแล้ว และพวกเขาก็ดูไม่ทุกข์ร้อนกับปัญหานี้มาโดยตลอด งานประลองมณีสวรรค์ถูกจัดขึ้นมานานหลายปีแล้ว แต่ข้าก็ไม่เคยได้ยินว่าการแข่งขันรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศจะถูกเผยแพร่ออกไปให้คนนอกได้รู้มาก่อน” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น ชายหนุ่มก็เหลือบมองไปที่แม่มดน้อยโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากหญิงสาวมาจากหนึ่งในมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เธอก็น่าจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่า
แม่มดน้อยยักไหล่กล่าวว่า “น่าเสียดายที่แม้พวกเราจะเป็นมหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกเราก็ไม่เคยผ่านเข้าสู่ 4 อันดับแรกด้วยตัวเองเช่นกัน แม้ว่าเราจะได้รับข่าวสารมาบ้าง แต่มันก็ไม่สมบูรณ์ดีนัก สำหรับกฎและการแข่งขันที่แน่นอนนั้นข้าย่อมไม่ทราบ แต่ข้าได้ยินมาว่า “การต่อสู้” ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันทั้ง 4 กลุ่ม และไม่อาจแยกรอบรองชนะเลิศและรอบชิงชนะเลิศออกจากกันได้ แต่ถึงอย่างไรสิ่งที่รออยู่ข้างหน้าข้าเองก็ยังไม่รู้แน่ชัดนัก”
เมื่อได้ยินว่าจะเป็นการต่อสู้แบบ 4 กลุ่มพร้อมกัน ใบหน้าของสมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่ก็เปลี่ยนสีไปทันที แม้ว่าทุกคนจะรู้ว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาเพิ่มขึ้นมากหลังจากแม่มดน้อยเข้าร่วมกับตน แต่สมาชิกทุกคนก็รู้ว่ายังมีช่องว่างขนาดใหญ่ตั้งระหว่างพวกเขากับอีก 3 กลุ่มที่เหลือ เห็นได้ชัดว่าเพียงกลุ่มตัวเต็งกลุ่มเดียวก็เป็นภัยคุกคามขนาดใหญ่สำหรับพวกเขาแล้ว นับประสาอะไรกับกลุ่มตัวเต็งทั้งหมดพร้อมๆ กัน
แม่มดน้อยหัวเราะคิกคักและพูดว่า “อย่ากังวลไปเลย ดังที่ข้าได้เอ่ยไปแล้วว่ากลุ่มของเราจะต้องได้อันดับ 2 เป็นอย่างน้อยและมีโอกาสได้อันดับ 1 ด้วย แน่นอนว่าข้าก็หมายความตามนั้นจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องรอให้เราไปถึงเกาะมณีสวรรค์และรับฟังกฎกติกาที่แท้จริงด้วยตัวเองก่อน ไม่ว่าในสิ่งใดจะเกิดขึ้น อย่างน้อยเราก็ได้เป็น 4 อันดับแรกและเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์แล้วนี่?”
คนที่เหลือยังคงระแวงแม่มดน้อยอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น พวกเขาจึงผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย จริงๆแล้วสิ่งที่เธอพูดก็เป็นความจริง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ทำเกินความคาดหมายของตนเองไปไกลด้วยการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้อาณาจักรและเข้าสู่เกาะมณีสวรรค์ได้จริงๆ! ดังนั้นสำหรับการต่อสู้ในอนาคต พวกเขาไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดหรือกดดันว่าจะทำผลงานได้ดีหรือไม่ ทุกคนเพียงแค่มีสมาธิในการต่อสู้และทำให้ดีที่สุดเท่านั้น
…
รถม้าเดินทางมาเกือบ 2 ชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะออกจากเมืองจ้งเทียนและมุ่งหน้าไปตามถนนหลัก การเดินทางที่เหลือกินเวลาไปอีก 1 ชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะลดความเร็วลงในที่สุด
เมื่อรถม้าหยุดลง ทุกคนจึงลงจากรถ บริเวณด้านหน้าของพวกเขา ทุกคนสามารถมองเห็นเสาหินขนาดใหญ่ที่รองรับเกาะมณีสวรรค์ทั้งหมดเอาไว้ได้
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ใกล้เสาเหล่านั้นแล้ว แต่ก็ยังสามารถบอกได้ว่าพวกมันยังคงอยู่ห่างไกลออกไป ด้านล่างของเสาเหล่านั้นมีค่ายขนาดใหญ่ตั้งล้อมรอบเสาทุกต้นเอาไว้
ซ่างกวนหลงหยินยืนอยู่ที่ด้านหน้าและพูดอย่างเฉยชาว่า “เสาขนาดใหญ่ทั้ง 16 ต้นที่รองรับเกาะมณีสวรรค์ได้รับการปกป้องโดยทหารทั้ง 4 กรมจากกองทัพกลางแห่งอาณาจักรจ้งเทียน พวกเราสามารถขึ้นไปบนเกาะมณีสวรรค์ได้โดยอาศัยเสาทั้ง 16 ต้นนี้ แต่ทว่าหากผู้ใดพยายามจะบุกเข้าไปโดยใช้กำลังล่ะก็…ฮึ่ม!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สมาชิกกลุ่มนักรบจ้งเทียนก็แสดงสีหน้าเคารพนอบน้อมออกมา ส่วนคู่รักทั้ง 4 จากหุบเขาหลงใหลเพียงยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า มีเพียงสมาชิกจากภูเขาหิมะสวรรค์เท่านั้นที่มีสีหน้าหยิ่งยะโสเหมือนเคย
ในช่วงเวลาต่อมา แสงทั้ง 32 เส้นก็พุ่งออกมาจากร่างของซ่างกวนหลงหยิน โดยทั้งหมดกระจายตัวออกจากกันและทะยานเข้าหาสมาชิกแต่ละคนจาก 4 กลุ่มทันที ทุกคนยกมือขึ้นรับสิ่งนั้นไว้โดยไม่รู้ตัว ในฝ่ามือของพวกเขาพลันปรากฏแผ่นโลหะเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง
ไม่มีใครเคยเห็นการเคลื่อนไหวของซ่างกวนหลงหยิน ทว่าแผ่นป้ายทั้ง 30 ชิ้นก็ได้ถูกแจกจ่ายไปยังเป้าหมายของพวกมันเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นการแสดงพลังที่ยิ่งใหญ่ของเขาให้ทุกคนเห็นอย่างแท้จริง!
โดยธรรมชาติแล้วโจวเหว่ยชิงย่อมได้รับแผ่นป้ายเช่นกัน และเมื่อเขาตรวจสอบดูสิ่งที่อยู่ในมือ เด็กหนุ่มก็เห็นว่าส่วนบนของแผ่นป้ายเป็นรูปครึ่งวงกลม ส่วนครึ่งล่างเป็นส่วนโค้งแหลม มันคือแผ่นป้ายที่มีเฉดสีคล้ายหยกสีฟ้าอ่อนและจารึกคำว่า ‘ป้ายมณีสวรรค์’ เอาไว้ โจวเหว่ยชิงยังสามารถสัมผัสถึงพลังปราณที่หมุนวนภายในแผ่นโลหะนี้ได้แม้ว่าเขาจะบอกไม่ได้ว่ามันทำมาจากวัสดุอะไรก็ตาม
“ไปกันเถอะ” เมื่อเอ่ยประโยคนั้นจบ ซ่างกวนหลงหยินก็ลอยตัวขึ้นไปในอากาศราวกับก้อนเมฆก้อนหนึ่งที่ลอยตรงไปยังค่ายทหาร
ในบรรดากรมทหารทั้ง 4 กรม แต่ละกรมจะแบ่งทหารจำนวน 40,000 นายไปเฝ้าเสาแต่ละต้น ด้วยเหตุนี้ ทหารที่เฝ้าอารักขาบริเวณเสาทั้ง 16 ต้นจึงมีจำนวนทั้งหมด 640,000 นาย! แค่กองทัพส่วนกลางของอาณาจักรจ้งเทียนก็มีทหารมากมายขนาดนี้แล้ว นับประสาอะไรกับกองทัพทั้งหมดที่เหลือของพวกเขา!
ในขณะที่โจวเหว่ยชิงพุ่งตัวออกไปยังจุดหมายพร้อมเหล่าสหายในกลุ่ม เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตะลึงในใจ
ในสายตาของเขา หากอาณาจักรจ้งเทียนมีอำนาจมากถึงเพียงนี้ แล้วอาณาจักรวั่นโซ่วเล่าจะแข็งแกร่งมากขนาดไหน? ถึงอย่างไรอาณาจักรวั่นโซ่วที่ตั้งอยู่ทางเหนือของแผ่นดินใหญ่เพียงอาณาจักรเดียวก็สามารถต่อกรกับอาณาจักร อื่นๆ เกือบทั้งหมดได้ในคราวเดียวโดยไม่พ่ายแพ้ พวกเขาจะมีพลังที่น่าอัศจรรย์ขนาดไหนกัน!
ขณะตกอยู่ห้วงความคิดของตนเอง โจวเหว่ยชิงก็ไล่ตามหลังกลุ่มไปโดยอาศัยสัญชาตญาณสู่ค่ายทหารที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า เมื่อมีซ่างกวนหลงหยินเป็นผู้นำทางและด้วยป้ายมณีสวรรค์ในมือ พวกเขาจึงสามารถเข้าไปภายในค่ายที่มีการป้องกันแน่นหนาได้อย่างไร้ปัญหา
โจวเหว่ยชิงพยายามสังเกตการณ์จากด้านข้างอย่างเยือกเย็นและพบว่าทหารทั้งหมดที่นี่ล้วนสวมชุดเกราะเต็มยศ อีกทั้งชุดเกราะของพวกเขาก็ยังแตกต่างกันไปตามประเภทของหน่วยที่ตนสังกัดประจำการ ตัวอย่างเช่นหน่วยพลธนูสวมชุดเกราะหนัง หน่วยสอดแนมสวมชุดเกราะโซ่ถัก เกราะโลหะ เกราะหนัก และชุดเกราะขนาดต่างๆอีกมากมาย อาจกล่าวได้ว่าทหารอาณาจักรจ้งเทียนเหล่านี้ต่างก็มีอาวุธกันครบมือ นอกจากความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้ว อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงเหล่านั้นก็ยังทำให้ดวงตาของโจวเหว่ยชิงสว่างวาบขึ้นมา
เมื่อไหร่อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราจะมีกองทัพเช่นนี้บ้าง! ในเวลานี้โจวเหว่ยชิงกำลังรู้สึกร้อนใจเป็นที่สุดและมือของเขาก็กำแน่น
ยิ่งท่องไปในโลกกว้างมากเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็ยิ่งได้พบเจอสิ่งต่างๆ มากมายและยิ่งตระหนักว่าตนเองมีเวลาเหลือน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับอาณาจักรที่ทรงพลังเหล่านี้หรือแม้แต่อาณาจักรที่อ่อนแอกว่าบางแห่ง ความแข็งแกร่งระหว่างอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเขากับอาณาจักรอื่นๆก็ดูเหมือนช่องว่างที่ไม่อาจเติมเต็มได้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเขาปรารถนาจะให้อาณาจักรของเขายิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนอาณาจักรเหล่านี้เพียงใด!
โจวเหว่ยชิงตัดสินใจว่านอกเหนือจากซื้อสิ่งของจำเป็นแล้ว เขาจะเก็บเงินรางวัลที่เหลือจำนวนมหาศาลเหล่านี้กลับไปยังอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ ด้วยเหรียญทองจำนวนหลายล้านเหรียญที่เขาได้รับมา อย่างน้อยก็สามารถส่งเสริมกองทัพและปรับปรุงประสิทธิภาพการเกณฑ์ทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยในการฝึกปราณและเพิ่มพลังให้เหล่าจ้าวมณีในกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เงินเหล่านี้ก็จะช่วยให้อาณาจักรของเขาเจริญก้าวหน้าขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด เมื่อเขาเรียนจบจากโรงเรียนทหารเฟยหลี่แล้ว เขาตั้งใจว่าจะเข้าร่วมกับกองทัพทันที ท่านพ่อ รอดูได้เลย เมื่อข้ากลับไปถึง ข้าจะไปแทนที่ตำแหน่งของท่านและนำพาอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราไปสู่หนึ่งในอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก!
เสาค้ำยันเหล่านี้ไม่ได้ตั้งตรงขึ้นไปจนสุดปลายยอดของเกาะ แต่มีความเอียงเล็กน้อยตรงกลาง เมื่อเข้าใกล้เสามากขึ้น พวกเขาก็สามารถมองเห็นขั้นบันไดที่ถูกแกะเสลาไว้บริเวณด้านข้างของเสาแต่ละต้นได้เต็มสองตา
ด้านหน้าบันไดมีชาย 8 คนยืนเฝ้าอยู่ พวกเขาล้วนสวมชุดเครื่องแบบสีขาวของวังกักเก็บทักษะแห่งอาณาจักรจ้งเทียน ชายชุดขาวเหล่านั้นทำความเคารพและโค้งคำนับให้ซ่างกวนหลงหยินก่อนจะตรวจสอบป้ายมณีสวรรค์ของสมาชิกในกลุ่มทุกๆ คนและปล่อยให้พวกเขาผ่านเข้าไปข้างในได้
ซ่างกวนหลงหยินกล่าวอย่างนิ่งสงบว่า “พวกเจ้าทุกกลุ่มไม่ควรก่อปัญหาระหว่างทางขึ้นหรือแม้แต่ทะเลาะกันเอง มิเช่นนั้นพวกเจ้าจะถูกเพิกถอนสิทธิ์การเข้าร่วมงานประลองทันที” หลังจากพูดจบ เขาก็สลายร่างกลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวพุ่งขึ้นบันไดไปก่อน
กลุ่มนักรบทั้งสี่ไม่กล้าชักช้า พวกเขาต่างมุ่งหน้าตามไปทันที
จากระยะไกล เสาหินดูเหมือนจะไม่ใหญ่มากเป็นพิเศษ แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปอยู่ด้านหน้าของมัน เห็นได้ชัดว่าเสาพวกนี้มีขนาดใหญ่โตราวภูเขาลูกหนึ่งทีเดียว ผู้ที่ออกตัวไปก่อนคืออาณาจักรจ้งเทียนและอาณาจักรวั่นโซ่ว สมาชิกทั้ง 16 คนของทั้ง 2 กลุ่มใหญ่ต่างเร่งทะยานขึ้นไปในอากาศในเวลาเดียวกันหรือเรียกได้ว่าแทบจะพร้อมกัน พวกเขารีบร้อนราวกับไม่มีใครอยากจะเป็นที่ 2
สมาชิกกลุ่มนักรบเป่าโปเองก็เหาะตามไปด้วยความเร็วที่ใกล้เคียงกัน แต่สมาชิกกลุ่มนักรบเฟยหลี่กลับเดินทางอย่างใจเย็น
“หัวหน้า เราควรรีบไปกับพวกเขาด้วยหรือไม่?” สี่น้อยเอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่าเขาคันไม้คันมือเต็มทีแล้ว
หลินเทียนอ้าวส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ อย่าพยายามไล่ตามพวกนั้นเลย ประการแรก เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเรามีพลังและความเร็วมากพอจะตามทันหรือไม่ นี่เป็นเพียงการเดินทางเพื่อขึ้นไปข้างบนเท่านั้น หาใช่ส่วนหนึ่งของงานประลอง พวกเราจึงไม่จำเป็นต้องเสียพลังปราณมากเกินไปเพื่อล่ตามพวกเขา โปรดจำไว้ว่าผู้อาวุโสซ่างกวนกล่าวว่าห้ามก่อปัญหา เช่นนั้นเราจะค่อยๆ ไปด้วยกัน ไม่ชักช้าแต่ก็ไม่ต้องเร่งรีบมากเกินไป”
บันไดหรือทางขึ้นรอบเสานั้นค่อนข้างลาดชันมาก หลินเทียนอ้าวได้เซียวเอี๋ยนและขี้เมาเป่าซึ่งมีระดับระดับพลังปราณสูงสุดในกลุ่มคอยกันอยู่ทางด้านหลัง ในขณะที่เขาเองก็รับตำแหน่งป้องกันจากทางด้านหน้า ด้วยรูปขบวนเช่นนั้น ทั้งกลุ่มจึงเดินทางขึ้นไปได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าทุกคนจะเคยได้ยินอะไรมาก่อนหน้านี้ แต่เมื่อได้มาปีนเสาค้ำสวรรค์นี้จริงๆ พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะสูดปากเพราะความพิศวงของธรรมชาติและสิ่งมหัศจรรย์ที่มันสรรสร้างขึ้นมา
ผืนดินห่างไกลออกไปเรื่อยๆ และทิวทัศน์ก็ฝ้ามัวจนมองไม่เห็น บันไดทางขึ้นเสาเริ่มลาดชันและอันตรายมากยิ่งขึ้น พวกเขาสามารถยกมือขึ้นแล้วแตะโดนบันไดขั้นต่อไปได้เลยทีเดียว แทบจะประเมินไม่ได้เลยว่าต้องใช้ความพยายาม แรงงาน และวัสดุจำนวนมากแค่ไหนกว่าวังสวรรค์ไพศาลจะเจาะและสลักเสลาขั้นบันไดเหล่านี้บนเสาค้ำสวรรค์ได้ เพียงแค่จินตนาการว่าพวกเขาทำเช่นนั้นกับเสาทั้ง 16 ต้นก็ทำให้ทุกคนอ้าปากค้างได้แล้ว!
…………………………………………….
[1] “กุนซือหัวหมา” ใช้เรียกคนที่คอยให้ท้าย ออกความคิดเห็นที่เลวร้ายให้กับคนอื่น